มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 28 ฟ้าดินล้วนคือเพลิง บนล่างล้วนแต่เป็นคันฉ่อง...หรือว่ากระบี่
หวังเสี่ยวหมิงตกตะลึง ไม่รู้ว่าควรจะเผชิญหน้ากับคำพูดประโยคนี้ของถงเหยียนอย่างไร ดังนั้นเขาจึงรู้สึกโกรธขึ้นมาอีกครั้ง พลางกล่าวตะคอกว่า “เจ้าจะไปรู้อะไร! เจ้ารู้ไหมว่าข้ามาถึงวันนี้ได้อย่างไร? เจ้ามีสิทธิ์อะไรมากำหนดว่าข้าเป็นใคร!”
“เรื่องของท่าน ข้ารู้มาไม่น้อย”
ถงเหยียนมองดูเขาที่ยืนอยู่บนหน้าผา กล่าวว่า “ทั้งหมู่บ้านและอาจจะรวมถึงคนในครอบครัวถูกผู้บำเพ็ญพรตที่โง่เขลาสองคนฝังอยู่ในดิน ซือเฟิงเฉินที่เป็นพ่อบุญธรรมตายเพราะความดื้อดึง เแค่พราะเรื่องพวกนี้ ท่านก็เลยรับเอามุมมองที่เขามีต่อผู้บำเพ็ญพรตมา กระทั่งยอมฝึกวิชามาร กลายเป็นประมุขของสำนักเสวียนอิน แล้วก็จะทำลายโลกนี้?”
จิ๋งจิ่วมองดูเขา ในใจครุ่นคิดว่าสำนักจงโจวสืบเรื่องนี้อย่างละเอียดจริงๆ ด้วย
“แค่เพราะเรื่องพวกนี้? แค่? หรือว่ามันยังไม่พอ! ถูกต้อง ตอนที่หมู่บ้านถูกโคลนถล่ม ข้ายังเล็ก ไม่ได้รู้สึกอะไรนัก….”
หวังเสี่ยวหมิงจ้องมองจิ๋งจิ่ว ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคียดแค้น ตะคอกเสียงดังว่า “แต่พ่อบุญธรรมมีบุญคุณต่อข้าดุจดั่งขุนเขา แต่เจ้ากลับฆ่าเขา!”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าไม่ได้ฆ่าเขา”
เขาไม่ชอบแก้ต่างให้ตัวเอง แต่ก็ยิ่งไม่ชอบแบกรับความผิด เขาไม่ใช่สือซุ่ยเสียหน่อย
“เจ้าโกหก! ข้ารู้ว่าเจ้าไปที่นั่นมา! ต่อให้เจ้าไม่ได้ลงมือด้วยตัวเอง แต่เจ้าก็บีบให้เขาต้องตาย!”
หวังเสี่ยวหมิงคิดถึงบ้านหลังเล็กในเมืองเจาเกอหลังนั้น คิดถึงยอดอ่อนของผักกาดขาวที่แห้งเหี่ยวเหล่านั้น พลางกล่าวด้วยน้ำตานองหน้าว่า “ยี่สิบสามปีแล้ว…เจ้ารู้ไหม? ข้าต้องทุกข์ทรมานแค่ไหนเวลาที่คิดถึงเจ้ากับเจ้าล่าเยวี่ย? ข้าอยากให้เจ้าตาย…แต่ข้าอยากให้เจ้าทุกข์ทรมานมากกว่า!”
จิ๋งจิ่วไม่ได้พูดอะไรอีก
ถงเหยียนกล่าวว่า “ซือเฟิงเฉินจ้างนักฆ่าจากปู้เหล่าหลิน คิดอยากจะลอบสังหารเจ้าล่าเยวี่ย หลังจากเรื่องราวล้มเหลวจึงฆ่าตัวตายเพราะหวาดกลัวความผิด ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับจิ๋งจิ่ว”
“ท่านพ่อบุญธรรมเป็นขุนนางระดับสูงของราชสำนัก ด้วยเงินเดือนและความเคารพยำเกรงจากสำนักเล็กๆ เหล่านั้น ท่านก็สามารถใช้ชีวิตได้ราวกับเซียนแล้ว เหตุใดถึงต้องคอยไล่ตามผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักชิงซานอย่างไม่รามือด้วยล่ะ?”
หวังเสี่ยวหมิงเงยหน้าขึ้นมา ทำให้น้ำตาบนใบหน้าถูกความร้อนจากธงสุริยันแผดเผาจนเหือดแห้งไป “เพราะเจ้าล่าเยวี่ยคือหายนะ! ข้าเคยอ่านเอกสารคดีเหล่านั้น กระบี่มิคำนึง…คือกระบี่ที่อาบไปด้วยเลือดจนกลายเป็นสีแดง! ขอบคุณสวรรค์ที่ส่งจิ๋งจิ่วมาถึงตรงหน้าข้า วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าก่อน หลังจากนั้นค่อยไปฆ่านาง ส่งพวกเจ้าไปอยู่ด้วยกัน”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็ไม่ได้มองจิ๋งจิ่วอีก คล้ายกับว่าจิ๋งจิ่วได้ตายไปแล้ว
เขากล่าวกับถงเหยียนว่า “เห็นแก่ที่เจ้าพูดคุยเป็นเพื่อนข้านานขนาดนี้ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า ขอเพียงมอบคันฉ่องฟ้ากระจ่างออกมาก็พอ”
ธงสุริยันประสานเข้ากับยอดฝีมือและเครื่องมือวิเศษของสำนักเสวียนอิน กลายเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ที่ปกคลุมทุ่งรกร้างของเขาเหลิ่งซานเอาไว้
เขาจงใจเปิดช่องบนตาข่ายเอาไว้ เพื่อให้ถงเหยียนและศิษย์ของชิงซานผู้นั้นสามารถหนีมาที่นี่ได้
ในเวลานี้ตาข่ายที่ว่านั้นได้ขยายตามตัวเขามาถึงตีนเขาหิมะแล้ว
เขาไม่ชอบที่เหล่าผู้อาวุโสคอยพูดทักท้วง แต่เขาก็ไม่อยากให้ใครมาเห็นตัวเองสังหารศิษย์สำนักชิงซาน
ในตอนนั้นเขาไม่รู้ว่าศิษย์ชิงซานผู้นั้นคือจิ๋งจิ่ว
คนสองคนที่เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดบนวิถีหมากล้อมของโลกก็คือจิ๋งจิ่วและถงเหยียน ในอีกแง่หนึ่งแล้ว พวกเขาถือเป็นคนสองคนที่เฉลียวฉลาดที่สุดและมีการตอบสนองรวดเร็วที่สุด
การร่วมมือกันและการที่ละทิ้งอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงใจก่อนหน้านี้ล้วนแต่คือข้อพิสูจน์
จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีผู้อาวุโสและยอดฝีมือของนิกายเสวียนอินปรากฏตัว พวกเขารู้ว่าหวังเสี่ยวหมิงกำลังกลัวอะไร
หากถงเหยียนส่งสัญญาณไปยังสำนักจงโจว นั่นก็เท่ากับเป็นการรนหาที่ตาย เขาได้แต่ต้องฝากความหวังเอาไว้ที่จิ๋งจิ่ว
ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดเช่นนี้ จิ๋งจิ่วพลันออกกระบี่ไปอีกครั้ง
กระบี่คมจักรวาลแหวกอากาศพุ่งออกไป กลายเป็นลำแสงกระบี่ที่เย็นยะเยือก เพียงพริบตาก็ไปอยู่บนฟ้าที่สูงขึ้นไปสิบกว่าลี้
ก้อนเมฆที่อยู่ตรงนั้นได้สะท้อนแสงของดวงอาทิตย์ที่อยู่ไกลออกไป คล้ายกำลังลุกไหม้
แต่ความจริงแล้ว เมฆเหล่านั้นกำลังลุกไหม้อยู่จริงๆ
ลำแสงกระบี่วกกลับมาทันที จากนั้นบินไปยังทิศตะวันตกที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าลี้ ก่อนจะเจอกับกำแพงเพลิงอีกแถบหนึ่ง
จิ๋งจิ่วยื่นมือซ้ายออกไป กระบี่คมจักรวาลบินกลับมายังมือของเขา
ธงสุริยันได้ควบคุมฟ้าดินแห่งนี้เอาไว้แล้ว ทุกที่ล้วนแต่มีเปลวเพลิงอันร้อนระอุขวางกั้น
เขาได้เร่งความเร็วของกระบี่คมจักรวาลขึ้นไปถึงจุดสูงสุดแล้ว แม้นจะใช้กระบี่เซียนแห่งยมโลกก็ยังไม่มีประโยชน์เช่นกัน
กระบี่คมจักรวาลออกไปไม่ได้ ตัวเขาเองก็ย่อมออกไปไม่ได้ ข่าวสารก็ไม่สามารถส่งออกไปได้เช่นกัน
หวังเสี่ยวหมิงยืนอยู่ริมผา ก้มมองดูถงเหยียน เปลวเพลิงที่อยู่ในส่วนลึกของดวงตาค่อยๆ มอดดับลง แต่จิตสังหารกลับพวยพุ่งอย่างรุนแรง
“ในเมื่อเจ้าไม่ตกลง อย่างนั้นก็ตายไปพร้อมกับมันแล้วกัน”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็ยื่นมือขวาออกไปในอากาศ
ธงสุริยันเผยตัวออกมาอีกครั้ง ด้ามธงถูกเขากำแน่นอยู่ในมือ
เสียงหวึ่งดังขึ้น ธงสีดำลอยขึ้นไปโดยไม่มีลม ส่งเสียงคำรามพลางโบกสะบัด จิตอาฆาตที่อยู่ในธงส่งเสียงร่ำไห้โหยหวนออกมานับไม่ถ้วน
จิตอาฆาตเหล่านี้เป็นร่างความคิดบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นหลังจากการบูชายัญ ไร้ความคิดและความรู้สึก ฝีมือการบูชายัญนี้เหนือกว่ายอดฝีมือวิถีมารที่จิ๋งจิ่วได้พบตอนอยู่ใต้ดินตั้งไม่รู้กี่เท่า
เมื่อจิตอาฆาตส่งเสียงร่ำไห้โหยหวนออกมา จุดสีแดงที่เหมือนโลหิตบนธงสีดำเหล่านั้นก็สว่างเจิดจ้าขึ้นกว่าเดิม จากนั้นลุกไหม้ขึ้นมา
ในตอนที่ธงสุริยันเริ่มลุกไหม้ ทั่วทั้งฟ้าดินก็เริ่มลุกไหม้ขึ้นมา
ก้อนเมฆที่อยู่บนท้องฟ้าบดบังดวงอาทิตย์ ภูเขาหิมะมืดสลัวลง จู่ๆ กลายเป็นสีแดงเพลิง จากนั้นมีเปลวไฟที่เจิดจ้าพวยพุ่งออกมา
ธงสุริยันที่อยู่ในมือของหวังเสี่ยวหมิงหมุนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ภายในธงยิงเปลวเพลิงออกมาจำนวนนับไม่ถ้วน
ตรงตำแหน่งที่เปลวเพลิงลอยผ่าน หิมะและน้ำแข็งพลันละลาย จากนั้นกลายเป็นไอน้ำ กระทั่งหินที่มีความแข็งเหล่านั้นก็ยังอ่อนตัวลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลายเป็นของเหลว
จากนั้น พื้นตรงหน้าภูเขาหิมะก็มีเปลวเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนลุกไหม้ขึ้นมา
เพลิงเหล่านั้นคือเพลิงใต้ดินที่เกิดขึ้นมาจากธงสุริยัน มิใช่เพลิงธรรมดา หากแต่เป็นเพลิงสุริยันที่แท้จริง เรียกได้ว่าเป็นเปลวเพลิงที่น่ากลัวที่สุดในโลกเหมือนกับเพลิงในแม่น้ำหมิง
อย่าว่าแต่ถงเหยียนเลย กระทั่งจิ๋งจิ่วและราชาปลาไนเพลิงก็ยังมิอาจทนไหว
ทุกที่ล้วนแต่เต็มไปด้วยเปลวเพลิง
ทุ่งน้ำแข็งกลายเป็นบึงน้ำ ลำธารกลายเป็นกระแสน้ำหลาก แต่เพียงแค่ครู่เดียว น้ำเหล่านั้นก็ถูกเผาจนกลายเป็นไอน้ำ บดบังสายตาเบื้องหน้า
ทุ่งหญ้าเผยตัวออกมาหลังจากหิมะละลาย แต่เพียงพริบตามันก็ลุกไหม้ขึ้นมา กลายเป็นเหมือนหมู่ดาวที่ส่องแสงระยิบระบับอยู่ในไอหมอก
ภาพนี้ดูคล้ายดินแดนเซียน แต่มันกลับเป็นนรกบนดินอย่างแท้จริง
จิ๋งจิ่วและถงเหยียนเป็นเหมือนเรือลำเล็กที่ลอยอยู่บนทะเลเพลิง อาจจะถูกกลืนกินกลายเป็นเถ้าถ่านได้ทุกเมื่อ
สมแล้วที่ธงสุริยันเป็นอาวุธวิเศษระดับเทพมาร ทันทีที่ปลดปล่อยพลังสังหารเต็มที่ อานุภาพเรียกได้ว่าแข็งแกร่งจนยากจะจินตนาการได้
กำแพงเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนขังจิ๋งจิ่งและถงเหยียนเอาไว้ ไม่สามารถหนีไปไหนได้
อีกด้านหนึ่งของไอหมอกและกำแพงเพลิงพลันมีแรงกดดันที่แกร่งกล้าสายหนึ่งถาโถมเข้ามา
เสาเพลิงแท่งหนึ่งยิงเข้ามา นั่นคือการโจมตีจากธงสุริยัน!
ดูแล้วคงไม่แคล้วต้องถูกเผาตาย มือขวาของถงเหยียนกุมวัตถุที่มีความแข็งชิ้นหนึ่งที่อยู่ในแขนเสื้อ ในใจคิดว่าหรือต้องใช้ตอนนี้?
ในเวลานี้เอง เขาพลันรู้สึกตัวเบาขึ้นมา
คันฉ่องฟ้ากระจ่างถูกจิ๋งจิ่วหยิบเอาไป
จิ๋งจิ่วเดินไปตรงหน้าถงเหยียน ชูคันฉ่องฟ้ากระจ่างไปยังทิศทางที่เสาเพลิงพุ่งเข้ามา
เสียงตู้มดังสนั่นหวั่นไหว
คลื่นอากาศถาโถม เปลวเพลิงโหมกระหน่ำอย่างคลุ้มคลั่ง จากนั้นกระจายตัวออกไปรอบๆ
เปลวเพลิงจากใต้ดินที่อยู่ไม่ห่างจากพวกเขาถึงขนาดถูกดันกลับลงไปใต้ดิน!
เปลวเพลิงอันเจิดจ้าที่แฝงเอาไว้ด้วยอุณหภูมิที่ร้อนแรงจนน่าหวาดกลัวลามเลียผ่านขอบของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง ก่อนจะพุ่งกระจายออกไปรอบด้านไม่หยุด
ถงเหยียนส่งเสียงอึกขึ้นมา กระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง โลหิตยังมิทันได้หยดลงพื้น ก็ถูกอุณหภูมิที่ร้อนระอุเผาจนสลายกลายเป็นควัน
เพียงแค่แรงกระแทกเล็กน้อย กลับทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส
จิ๋งจิ่วรับรู้ได้ถึงพละกำลังอันมหาศาลที่แผ่มาจากมือขวา คล้ายมีภูเขาลูกหนึ่งกดทับลงมา
เขายังคงชูคันฉ่องฟ้ากระจ่างเอาไว้ แขนขวาไม่ขยับแม้แต่น้อย
หากมองลงมาจากบนฟ้า บางทีอาจจะคิดว่าเขากำลังชูพระอาทิตย์อยู่
นิ้วมือของถงเหยียนขยับอย่างรวดเร็วกลางอากาศ ใช้พลังดับไฟที่ลุกอยู่บนเสื้อผ้าของตัวเองและจิ๋งจิ่ว
คันฉ่องฟ้ากระจ่างยังคงป้องกันเสาเพลิงแท่งนั้นเอาไว้ เปล่งแสงที่สว่างเจิดจ้า
อากาศภายในทะเลเพลิงปั่นป่วนอย่างรุนแรง ทำให้เกิดลมอันคลุ่มคลั่งและเสียงดังสนั่นคล้ายฟ้าคำราม
เขามองดูแผ่นหลังของจิ๋งจิ่วพลางกล่าวถามว่า “ไหวไหม?”
จิ๋งจิ่วมิได้หันหน้ากลับมา กล่าวว่า “ค่อนข้างทนร้อนทีเดียว”
ห่างออกไปด้านนอกทะเลเพลิงมีเสียงหัวเราะของหวังเสี่ยวหมิงดังขึ้นมา
“น่าสนใจ! ของวิเศษระดับมหายานอย่างคันฉ่องฟ้ากระจ่างถูกเจ้าเอามาใช้เป็นโล่ ช่างน่าเสียดายจริงๆ…แต่ฟ้าดินล้วนแต่เป็นเพลิง เจ้าจะกันได้อย่างไร!”
สิ้นเสียงของเขา ธงสุริยันก็แสดงพลังออกมาอีกครั้ง
เพลิงใต้ดินที่เพิ่งจะดับลงไปพวยพุ่งออกมาจากรอยแตกของพื้นดินอีกครั้ง โหมกระหน่ำรุนแรงขึ้นกว่าก่อนหน้านี้
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือก้อนเมฆที่อยู่บนท้องฟ้าเหนือภูเขาหิมะปั่นป่วน เสาเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนตกลงมา!
ทั่วทั้งท้องฟ้าเต็มไปด้วยเปลวเพลิงที่หลั่งไหลลงมา คล้ายดังพายุอุกกาบาตที่กระหน่ำตกลงมาบนพื้นโลก!
ต่อให้คันฉ่องฟ้ากระจ่างจะร้ายกาจแค่ไหน สุดท้ายมันก็มีขนาดใหญ่เพียงเท่านี้ แล้วมันจะป้องกันเปลวเพลิงที่ตกลงมาเหมือนห่าฝนเหล่านั้นได้อย่างไร?
ในเวลานี้ไม่ว่าใครก็คงจะมีความคิดหนึ่งอยู่ในหัว หากคันฉ่องฟ้ากระจ่างใหญ่ขึ้นอีกหน่อยก็คงจะดี
จิ๋งจิ่วโยนคันฉ่องฟ้ากระจ่างขึ้นไปบนท้องฟ้า
คันฉ่องฟ้ากระจ่างขยายใหญ่ขึ้น เพียงพริบตาก็กลายเป็นคันฉ่องสัมฤทธิ์ที่มีขนาดเส้นรอบวงหลายสิบจ้าง!
ตอนที่อยู่ในส่วนลึกของหุบเขาหุยอิน เดิมคันฉ่องฟ้ากระจ่างก็มีรูปร่างเป็นแบบนี้อยู่แล้ว!
คันฉ่องสัมฤทธิ์เป็นเหมือนร่มไม้ขนาดใหญ่ คอยคุ้มกันอยู่เหนือศีรษะของจิ๋งจิ่วและถงเหยียน
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
เปลวเพลิงที่ลุกไหม้เต็มท้องฟ้าร่วงตกลงมา กระแทกลงบนผิวของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง สะเก็ดไฟจำนวนนับไม่ถ้วนแตกกระจาย ส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว คล้ายเครื่องยิงหินจำนวนหลายร้อยตัวกำลังกระหน่ำโจมตีเมืองพร้อมกัน
ถงเหยียนเงยหน้าขึ้นไปมองคันฉ่องฟ้ากระจ่าง มองดูภาพเหมือนของผู้คนและตึกรามบ้านช่องเหล่านั้น ก่อนจะถามขึ้นมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจว่า “แบบนี้ก็ได้หรือ?”
จิ๋งจิ่วนวดไหล่ขวา มองดูคันฉ่องฟ้ากระจ่างพลางกล่าวว่า “ถึงจะต่อสู้ไม่ได้ แต่ถ้าหากกระทั่งเรื่องแค่นี้ยังทำไม่ได้ อย่างนั้นจะเรียกของวิเศษชั้นสวรรค์ได้อย่างไร?”
……
……
เวลาที่มนุษย์ต่อสู้กัน บนรถที่ใช้โจมตีเมืองมักจะมีเกราะเหล็กหุ้มเอาไว้ สามารถใช้ป้องกันลูกธนูได้ แล้วก็ยังใช้ป้องกันน้ำมันร้อนๆ ที่น่ากลัวได้
เวลานี้คันฉ่องฟ้ากระจ่างกำลังแสดงบทบาทอย่างเดียวกับเกราะเหล็กอยู่ เพียงแต่มีความหนามากกว่า อีกทั้งยังลอยอยู่กลางอากาศได้ด้วยตัวเอง ดูแล้วเหมือนกับอาวุธวิเศษที่สามารถบินไปในอากาศได้
หากบนพื้นที่อยู่ตรงหน้าภูเขาหิมะไม่มีกำแพงเพลิงจำนวนมากจนไม่สามารถบินฝ่าออกไปได้ล่ะก็ คันฉ่องฟ้ากระจ่างคงจะสามารถคุ้มครองพวกเขาให้หนีไปจากที่นี่ได้เลยก็เป็นได้
เปลวเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนตกลงมาจากบนฟ้า กระแทกลงบนผิวของคันฉ่องฟ้ากระจ่างเหมือนดั่งฝนดาวตก สะเก็ดเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนกระเด็นออกมา สาดกระจายไปบนพื้นของทุ่งกว้างรกร้างที่อยู่รอบๆ
คันฉ่องฟ้ากระจ่างค่อยๆ ลอยต่ำลง อยู่ใกล้พื้นดินขึ้นกว่าเดิม
เสียงอันเย็นชาของหวังเสี่ยวหมิงดังมาจากทางภูเขาหิมะอีกครั้ง “ช่างน่าสนใจจริงๆ แต่ข้าบอกแล้วว่าฟ้าดินล้วนคือเพลิง ต่อให้เจ้าป้องกันฟ้าได้ แล้วพื้นดินล่ะ?”
สิ้นเสียงเขา เปลวไฟที่พุ่งขึ้นมาจากในรอยแตกบนพื้นพลันพุ่งสูงขึ้น ทะเลเพลิงยิ่งลุกโชนโหมกระหน่ำ
เปลวเพลิงที่พุ่งขึ้นมาจากใต้พื้นดินในเวลานี้ล้วนแต่เป็นเพลิงสุริยันของธงสุริยัน หากเป็นผู้บำเพ็ญพรตธรรมดา คงจะตายในทันทีที่สัมผัสถูกมัน
ถงเหยียนใช้วิชาหลบหนีฟ้าดิน เหยียบอากาศทะยานขึ้นไปบนฟ้าที่สูงขึ้นไปสิบกว่าจ้าง ซ่อนตัวอยู่ในเงาของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง
เปลวเพลิงอันน่ากลัวที่พวยพุ่งขึ้นมาจากใต้ดินยังคงลามเลียขึ้นไปด้านบน ดูแล้วเหมือนกำลังจะม้วนเอาเขาเข้าไป
ลำแสงกระบี่ที่มีขนาดกว้างอย่างมากสายหนึ่งพลันปรากฏขึ้น สกัดกั้นเปลวเพลิงเหล่านั้นเอาไว้
กระบี่คมจักรวาลและคันฉ่องฟ้ากระจ่างเป็นเหมือนแผ่นเหล็กสองชิ้นที่หนีบพวกเขาเอาไว้ตรงกลาง เหลือเพียงร่องเล็กๆ ร่องหนึ่งเอาไว้เท่านั้น
เปลวเพลิงจากธงสุริยันยากจะมุดเข้าไปได้
ถงเหยียนรับรู้ได้ถึงความรู้สึกร้อนระอุที่แผ่ขึ้นมาจากใต้เท้า ก่อนกล่าวถามอย่างตกใจว่า “แบบนี้ก็ได้หรือ?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “กระบี่เล่มนี้ค่อนข้างทนร้อน”
ในอดีตกระบี่เล่มนี้ถูกไฟเผาอยู่ในส่วนลึกของที่ราบหิมะเป็นเวลาหกปี ถึงแม้อุณหภูมิของเพลิงกระบี่จะมิอาจเทียบกับเพลิงสุริยันจากธงสุริยันได้ แต่มันก็ทำให้กระบี่เล่มนี้กลายเป็นกระบี่ชั้นเซียนได้
“นี่คือกระบี่ที่ปรมาจารย์ฉีหลินช่วยเจ้าปลุกมันขึ้นมาน่ะหรือ?”
“อืม”
“เป็นยอดกระบี่จริงๆ ด้วย”
………………………………………….