มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 4 หมาแก่ (2)
เขาถูกฉานจึเล่นงานจนบาดเจ็บสาหัส ต้องใช้เวลานานกว่าจะรักษาจนหายดี ดังนั้นถึงแม้เรือนแห่งนี้จะอยู่ในเขตอิทธิพลของซีไห่ แต่เขาก็ยังไม่กล้าโผล่หน้าออกมา ระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก ใครจะไปรู้บ้างว่าจะมีคนมาหาเขาถึงที่นี่
“นั่นคือลูกของข้า เป็นเพราะเร่งร้อนจะฝึกวิชา เลยธาตุไฟเข้าแทรกจนตาย”
เทียนจิ้นเหริน ‘มอง’ ไปทางโครงกระดูกสีขาวนั้น สีหน้าดูคล้ายโศกเศร้าเป็นอย่างมาก
นั่นอาจจะเป็นเรื่องราวที่ซาบซึ้งหรือเลวร้ายอย่างมากก็ได้ อินซานไม่คิดอยากรู้ เขากล่าวต่อว่า “ข้ามาที่นี่เพื่อถามเจ้าสองสามคำถาม”
“เจ้าเป็นใคร?”
เทียนจิ้นเหรินก้มศีรษะเล็กน้อย เสียงแผ่วเบา ดูระมัดระวังเป็นอย่างมาก คนที่มามีพลังจิตกล้าแข็ง ใจแห่งเต๋าดุจดั่งมหาสมุทร ลึกจนมิอาจประมาณ เหนือไปกว่าสภาวะที่แสดงออกมาในตอนนี้อย่างมาก นี่ทำให้เขาคิดถึงจิ๋งจิ่วเมื่อในอดีตขึ้นมา เขาถึงขนาดมีความรู้สึกว่าพลังจิตของคนผู้นี้แข็งแกร่งกว่าจิ๋งจิ่วในตอนนั้นเสียอีก
อินซานมองดูเขา ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “เป็นข้าที่ถามเจ้า มิใช่เจ้ามาถามข้า”
เทียนจิ้นเหรินกล่าวว่า “วางข่ายพลังสิบปี ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะทำลายได้ ต่อให้ดวงจิตของเจ้าจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์”
อีกฝ่ายมองภาพลวงตาของเรือนออก หลุดพ้นจากการรบกวนทางจิตของเขา แต่มันไม่ได้หมายความว่าจะสามารถทำลายข่ายพลังที่แท้จริงได้
อินซานมิได้กล่าวกระไร หากแต่หลับตาลง พลังจิตไหลออกไปจากในร่างกาย
ในอากาศภายในเรือนพลันมีเส้นลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา จากนั้นค่อยๆ รวมตัวกันกลายเป็นเส้นและอักขระต่างๆ
เทียนจิ้นเหรินมองไม่เห็นภาพตรงหน้า แต่เขากลับรับรู้ได้ สีหน้ายิ่งขาวซีด ในใจครุ่นคิดว่าเหตุใดดวงจิตของอีกฝ่ายถึงได้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ คิดไม่ถึงว่าจะสามารถใช้พลังจิตบีบข่ายพลังให้ปรากฎขึ้นมาได้ จากนั้นพยายามที่จะทำลายมัน!
ภายในเรือนยิ่งสว่างขึ้น เส้นและอักขระเหล่านั้นคล้ายถูกทาด้วยน้ำผึ้งเหนียวๆ เหมือนกำลังจะหยดลงมา ดูแล้วเหมือนกำลังจะขาดออกจากกัน
เสียงเพล้งดังขึ้น
ตัวเรือนกลายเป็นโลกใต้ทะเลอีกครั้ง กุ่ยมู่หลิงที่น่ากลัวเหล่านั้นปรากฏตัว แต่กลับไม่กล้าว่ายเข้ามาหาอินซาน ดอกไม้ประหลาดที่เปล่งแสงออกมาเหล่านั้นโบกสะบัดอย่างรุนแรง เหมือนว่าอยากจะหนีออกมาจากพื้นทรายที่อยู่ใต้ทะเล
จากนั้นร่างของกุ่ยมู่หลิงและปลาประหลาดเหล่านั้นก็ค่อยๆ จางลง เมื่อน้ำทะเลซัดสาดเข้ามา พวกมันก็เริ่มแตกออกเป็นชิ้นๆ ก่อนจะสลายกลายเป็นควัน
ภายในควัน อินซานหลับตา มุมปากมีรอยยิ้มเล็กน้อยปรากฏขึ้นมา
ข่ายพลังมาถึงช่วงสุดท้ายของการพังทลาย
แต่ใบหน้าของเทียนจิ้นเหรินกลับมิได้ขาวซีดอีกต่อไป หากแต่สงบเยือกเย็นขึ้นกว่าเดิม
เขาพลันลืมตาขึ้น
ภายในเบ้าตาที่หลุบลึกไม่มีอะไรอยู่ มีเพียงรูลึกที่อยู่เหมือนหุบเหวสีดำ
เพียงแค่พริบตา น้ำทะเลทั้งหมดก็ม้วนเอากุ่ยมู่หลิง ปลาประหลาด ดอกไม้ประหลาดเข้าไปในเบ้าตาของเขาทั้งหมด!
กระทั่งดวงจิตของอินซานก็ถูกดูดเข้าไปด้วย!
การต่อสู้ระหว่างดวงจิตเช่นนี้เป็นสิ่งที่อันตรายที่สุดและเรียบง่ายที่สุดเช่นกัน เพียงแค่ดูว่าใครแข็งแกร่งกว่า ผู้นั้นก็จะสามารถกลืนกินหรือว่าควบคุมอีกฝ่ายได้
อินซานมิได้สนใจ เขาเชื่อว่าบนโลกนี้นอกจากสมณะบางคนในสำนักฌาน สัตว์เทพโบราณบางตัวและจิ๋งจิ่วแล้ว ก็ไม่มีใครที่จะมีดวงจิตกล้าแข็งกว่าตนเองอีก
ในเวลานี้เอง เทียนจิ้นเหรินพลันหัวเราะขึ้นมา รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้ายิ่งลึกขึ้น เต็มไปด้วยความชั่วร้ายและความเย้ยหยัน
“นักพรตไท่ผิง เจ้าเคยชินกับการควบคุมดวงจิตของคนอื่น แต่เคยคิดบ้างหรือเปล่า ว่าความรู้สึกที่ตัวเองถูกคนอื่นควบคุมมันเป็นอย่างไร?”
อินซานสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย
ชุดของเขาพลิ้วไหวเบาๆ ตามน้ำทะเล ปลิวไปทางเทียนจิ้นเหริน
“ดวงจิตของเขากับข้าเชื่อมต่อกันแล้ว เจ้ายังไม่ลงมืออีก จะรอไปถึงเมื่อไร!”
เทียนจิ้นเหรินตะโกนขึ้นมา
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินพลันปรากฏตัวขึ้นด้านหลังอินซาน
หลังเขามาถึงเรือนแห่งนี้ ก็คล้ายว่าหายตัวไปอย่างไรอย่างนั้น จนกระทั่งในเวลานี้ จู่ๆ เขาก็ปล่อยพลังทั้งหมดออกมา!
พลังอันคลุ่มคลั่งและรุนแรงเข้าท่วมตัวเรือน เส้นผมที่มีเพียงน้อยนิดชี้ตั้งขึ้นไปด้านบนเหมือนกระบี่ ตัวปรมาจารย์สำนักเสวียนอินในเวลานี้ไหนเลยจะคล้ายหมาแก่อีก หากแต่เป็นเทพมารที่แท้จริงที่ลงมายังโลกมนุษย์!
อาการบาดเจ็บที่เขาได้รับในวัดกั่วเฉิงได้หายไปมากกว่าครึ่ง ขอเพียงฟาดฝ่ามือลงไปก็สามารถสังหารอินซานได้ หรือไม่ทำลายต้นไม้แห่งเต๋าของเขา!
อินซานหลับตาพลางกล่าวว่า “เจ้าอยากตาย?”
พอสิ้นเสียง ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินส่งเสียงอึกออกมาจากในลำคอ ทั่วทั้งร่างรู้สึกหนาวเย็น
นี่เป็นความหนาวเย็นที่มาจากกระบี่!
ความหนาวเย็นนั้นมาจากชิงซานที่อยู่ห่างออกไปหลายหมื่นลี้ แต่มันกลับทำให้เขารู้สึกได้อย่างชัดเจน
เห็นได้ชัดว่าในช่วงเวลาที่อันตรายเช่นนี้ อินซานได้คลายพลังออก ข่ายพลังกระบี่ชิงซานจะหาตำแหน่งของเขาเจอในพริบตา!
และเป็นเพราะความหนาวเย็นนี้ เขาจึงต้องซ่อนตัวอยู่ใต้เขาเหลิ่งซาน ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันเป็นเวลาหลายร้อยปี หรือว่าเขายังต้องหลบซ่อนแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ?
ในเวลานี้เอง บนท้องฟ้าที่อยู่สูงขึ้นไปมีเจตน์กระบี่ปรากฏขึ้นมาสายหนึ่ง
เห็นๆ อยู่ว่าเป็นเจตน์กระบี่เพียงสายเดียว แต่กลับคล้ายมีกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกไปพร้อมกัน เหมือนกระแสน้ำที่ไหลหลากอย่างไม่ขาดสาย สกัดกั้นความหนาวเย็นสายนั้นเอาไว้
จากที่ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินตกลงเอาไว้กับอีกฝ่าย ก่อนที่จะควบคุมอินซานเอาไว้ หากข่ายพลังกระบี่ชิงซานโจมตีมา อีกฝ่ายจะต้องสกัดกั้นข่ายพลังนั้นแทนเขาชั่วพริบตาหนึ่ง
แต่นั่นมันคือข่ายพลังกระบี่ชิงซานนะ!
ต่อให้สกัดกั้นเอาไว้แค่ชั่วพริบตา แต่บนแผ่นดินเฉาเทียนก็มีแค่ไม่กี่คนที่ทำได้
เทพกระบี่ซีไห่!
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นหมาจริงๆ อย่างนั้นหรือ!”
บนใบหน้าของปรมาจารย์สำนักเสวียนอินเต็มไปด้วยความดุร้าย ฝ่ามือฟาดลงไปอย่างรุนแรง
เสียงผัวะเบาๆ ดังขึ้น
ฝ่ามือของเขาตกลงไปกลางศีรษะของเทียนจิ้นเหริน
……
……
ข่ายพลังภายในเรือนสลายหายไปจนหมด
น้ำทะเลจำนวนนับไม่ถ้วนทะลักออกมาจากในเบ้าตาที่หลุบลึกของเทียนจิ้นเหริน ปลาประหลาดและดอกไม้แปลกๆ เหล่านั้นก็ไหลทะลักออกมาด้วยเช่นกัน กระแทกเข้ากับผนังของเรือน กลายเป็นเศษซากเละๆ
“นี่เจ้า….”
ใบหน้าของเขาขาวซีด รู้สึกโกรธแค้นและตกตะลึงอย่างถึงที่สุด มองดูปรมาจารย์สำนักเสวียนอินด้วยสีหน้าเลื่อนลอย
พูดออกมาได้เพียงสองคำ เสียงของเขาก็ขาดหายไป ภายในเบ้าตาไม่มีน้ำทะเลไหลออกมาอีก
ตัวของเขายังไม่ตาย ดวงจิตของเขาก็ถูกอินซานควบคุมเอาไว้อย่างสมบูรณ์แล้ว
อินซานลืมตาขึ้น ยกมือขึ้นมา
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินสอดศีรษะเข้ามาใต้ฝ่ามือเขาอย่างรวดเร็ว
อินซานลูบศีรษะของเขา แสดงความชื่นชม
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินรู้สึกว่าความหนาวเย็นที่อยู่ห่างออกไปหลายหมื่นลี้ได้หายไปแล้ว
แต่เจตน์กระบี่ที่ยิ่งใหญ่เหมือนดั่งกระแสน้ำยังคงลอยอยู่บนฟ้า หากเจี้ยนซีไหลรู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่แล้วสะบั้นกระบี่ลงมาด้วยความโกรธแค้น เขาเองก็ยากจะรับมือได้เหมือนกัน พวกเขาต้องฉวยโอกาสตอนที่ข่ายพลังกระบี่ชิงซานรั้งตัวเทพกระบี่ซีไห่เอาไว้บนท้องฟ้า รีบหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
เพียงไม่นาน
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินและอินซานมาถึงแผ่นดินที่อยู่ห่างออกไปร้อยกว่าลี้ นอนหอบอยู่บนกองฟางที่เพิ่งจะถูกตัดออกมาจากในนาฤดูร้อน
“แสดงได้ไม่เลว แต่ประโยคนั้นดูจะเกินจริงไปเสียหน่อยนะ เจ้าคิดว่าข้าเป็นหมาจริงๆ อย่างนั้นหรือ? ใครเขาพูดจาไร้สาระแบบนั้นเวลากำลังฆ่าคนกันเล่า?”
อินซานเหลียวหน้าไปพูดกับเขาอย่างจริงจัง คล้ายกับอาจารย์ที่อยู่บนเวทีกำลังสอนศิษย์ที่เพิ่งจะเข้ามาเป็นนักแสดง
ปรมาจารย์สำนักเสวียนยิ้มพลางกล่าว “สิ่งสำคัญก็คือนั่นเป็นคำพูดที่ออกมาจากใจ ถ้าไม่พูดออกมาข้าคงรู้สึกอึดอัด เพียงแต่ยังไม่ทันพูดคำพูดอีกครึ่งหนึ่งออกมาเท่านั้น”
อินซานถามอย่างสงสัย “อีกครึ่งหนึ่งว่ายังไง?”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินกล่าวด้วยสีหน้าขึงขัง “ถูกต้อง ข้าเป็นหมาแก่ของนักพรต ซื่อสัตว์และภักดี!”