มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 30 เสวี่ยจีปรากฏตัว
บนโลกมีตุ๊กตาหิมะหลายแบบ ส่วนจะมีกี่แบบนั้น นั่นก็ขึ้นอยู่กับจินตนาการของเด็กๆ ที่ชอบเล่นหิมะและชาวใต้ที่ไม่ค่อยได้เห็นหิมะ
ตุ๊กตาหิมะตัวนี้ดูไปแล้วเป็นตุ๊กตาแบบที่ธรรมดาที่สุด ตัวเล็กอ้วนๆ เพียงแต่บนใบหน้าสะอาดสะอ้านไปหน่อย ขาดแครอทกับกิ่งไม้แห้งๆ ไป
แต่ถ้าหากมองดีๆ ก็จะพบว่าตุ๊กตาหิมะตัวนี้มีอยู่สองจุดที่พิเศษออกไป
มันมีผมสีขาวที่ยาวลงมาจนถึงพื้น เส้นผมไม่รู้ว่าใช้หิมะทำขึ้นมาว่าใช้อะไรทำขึ้นมา มองดูเหมือนจริงอย่างมาก แต่ก็เพราะว่ามันเหมือนจริงมากเกินไป มันก็เลยให้ความรู้สึกที่เหมือนไม่จริง
อันดับต่อมาก็คือดวงตาของมันเย็นยะเยือกเป็นอย่างมาก ดำมืดจนทำให้รู้สึกหวาดกลัว มองดูคล้ายพร้อมฝัน แต่แน่นอนว่าส่วนใหญ่น่าจะเป็นฝันร้าย
มันน่าจะเป็นเพศหญิง เช่นนั้นก็ควรจะเรียกมันว่าเสวี่ยจี[1]
เสวี่ยจีมองดูภูเขาทางด้านนั้นอย่างเงียบๆ
ทางด้านนั้นคือทะเลเพลิงที่กำลังลุกโชติช่วง แม้จะอยู่ห่างกันไกลขนาดนี้ก็ยังสัมผัสได้ถึงคลื่นความร้อนที่แผ่กระจายมาจากทางด้านนั้น
น้ำแข็งกับไฟไม่ถูกกัน ไม่ว่าจะเป็นเปลวเพลิงใดๆ ก็ล้วนแต่เป็นการท้าทายสำหรับนาง นับประสาอะไรกับเพลิงสุริยันของธงสุริยัน
นางยังรับรู้ได้อีกว่ามีประชากรของตัวเองกำลังจะตายอยู่ในทะเลเพลิงแห่งนั้น
เปลวเพลิงเหล่านี้ค่อนข้างแปลกประหลาด ตัวนางที่กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่อ่อนแอที่สุดมีโอกาสสูงมากที่จะถูกเปลวเพลิงเหล่านั้นทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ
นางมิได้หวาดกลัว เพียงแต่มองดูทางด้านนั้นอย่างๆ เงียบ จากการวิเคราะห์สถานการณ์ด้วยสัญชาตญาณการต่อสู้ที่อยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของสายเลือด นางอาจจะหนี หรืออาจจะเข้าไป
ในเวลานี้เอง นางพลันรับรู้ได้ถึงพลังสายหนึ่ง
ในพริบตาที่รับรู้ได้ถึงพลังสายนั้น ภายในทะเลแห่งการรับรู้ของนางพลันเกิดพายุโหมกระหน่ำขึ้นมา ถูกบีบให้ต้องหยุดการคิดคำนวณที่รวดเร็วจนยากจะจินตนาการได้
พลังสายนั้นมาจากสถานที่ที่นางไม่เคยเหยียบย่างเข้าไป เย็นยะเยือกเป็นอย่างยิ่ง ในนั้นแทบจะไม่มีร่องรอยการเคลื่อนไหว ใกล้เคียงกับคำว่าหยุดนิ่ง
ความหนาวเย็นอย่างถึงที่สุดและการหยุดนิ่งคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด กระทั่งนางเองก็ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย แต่ขณะเดียวกันนั่นก็เป็นดินแดนสูงสุดที่สิ่งมีชีวิตอย่างนางไล่ตามหา เป็นความปรารถนาอันแรงกล้าที่ฝังอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของสัญชาตญาณ
การแสวงหาและความปรารถนาเช่นนี้คือจุดกำเนิดของพายุในทะเลแห่งการรับรู้ของนาง
เสวี่ยจีลุกขึ้นมา ยังคงตัวเตี้ยอย่างมาก
นางเดินไปทางด้านนั้นของภูเขา
ท่าทางการเดินของนางแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง คล้ายว่าเท้าทั้งสองข้างถูกใส่เอาไว้ในถุงผ้าสีขาว ได้แต่ต้องกระโดดไปข้างหน้า ดูแล้วเหมือนกับกระต่ายที่อยู่ในนิทานของเด็กน้อย
แม้นจะเดินด้วยท่าทางที่แปลกประหลาดเช่นนี้ แต่ความเร็วกลับรวดเร็วเป็นอย่างมาก เพียงแค่ไม่กี่อึดใจนางก็มาถึงทางด้านนั้นของภูเขา
ที่นี่คือภูเขาหิมะ ตรงตีนเขาล้วนเต็มไปด้วยหิมะที่ถล่มลงมาก่อนหน้านี้
หิมะล้วนแต่เป็นผู้รับใช้ของนาง
ภูเขาทางด้านนี้ล้วนเต็มไปด้วยเปลวไฟ ไฟที่พวยพุ่งขึ้นมาจากรอยแยกบนพื้นดิน ไฟที่ตกลงมาจากในชั้นเมฆ ธารน้ำแข็งที่ถูกเผาไหม้จนเหือดแห้ง ก้อนหินที่ถูกแผดเผาจนแตกละเอียด เป็นเหมือนกับนรกบนโลกมนุษย์
สำหรับนางที่ไม่เคยออกมาจากยอดภูเขาน้ำแข็งและที่ราบหิมะแล้ว นี่คือภาพที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้นางเกิดความรู้สึกไม่เคยชินและไม่ชอบใจเป็นอย่างมาก
หวังเสี่ยวหมิงยืนอยู่บนหน้าผา นางไม่แม้กระทั่งเหลือบมองดู
นางไม่สนใจมนุษย์ที่อ่อนแอคนไหน ถึงแม้ธงนั้นจะเป็นจุดกำเนิดของไฟประหลาดเหล่านี้ แต่มันก็ยังไม่ใช่สิ่งที่นางคิดอยากตรวจสอบดูที่สุดในตอนนี้
สายตาของนางทอดไปยังด้านล่างของคันฉ่องฟ้ากระจ่างที่อยู่ห่างออกไป มองเห็นจักจั่นเหมันต์ ในใจคิดว่าที่แท้ก็เป็นประชากรที่ต่ำต้อย อีกทั้งยังเป็นประเภทที่ต่ำต้อยที่สุดด้วย ตายไปก็ไม่ได้มีค่าอะไร
จากนั้นนางมองเห็นดินที่อยู่บนคันฉ่องฟ้ากระจ่างเหล่านั้น ทันใดนั้นนางก็รับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงมองไปทางจักจั่นเหมันต์อีกครั้ง
ดินที่จิ๋งจิ่วเอากลับมาจากในจักรวาลเหล่านี้มิได้มีความเย็นยะเยือกเหมือนอย่างก่อนหน้านี้อีก หากแต่มีอุณหภูมิที่สูงเป็นอย่างมาก เวลานี้ถึงขนาดเริ่มจะมีไฟลุกขึ้นมาแล้ว
ร่างกายของจักจั่นเหมันต์กลายเป็นสีแดง มองดูคล้ายว่ากำลังจะสุก
ไม่ว่าจะมองอย่างไร ที่นี่ก็ไม่มีโอกาสที่จะมีความหนาวเย็นอยู่ แต่นางมั่นใจเป็นอย่างมากว่าความหนาวเย็นที่ตนเองกำลังตามหานั้นอยู่ที่นี่ อย่างน้อยก็เคยอยู่ในดินเหล่านั้นกับประชากรที่ต่ำต้อยตัวนั้น
สายตาของนางเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นยิ่งขึ้น พื้นหิมะที่อยู่รอบตัวพลันยุบลงไป บนพื้นผิวมีน้ำแข็งจับตัวแข็งขึ้นมาชั้นหนึ่ง
ความกระหายที่มาจากส่วนลึกของสัญชาตญาณและความรู้สึกเฝ้าแสวงหาที่มีต่อดินแดนแห่งนั้นทำให้นางกระโดดเข้าไปโดยไม่สนใจเพลิงเหล่านั้น
เส้นสีขาวเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ทะลุผ่านทะเลเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วน เกิดเป็นรูโหว่อยู่ในทะเลเพลิง
เสียงตุบดังขึ้นเบาๆ เสวี่ยจีตกลงบนทุ่งรกร้างที่อยู่ใต้คันฉ่องฟ้ากระจ่าง
เปลวไฟที่อยู่บนทุ่งรกร้างลุกไหม้อย่างต่อเนื่อง กลืนกินนางเอาไว้ด้านใน จากนั้นพลันดับลง บนผิวก้อนหินอันร้อนระอุที่นางเหยียบอยู่ก้อนนั้นมีผลึกน้ำแข็งจับตัวขึ้นมา จากนั้นแตกละเอียด
เสวี่ยจีเงยหน้ามองดูคันฉ่องฟ้ากระจ่าง
ทุ่งรกร้างเปลี่ยนเป็นเงียบสงัด
เปลวเพลิงที่ตกลงมาจากชั้นเมฆ เปลวเพลิงจากในรอยแยกของพื้นดินที่กำลังลามเลียออกไปด้านนอกอย่างคลุ้มคลั่งล้วนแต่คล้ายสูญเสียเสียงทั้งหมดไป
ชิงเอ๋อร์นั่งอยู่บนไหล่ของถงเหยียน มองดูตุ๊กตาหิมะตัวนั้น ใบหน้าขาวซีด ในใจครุ่นคิดว่านี่มันตัวอะไร?
เมื่อเห็นตุ๊กตาหิมะตัวนั้น จักจั่นเหมันต์ก็รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง มันไม่สามารถจัดการความรู้สึกตกตะลึงอย่างรุนแรงนี้ได้ ภายในหัวมีเสียงวิ๊งก่อนจะสลบไป ร่วงตกลงมาจากบนหัวไหล่ของถงเหยียน
จักจั่นเหมันต์เป็นเหมือนเกล็ดหิมะที่ตกลงบนหัวของเสวี่ยจี คล้ายกับตอนที่อยู่บนหัวของหลิวอาต้า เป็นโบว์ที่สวยงามและประณีต
เสวี่ยจีรู้สึกพึงพอใจกับการรู้ตัวของมัน จากนั้นบินขึ้นไปบนคันฉ่องฟ้ากระจ่าง ก้มหน้ามองดูดินเหล่านั้น
ดินเหล่านั้นกำลังลุกไหม้ ส่งกลิ่นเหม็นไหม้ที่นางไม่ชอบออกมา แต่ในนั้นกลับมีกลิ่นหนึ่งที่นางชอบที่สุด
เสวี่ยจีหลับตา คล้ายกำลังเคลิบเคลิ้มเป็นอย่างมาก
หากนางสามารถหายใจได้ ในเวลานี้นางคงจะต้องสูดหายใจลึกๆ อย่างแน่นอน
ในเวลานี่เอง เปลวเพลิงจากธงสุริยันได้ร่วงตกลงมาอีกครั้ง กระแทกลงมาบนคันฉ่องฟ้ากระจ่าง
ดินทรายเหล่านั้นถูกกระแทกจนกระจัดกระจาย พลังสายนั้นก็ค่อยๆ หายไปเช่นกัน เหมือนกับกลิ่นที่อยู่บนตัวจักจั่นเหมันต์
เสวี่ยจีลืมตา มองไปบนท้องฟ้า
นางไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา แต่ทั่วทั้งโลกต่างรับรู้ได้ถึงความโกรธของนาง
นางไม่ได้ส่งเสียงออกมา แต่ทั่วทั้งโลกล้วนแต่ได้ยินเสียงคำรามของนาง
คลื่นอากาศที่ไร้รูปร่างจำนวนหลายร้อยสายถูกยิงขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับเกล็ดหิมะที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน มองดูคล้ายคันฉ่องฟ้ากระจ่างได้ยิงน้ำตกหิมะออกไป!
น้ำตกหิมะและเปลวเพลิงที่ร่วงตกลงมาจากบนฟ้าปะทะกัน ส่งเสียงดังสนั่นจำนวนนับไม่ถ้วน เกิดลมพายุกระโชกรุนแรง เปลวเพลิงที่พวยพุ่งขึ้นมาจากใต้ดินวูบไหวไปมาไม่หยุด ฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนสี
เปลวเพลิงร่วงตกลงมาไม่หยุด หิมะค่อยๆ ละลาย บนใบหน้าของเสวี่ยจีเปียกชื้นเล็กน้อย ใต้เท้ามีน้ำใสๆ ไหลออกมา
น้ำเหล่านั้นก็เย็นยะเยือกอย่างมากเช่นเดียวกัน หลั่งไหลไปบนผิวของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง ดับไฟที่กำลังเผาไหม้อยู่ในดินเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย
ถงเหยียนลอยอยู่กลางอากาศด้านล่างคันฉ่องฟ้ากระจ่าง ใบหน้าของเขาขาวซีด คิดถึงการคำรามที่ไม่มีเสียงนั้น…คิดถึงอุณหภูมิที่ลดลงไปอย่างรวดเร็ว….เจ้าตัวที่มาที่นี่มันคือตัวอะไรกันแน่?
จากนั้นเขาพลันพบว่ากระบี่คมจักรวาลที่คอยป้องกันเปลวเพลิงอยู่ด้านล่างได้หายไปแล้ว
……
……
มิเสียทีที่ธงสุริยันเป็นหนึ่งในอาวุธวิเศษที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต
กำแพงเพลิงเหล่านั้นได้ตัดขาดฟ้าดิน แล้วก็ขวางกั้นการคำรามที่ไม่มีเสียงของเสวี่ยจีเอาไว้ตรงด้านหน้าภูเขาหิมะ
แต่สุดท้ายก็ยังมีเสียงคำรามที่ไม่มีเสียงเหล่านั้นเล็ดรอดผ่านรอยแตกที่อยู่ใต้ดินเหล่านั้นไปได้
ริมธารลาวาที่อยู่ในส่วนลึกของใต้ดิน ราชาปลาไนเพลิงได้ยินเสียงนี้ ภายในดวงตามีสายตาที่หวาดกลัวจนถึงขีดสุดปรากฏขึ้นมา ในใจครุ่นคิดว่าทำไมท่านผู้นั้นถึงออกมาล่ะ?
มันรู้สึกสับสนเป็นอย่างมากว่าจะออกไปดีหรือไม่ แต่สุดท้ายมันก็เลือกที่จะอยู่ในลาวา เพราะมันรู้สึกหวาดกลัวจริงๆ ใครมันจะไปเอาชนะท่านผู้นั้นได้ล่ะ?
……
……
หวังเสี่ยวหมิงไม่รู้ว่าคนที่มาคือใคร แต่เขารับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าเปลวเพลิงจากธงนั้นถูกกลืนกินไปไม่น้อย
ความจริงอันนี้ทำให้เขารู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก นับตั้งแต่ที่เขาบูชายัญธงสุริยันขึ้นมาได้สำเร็จ เขาก็ไร้ซึ่งผู้ต่อกร ต่อให้เป็นราชาแห่งเพลิงที่สำนักจงโจวทิ้งเอาไว้ในหุบเขาจวี้หุนก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของธงสุริยัน แล้วคนที่มาคือใคร? คิดไม่ถึงว่าจะสามารถกลืนกินเพลิงสุริยันได้! หรือว่าจะเป็นอาวุธวิเศษชั้นเซียนที่มีความคล้ายกับธงสุริยัน มีความหนาวเย็นมาแต่กำเนิด? แต่บนแผ่นดินเฉาเทียนมีของแบบนี้ที่ไหนกัน?
อากาศที่อยู่ตรงด้านหน้าหน้าผาพลันถูกฉีกออก กระบี่คมจักรวาลปรากฏตัวขึ้นมา!
ตัวกระบี่ยังคงร้อนระอุ แต่มันกลับสว่างเจิดจ้าเป็นอย่างมาก ภาพภูเขาหิมะที่สะท้อนอยู่บนตัวกระบี่ยิ่งดูเย็นยะเยือกขึ้นกว่าเดิม
ธงสุริยันโบกสะบัด ม้วนกระบี่คมจักรวาลเอาไว้ข้างใน ทำให้มันไม่สามารถเคลื่อนที่ต่อไปข้างหน้าได้
ไข่มุกเล็กจ้อย ริอาจเปล่งแสง?
ในขณะที่หวังเสี่ยวหมิงคิดถึงประโยคนี้ ด้านหน้าหน้าผาพลันมีร่างที่เย็นยะเยือกยิ่งกว่าปรากฏขึ้นมา
จิ๋งจิ่วพุ่งทะลุทะเลเพลิงเข้ามา ยื่นมือคว้าจับด้ามกระบี่คมจักรวาลเอาไว้แล้วออกแรงดันไปข้างหน้า
เสียงสวบดังขึ้นเบาๆ
กระบี่คมจักรวาลทะลุออกมาจากในธงสุริยัน พุ่งเข้าไปหาหวังเสี่ยวหมิง
ควันสีดำพวยพุ่งขึ้นมาจากบริเวณหน้าผา ธงสุริยันปล่อยเปลวเพลิงออกมาจำนวนนับไม่ถ้วน หวังเสี่ยวหมิงซ่อนตัวอยู่ในเปลวเพลิง ส่งเสียงตะโกนออกมาว่า “เจ้าคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะแทงถูกข้าอย่างนั้นรึ?”
ในเวลาเดียวกับที่เขาตะโกนประโยคนี้ออกมา จิตอาฆาตที่อยู่ในธงสุริยันเหล่านั้นก็ส่งเสียงร่ำไห้ออกมาจำนวนนับไม่ถ้วน เปลวเพลิงถาโถมเข้าใส่
นี่คือการประสานงานระหว่างเพลิงสุริยันและเสียงร่ำไห้ของดวงวิญญาณ
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับวิชามารเช่นนี้ ต่อให้เป็นยอดคนทะลวงสวรรค์ก็ยังรับมือได้ลำบาก
เสียงร่ำไห้เหล่านั้นมิได้มีผลใดๆ ต่อจิ๋งจิ่ว แต่เพลิงสุริยันยังคงน่ากลัวเป็นอย่างมาก ต่อให้เป็นร่างกายของเขาก็ทนอยู่ได้เพียงครู่หนึ่งเท่านั้น
เพียงครู่หนึ่งที่ว่าอย่างมากก็แค่ช่วงเวลาที่กล่าวคำพูดประโยคนั้นออกมา
แพ้ชนะอยู่ในช่วงเวลานี้
ในช่วงเวลานี้จะเห็นได้ว่าจิ๋งจิ่วปล่อยกระบี่ออกไปเพียงครั้งเดียว แต่ความจริงแล้วเขาปล่อยออกไปสามพันกว่ากระบี่แล้ว
สามพันกว่ากระบี่ถูกธงสุริยันป้องกันเอาไว้ได้เสียส่วนใหญ่ มีเพียงไม่กี่กระบี่ที่แทงถูกตัวของหวังเสี่ยวหมิงได้ เกิดเป็นรอยเลือดหลายรอย
และในเวลาเดียวกันนี้เอง เปลวเพลิงจากธงสุริยันก็ได้กลืนกินร่างกายของจิ๋งจิ่วเข้าไป
หากเปลี่ยนเป็นผู้บำเพ็ญพรตคนอื่น ในเวลานี้คงจะสลายกลายเป็นควันไปแล้ว
จิ๋งจิ่วไม่ตาย แต่เขาก็ได้รับบาดเจ็บมิใช่น้อย ชุดสีขาวที่ทำมาจากไหมฟ้าถูกเผาจนขาดกลายเป็นริ้วๆ บนร่างกายมีรอยไหม้ปรากฏขึ้นมา
จริงอยู่ที่ธงสุริยันน่ากลัว สภาวะของเขาในตอนนี้ไม่สามารถปะทะกับมันตรงๆ ได้ หากไม่ถอยก็มีแต่ต้องตายอยู่ตรงนั้น แต่เขายังคงใจเย็น เห็นได้ชัดว่ามีแผนการอยู่
บนทุ่งรกร้างพลันมีเสียงคำรามที่ไม่มีเสียงดังขึ้นมา ขณะเดียวกันก็มีพลังที่คลุ้มคลั่งสายหนึ่งพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง
ภูเขาหิมะสั่นสะเทือน หิมะจำนวนนับไม่ถ้วนถล่มลงมา เพียงพริบตาก็ท่วมผาขาดแห่งนี้
หวังเสี่ยวหมิงร่วงตกลงไปยังด้านล่างหน้าผา มือถือธงสุริยันพลางถอยออกไปไกลหลายร้อยจ้าง ทอดตามองออกไปอย่างระแวดระวัง คอยปกป้องตัวเองเอาไว้
สีหน้าของจิ๋งจิ่วคร่ำเคร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นิ้วมือขวาประกบกันเป็นกระบี่ ใช้เพลงกระบี่แบกสวรรค์วาดข่ายพลังออกมาอย่างรวดเร็ว
ลมกระโชกรุนแรง ร่างสีขาวร่างหนึ่งมาถึงตรงหน้าภูเขาหิมะพร้อมกับความเย็นยะเยือกที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่าหิมะและน้ำแข็ง
จิ่งจิ่วใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่ถึงจะสามารถคำนวณจุดอ่อนของธงสุริยันออกมา และใช้กระบี่เซียนแห่งยมโลกฝ่าทะเลเพลิงมาถึงตรงหน้าภูเขาหิมะได้
แต่เสวี่ยจีกลับพุ่งทะลวงเข้ามาตรงๆ ระดับความยากง่ายของทั้งสองคนต่างกันราวฟ้ากับดิน
แต่การที่เดินฝ่าทะเลเพลิงที่ร้อนแรงของธงสุริยันเข้ามา เสวี่ยจีก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนไปบ้างเหมือนกัน ผิวนอกของร่างกายละลายไปไม่น้อย ร่างกายดูเรียวเล็กขึ้นกว่าเดิม
หมอกเย็นยะเยือกแผ่กระจายออกมาจากร่างกายของนาง เปลวเพลิงที่อยู่บนพื้นค่อยๆ ดับลงไป
เพลิงสุริยันโบกสะบัด เกิดเป็นเปลวเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนลอยเข้าไปหานาง
นางเป็นเหมือนกับหลุมดำที่เย็นยะเยือก สามารถกลืนกินทุกแสงสว่างและความร้อนบนโลกได้
หวังเสี่ยวหมิงตกตะลึงจนพูดไม่ออก
เสวี่ยจีไม่แม้กระทั่งเหลือบมองเขา
นางเดินไปตรงหน้าจิ๋งจิ่ว ยื่นมือไปหยิบเอากระบี่คมจักรวาลมา
นางกอดกระบี่เอาไว้ ก้มหน้ามองดูอย่างตั้งใจ พินิจพิเคราะห์อย่างละเอียด
คล้ายกำลังชื่นชมภาพวาดภาพหนึ่ง
หรือพูดอีกอย่างก็คือจักรวาลแห่งหนึ่ง
…………………………………………….
[1]เสวี่ยจี หมายความว่า หญิงสาวหิมะ