มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 3 หมาแก่ (1)
หน้าร้อนของเมืองไห่โจวในปีนี้ค่อนข้างร้อนกว่าทุกปี
อาจจะเป็นเพราะกระแสน้ำอุ่นในทะเล แล้วก็อาจเป็นเพราะไม่มีวาฬบินยักษ์คอยดูดน้ำทะเลแล้วพ่นออกมาเป็นสายฝนอีกต่อไป
หลังศึกถล่มลานเมฆจบไป สำนักกระบี่ซีไห่ก็ถอยเข้าไปในส่วนลึกของทะเล อิทธิพลภายในเมืองไห่โจวค่อยๆ ลดน้อยลง สำนักเล็กๆ หลายสำนักฉวยโอกาสรุกเข้ามา
บนถนนหลักของเมืองไห่โจวเคยมีเหลาสุราอยู่แห่งหนึ่ง เจ้าของร้านเป็นปีศาจจิ้งจอก
เหลาสุราแห่งนี้ถูกพวกหนานเจิงที่เป็นยอดฝีมือของปู้เหล่าหลินพังถล่มจนกลายเป็นเศษซากปรักหักพัง แต่เป็นเพราะตำแหน่งดีอย่างมาก หลังผ่านไปไม่กี่ปีก็มีเหลาสุราถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ที่น่าสนใจก็คือเหลาสุราแห่งนี้ขายหม้อไฟเหมือนแต่ก่อน ยิ่งไปกว่านั้นมิได้มีแค่เพียงหมอไฟทะเล หากแต่ยังมีหม้อไฟของอี้โจวและหม้อไฟทางเหนือด้วย
แขกที่สวมหมวกลี่เม่าผู้หนึ่งเดินเข้าไปในเหลาสุรา สั่งหม้อไฟสำหรับหนึ่งคนพลางกินกับแกล้มไปเล็กน้อย ก่อนจะจ่ายเงินแล้วเดินจากไป บนบันไดหินที่อยู่ตรงหน้าเหลาสุรามีน้ำขังเล็กน้อย ในตอนที่แขกผู้นั้นเดินผ่าน ใบหน้าที่อยู่ภายใต้หมวกลี่เม่าได้สะท้อนไปบนผิวน้ำ ใบหน้านั้นเป็นสีดำ ไม่รู้ว่าเขาสวมใส่หน้ากากหรือว่าเป็นอะไร
เสี่ยวเอ้อรีบเข้ามาเก็บกวาดทำความสะอาดโต๊ะนั้นอย่างรวดเร็ว น้ำแกงที่กินเหลือในหม้อไฟถูกเทลงถังขยะ กระดาษเล็กๆ แผ่นหนึ่งถูกส่งไปยังครัวด้านหลัง
สุดท้ายกระดาษแผ่นนั้นก็ถูกส่งเข้าไปในห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง
หม้อไฟภายในห้องส่วนตัวห้องนั้นมีขนาดใหญ่ มิใช่หม้อยวนยาง น้ำแกงสีแดงดูเหมือนเลือด แล้วก็เหมือนพระอาทิตย์ตกดินของวัดกั่วเฉิง ดูเผ็ดร้อนเป็นอย่างมาก
เท้าขวาของอินซานเหยียบไปบนเก้าอี้ คีบหลอดเลือดหัวใจและผ้าขี้ริ้วที่อยู่ในน้ำแกงด้วยท่าทางสบายๆ ใบหน้าที่งดงามไม่มีหยดเหงื่อ มีเพียงสีหน้าที่พึงพอใจ
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินนั่งอยู่ตรงข้ามเขา มองดูเนื้อหาในกระดาษแผ่นนั้นพลางกล่าวถามว่า “ท่านนักพรต ได้สถานที่มาแล้ว พวกเราจะออกเดินทางเมื่อไร?”
อินซานกินหม้อไฟอย่างตั้งใจพลางกล่าวว่า “กินเสร็จค่อยว่ากัน”
……
……
ความยอดเยี่ยมของหม้อไฟนั้นอยู่ที่ว่าหากเจ้ายินดี เจ้าก็จะสามารถกินมันไปได้เรื่อยๆ ขอเพียงไม่หยุดเติมน้ำแกงและอาหารลงไปในหม้อ
ดังนั้นจนกระทั่งกลางดึก อินซานกับปรมาจารย์สำนักเสวียนอินถึงเพิ่งจะออกมาจากเหลาสุรา
พวกเขาเดินออกจากเมืองไห่โจว มาถึงริมทะเล ทะลุผ่านโขดหินที่กระจัดกระจายอยู่ในทะเล มาถึงส่วนลึกแห่งหนึ่งของทะเล
พวกเขาเดินทางมาที่นี่มิใช่เพื่อจะมาดูเศษซากของลานเมฆ แล้วก็มิได้มาเอาของวิเศษอะไร หากแต่มาหาคนผู้หนึ่ง
ช่วงเวลากลางดึกที่มีเสียงคลื่นซัดสาด พวกเขาเดินไปบนทะเลอยู่เป็นเวลานาน มาถึงเกาะเล็กๆ ที่อยู่ห่างไกลและดูธรรมดาแห่งหนึ่ง
บนเกาะเล็กๆ มีต้นไม้สีเขียวเล็กน้อย ไม่มีปีศาจ มีเพียงกิ้งก่าที่กำลังล่าเหยื่อในเวลาค่ำคืน
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินเดินตามเส้นทางที่บอกเอาไว้ในแผนที่ มาถึงตรงหน้าพุ่มไม้ที่ดูธรรมดาอย่างมากพุ่มหนึ่ง ก่อนจะกล่าวทอดถอนใจว่า “สมแล้วที่เป็นเจ้านั่น ข่ายพลังนี้วางได้ดีจริงๆ”
พุ่มไม้พุ่มนั้นไม่มีอะไรพิเศษ แล้วก็ไม่มีร่องรอยของข่ายพลัง หากมิเป็นเพราะรู้ล่วงหน้า ใครจะไปคิดถึงว่านี่จะเป็นปากทางเข้าอุโมงค์
อินซานรับรู้ถึงอุโมงค์ที่ตรงไปยังส่วนลึกใต้ดินเส้นนั้น กล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าจะซ่อนอยู่ในใต้ทะเลที่ตัดขาดจากโลก มิน่าผ่านมานานขนาดนี้ก็ยังไม่มีใครหาเขาพบ”
ในอุโมงค์อันมืดมิด พวกเขาเดินไปเป็นเวลานาน จากการคำนวณคร่าวๆ แล้วน่าจะมาถึงใต้ทะเลลึกหลายร้อยจ้าง ในที่สุดก็มองเห็นประตูเหล็กที่หนักอึ้งบานหนึ่ง
บนประตูมีลวดลายต่างๆ แกะสลักเอาไว้ มีดอกไม้ มีปลา ลายเส้นดูเรียบง่าย แผ่ไอพลังจางๆ
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินกวาดตามอง พลางกล่าวว่า “ข้าพังเข้าไปได้ แต่จะทำให้เขารู้ตัว”
“ข้าเอง”
อินซานยกมือขวากดไปบนปลาประหลาดตัวหนึ่งที่อยู่แกะสลักอยู่บนประตูเหล็ก
ผ่านไปครู่ใหญ่ จู่ๆ ดอกไม้ที่อยู่บนประตูเหล็กเหล่านั้นพลันเบ่งบาน คล้ายมีชีวิตขึ้นมา ปลาประหลาดตัวนั้นก็คล้ายมีชีวิตขึ้นมา มันพยายามจะแหวกว่ายออกมาจากฝ่ามือของเขาเพื่อไปแจ้งข่าวให้กับคนที่อยู่ด้านใน แต่มันกลับไม่สามารถดิ้นหลุดออกมาได้
อินซานลูบปลาประหลาดตัวนั้นเบาๆ หว่างนิ้วมือคล้ายมีสายลมเย็นสบายที่ทำให้มันสงบลง
ประตูเหล็กที่หนักอึ้งค่อยๆ เปิดออก ไม่มีฝุ่นควันฟุ้งกระจายขึ้นมา
น้ำทะเลจำนวนมหาศาลไหลทะลักออกมาจากด้านใน
อินซานและปรมาจารย์สำนักเสวียนอินสงบนิ่ง มิได้ฉากหลบ แล้วก็มิได้ตกใจ
พวกเขาลอยไปในน้ำทะเล มองดูภาพที่อยู่เบื้องหน้า
ภายในประตูเหล็กก็คือโลกที่อยู่ใต้ทะเล
ปลารูปร่างประหลาดกำลังแหวกว่าย ดอกไม้ที่มีแสงกำลังพลิ้วไหว ไกลออกไปคล้ายมีเงาใหญ่ยักษ์ที่ดูน่ากลัว ไม่รู้ว่าเป็นอสูรทะเลที่ดุร้ายชนิดไหน
อินซานรู้ว่าภาพเหล่านี้ล้วนแต่ไม่จริง สีหน้าเรียบเฉย สองมือไพล่เอาไว้ด้านหลัง แหวกว่ายไปเบื้องหน้าอย่างสบายๆ
เจ้าคนที่แอบซ่อนอยู่ใต้ทะเลนั่นน่าสนใจทีเดียว สภาวะธรรมดา แต่ข่ายพลังกับความสามารถทางจิตกลับมิได้อ่อนแอ คิดไม่ถึงว่าจะรับรู้ถึงการมาของตนเองได้
เขามิได้กังวลว่าอีกฝ่ายจะโจมตีกลับ เพียงแต่ไม่อยากให้อีกฝ่ายได้เตรียมตัว สุดท้ายยอมฆ่าตัวตายแต่ไม่ยอมถูกควบคุมจิตใจ
ร่างที่น่ากลัวขนาดใหญ่เหล่านั้นขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ นั่นคือกุ่ยมู่หลิงฝูงหนึ่ง!
กุ่ยมู่หลิงเหล่านั้นพุ่งเข้ามาหาอินซาน
อินซานมิได้สนใจแม้แต่น้อย สายตามองไปยังโขดหินกองหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล
กุ่ยมู่หลิงตัวหนึ่งกินเขาเข้าไป จากนั้นกลายเป็นจุดแสง แตกกระจายไปในน้ำทะเล จากนั้นหายไปจนไม่เหลือร่องรอยแม้แต่น้อย
อินซานลอยมาถึงตรงหน้าโขดหินกองนั้น นั่งยองๆ ลงไป มองดูปลาตัวเล็กที่หน้าตาน่าเกลียดที่ซ่อนตัวอยู่ในซอกหินตัวหนึ่ง
สายตาของปลาอัปลักษณ์ตัวนั้นประสานกับสายตาเขา
“เจ้าเป็นใคร…คิดไม่ถึงว่าจะมองข่ายพลังของข้าออก”
ปลาอัปลักษณ์พูดออกมา
เขารับรู้ได้ว่าอินซานอย่างมากก็อยู่แค่สภาวะคเนจร เหตุใดถึงไม่ได้รับผลกระทบจากกระแสจิตของตน?
อินซานยิ้มพลางกล่าว “พวกลูกไม้ตื้นๆ แบบนี้อย่าเอามาใช้ต่อหน้าข้าจะดีกว่า นอกจากนี้ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้ก่อน ในการพูดคุยหลังจากนี้อย่าได้เรียกตัวเองว่าเหล่าฟู[1] เพราะเมื่ออยู่ต่อหน้าข้าเจ้าไม่มีคุณสมบัตินั้น”
เมื่อกล่าวประโยคนี้จบ เขาก็ดีดนิ้วทีหนึ่ง
เสียงผัวะเบาๆ ดังขึ้น กุ่ยมู่หลิงเหล่านั้นกลายเป็นจุดแสงแล้วสลายหายไป ดอกไม้ประหลาดที่พลิ้วไหวไปมาในน้ำทะเลและปลาประหลาดอีกนับหมื่นนับพันตัวก็หายไปเช่นกัน กระทั่งน้ำทะเลก็หายไปด้วย
จริงอยู่ที่ที่นี่อยู่ใต้ทะเล แต่มันมิได้อยู่ในทะเล หากแต่เป็นเรือนแห่งหนึ่งที่อยู่ในใต้ดิน พื้นสะอาดสะอ้าน กระทั่งน้ำสักหยดก็ไม่มี
การตกแต่งภายในเรือนดูหรูหรา ริมกำแพงมีบอนไซสนตั้งเรียงราย ในอ่างผลึกแก้วมีปลาคาร์ฟหลายสิบตัว แหวกว่ายไปมาอยู่ในโครงกระดูกสีขาว
โครงกระดูกสีขาวก็คือกุ่ยมู่หลิง ปลาคาร์ฟคือปลาประหลาด บอนไซสนคือดอกไม้ประหลาด ทุกอย่างล้วนคือสิ่งลวงตา
“เจ้ามีชื่อเสียงอย่างมากในการทำนายดวงชะตา เลี้ยงปลาคาร์ฟไว้บ้างมันก็มิใช่เรื่องแปลกอะไร แต่กระดูกสีขาวนั่นมันคืออะไรกัน?”
อินซานดึงสายตากลับมา มองไปทางชายชราผู้หนึ่ง
ชายชราผู้นี้ผมขาวเหมือนดอกเลา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น ดวงตาทั้งสองข้างหลุบลึก ไม่รู้ว่าตาบอดมาแล้วกี่ปี
เขาก็คือปลาอัปลักษณ์ตัวเล็กเมื่อครู่นี้ หรือก็คือเทียนจิ้นเหรินที่หายสาบสูบไปจากโลกเป็นเวลาหลายปี
…..
…..
เทียนจิ้นเหรินเป็นคนที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง
เขามิได้มีแค่เพียงชื่อเสียงในการทำนายดวงชะตาเหมือนอย่างที่อินซานว่ามา ในอดีตเขาดูแลสำนักปัญญาชนไป๋ลู่ ถูกผู้คนมองว่าคำพูดเขาเพียงคำเดียวก็สามารถตัดสินความเป็นความตายได้ อีกทั้งสามารถแอบดูความลับสวรรค์ได้
กระทั่งคนอย่างลั่วไหวหนานและองค์จิ่งซินก็อยากได้คำวิจารณ์จากเขา
เขามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสำนักกระบี่ซีไห่ แล้วก็ได้รับการไหว้วานจากฟางจิ่งเทียน คิดจะสังหารจิ๋งจิ่วในสวนดอกเหมยเก่า
แต่ที่น่าเสียดายก็คือเขาไม่รู้ว่าถึงแม้จิ๋งจิ่วจะสภาวะต่ำต้อย แต่พลังจิตกลับกล้าแข็งเป็นอย่างมาก เขาพ่ายแพ้ จากนั้นก็ถูกฉานจึไล่ออกจากเมืองเจาเกอ ภายหลังลานเมฆถูกทำลาย สำนักปัญญาชนไป๋ลู่ถูกเผยไป๋ฟ่าพาศิษย์สำนักอู๋เอินเหมินไปจุดไฟเผา เขารู้ตัวก่อน จึงรีบชิงหนีออกมาซ่อนตัวอยู่ที่เรือนแห่งนี้จนกระทั่งถึงตอนนี้
…………………………………………………………….
[1]เหล่าฟู คือคำเรียกแทนตัวเองของชายชรา