มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 24 การรู้แจ้งของจิ๋งจิ่ว (2)
ซูชีเกอซึ่งเป็นเจ้าสำนักคนก่อนนอนอยู่บนเตียง เขามองดูเกาหยาที่ยืนอยู่ริมถ้ำ บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน กล่าวว่า “ที่ผ่านมาธงสุริยันนี้เป็นแค่เพียงฐานของข่ายพลังแห่งนี้ ไม่สามารถออกไปจากที่แห่งนี้ได้ ไหนเลยจะคิดว่าตอนนี้กลับสามารถแสดงอานุภาพที่น่าหวาดกลัวขนาดนี้ออกมาได้ ตอนนี้มาคิดๆ ดูแล้ว ท่านคงจะรู้สึกเสียใจอยู่หน่อยใช่หรือไม่?”
ในฐานะที่เกาหยาเป็นผู้อาวุโสมาเจ็ดยุค ใช้ชีวิตอยู่ในหุบเขาแห่งนี้มาเป็นเวลาเนิ่นนาน เขาย่อมต้องคุ้นเคยกับธงสุริยันผืนนี้เป็นอย่างดี เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ สีหน้าก็อดเปลี่ยนเป็นดูแย่ขึ้นมาไม่ได้ เขากล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “ท่านประมุขถือธงสุริยัน สามารถสังหารทวยเทพทุกคนที่อยู่บนโลก นี่ย่อมต้องเป็นเรื่องดีสำหรับนิกายของเรา ข้ามีอะไรให้ต้องเสียใจ?”
ซูชีเกอยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ตอนนั้นข้าเคยบอกเอาไว้แล้วว่าการที่ท่านคิดจะใช้เขามาขับไล่ซูจึเย่ มันก็เหมือนการเอาหนังเสือจากเสือ จริงอยู่ที่ท่านประมุขไม่ถนัดเรื่องวางกลอุบาย ฝีมือในเรื่องอื่นเองก็ธรรมดา แต่เขาไม่มีทางเป็นหุ่นเชิดให้ท่านไปได้ตลอด เพราะเขาคือคนที่เกิดมาเพื่อเป็นจอมมารที่แท้จริง”
เกาหยาแค่นหัวเราะพลางกล่าวว่า “คำพูดนี้เจ้าเคยพูดมาแล้วหลายครั้ง เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
ซูชีเกอกล่าวว่า “ข้ายังเคยบอกด้วยว่า….หากเป็นแบบนี้ต่อไป สักวันหนึ่งเงามืดนั้นจะมาเยือนอีกครั้ง”
เกาหยารู้ว่าเขาหมายถึงเรื่องราวที่โหดร้ายในตอนนั้น
สำนักเสวียนอินในเวลานั้นยิ่งใหญ่เกรียงไกรในดินแดนทางเหนือ เรียกได้ว่าเป็นสำนักวิถีมารที่แข็งแกร่งที่สุดต่อจากนิกายเสวี่ยหมัว
เจ้าสำนักในเวลานั้นพรสวรรค์กล้าแกร่ง พลังมารไร้คู่ต่อกร ใช้ชื่อสำนักมาเป็นชื่อของตัวเอง เรียกตัวเองว่าเสวียนอินจึ ช่างโอหังอวดดีเป็นอย่างมาก
แต่เขาก็โอหังอวดดีเกินไป สุดท้ายไปล่วงเกินคนที่ไม่ควรจะล่วงเกิน
นักพรตทั้งสองคนของสำนักชิงซานพายอดฝีมือของยอดเขาทั้งเก้าเดินทางขึ้นมายังดินแดนทางเหนือ สังหารศิษย์สำนักเสวียนอินจนโลหิตไหลหลากเป็นแม่น้ำ กระทั่งวิหารใหญ่ก็ยังถูกถล่มจนราบเป็นหน้ากลอง
เสวียนอินจึเองก็ถูกบีบให้ต้องหลบหนีลงไปยังใต้ดิน มิอาจขึ้นมาเห็นเดือนเห็นตะวัน กลายเป็นผู้หลบหนีกระบี่ที่น่าสงสาร
ซูชีเกอกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ใช้ชื่อสำนักเป็นชื่อตัวเองกับเปลี่ยนสำนักเป็นนิกาย อย่างไหนกันแน่ที่โอหังอวดดีมากกว่ากัน ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้ารู้เพียงแต่ว่าตอนนี้ธงสุริยันนับวันจะยิ่งกล้าแกร่งมากขึ้น มีเพียงประมุขหนุ่มของพวกเราคนนั้นที่รู้ว่าจะควบคุมวิชาลับโบราณของมันได้อย่างไร ดังนั้นเขาจึงยิ่งจะโอหังอวดดี”
เกาหยาแค่นหัวเราะพลางกล่าว “กระทั่งราชาแห่งเพลิงที่หลับใหลอยู่ใต้ดินก็ยังถูกยั่วยุ แล้วนี่เขายังคิดจะโอหังอวดดีอย่างไรอีก?”
ซูชีเกอยิ้มเย้ยหยันพลางกล่าวว่า “กระทั่งของวิเศษล้ำค่าของสำนักจงโจวเขาก็ยังกล้าคิดแย่ง ไหนเลยจะยังสนใจสัตว์วิเศษที่สำนักจงโจวเลี้ยงเอาไว้อีกล่ะ?”
เกาหยานิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “สำนักจงโจวไล่ถงเหยียนออกจากสำนัก เพราะว่าถงเหยียนขโมยคันฉ่องฟ้ากระจ่าง…เจ้าคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงไหม?”
ซูชีเกอกล่าวว่า “ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าท่านประมุขได้ข่าวมาจากไหน แต่ข้าเชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง”
เกาหยามองดูศิษย์ของนิกายที่กำลังช่วยกันค้นหาของวิเศษอยู่ด้านนอกหุบเขาเหล่านั้น พลางกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้ากังวลว่าหากคันฉ่องฟ้ากระจ่างตกอยู่ในมือของท่านประมุข มันจะทำให้เรื่องราวในอดีตเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างนั้นหรือ?”
ซูชีเกอกล่าวว่า “พวกเราสู้สำนักชิงซานไม่ได้ หรือเราจะสู้สำนักจงโจวได้?”
“หากท่านประมุขสามารถหลอมคันฉ่องฟ้ากระจ่างได้จริงๆ นิกายของเราก็จะเท่ากับมีขุมกำลังของทะลวงสวรรค์เพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นชิงซานหรือว่าจงโจว พวกเขาก็ต้องฉุกคิดแล้วว่าหากต้องเผชิญหน้ากับทะลวงสวรรค์พร้อมกันถึงสองคน พวกเขาจะต้องสูญเสียอะไรบ้าง…” เกาหยานิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ยิ่งไปกว่านั้นตาแก่อย่างพวกเรายังจะทำอะไรได้อีกล่ะ?”
ซูชีเกอกล่าวว่า “ตอนที่วัดกั่วเฉิงเกิดเรื่องขึ้นเมื่อสองสามปีก่อน ได้ยินว่ามีคนเห็นท่านปรมาจารย์”
เกาหยาแค่นหัวเราะพลางกล่าวว่า “คำพูดเหลวไหลเช่นนี้เจ้าก็ยังเชื่อหรือ?”
ซูชีเกอกล่าวว่า “ใช่ ในตอนแรกสุดข้าเองก็ไม่เชื่อเหมือนกัน แต่สุดท้ายข้าจำต้องเชื่อ”
เกาหยาหมุนตัวกลับมา มองดูใบหน้าที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของซูชีเกอ คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเห็นซูชีเกอหยิบเอาป้ายคำสั่งอันหนึ่งออกมา สีหน้าเปลี่ยนไปทันที
ก็เหมือนกับที่ได้บอกเอาไว้ก่อนหน้านี้ เขาใช้ชีวิตอยู่ในสำนักเสวียนอินมาเป็นเวลานาน มีความอาวุโสมากกว่าซูชีเกอ แล้วก็ล่วงรู้เรื่องที่ไม่ควรรู้มากมาย
“หรือว่าท่านปรมาจารย์จะหนีออกมาได้แล้วจริงๆ?”
เกาหยาตกตะลึงอย่างถึงที่สุด แต่กลับไม่ได้ลนลาน เขาจ้องมองดวงตาของซูชีเกอ พลางกล่าวซักไซ้เสียงแผ่วเบาว่า “เจ้านอนเป็นผักมานานหลายปี ตกอยู่ในสภาพที่น่าหดหู่เช่นนี้ ในสำนักไม่มีลูกศิษย์ที่ติดตามเจ้าอีก แล้วทำไมสิ่งนี้ถึงมาอยู่ในมือเจ้าได้?”
ซูชีเกอกล่าวเสียงเรียบเฉยว่า “จริงอยู่ที่ไม่มีใครภักดีต่อข้าอีก แต่ก็ยังมีหลายคนที่ภักดีต่อเจ้าลูกทรพีคนนั้น ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ ข้ามักจะรู้สึกว่าตนเองพ่ายแพ้แล้วจริงๆ แต่ขณะเดียวกัน…ก็รู้สึกโชคดีอยู่หน่อยด้วย”
……
……
จิ๋งจิ๋วนั่งอยู่ตรงหน้าผาของภูเขาโดดเดี่ยว
ตัวเขาซึ่งทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยเศษหญ้ามองดูแล้วคล้ายก้อนหินก้อนหนึ่ง เพียงแต่เมื่อแสงอาทิตย์เคลื่อนไป ก็จะเกิดเป็นภาพที่แตกต่างกันออกไป
ท้องฟ้ายามค่ำคืนมาเยือน เชื่อว่าศิษย์ของนิกายเสวียนอินเหล่านั้นไม่มีทางพบเห็นร่องรอยของเขาแน่ แต่เขาก็ยังไม่ลุกขึ้นยืน หากแต่ยังมองดูทุ่งกว้างที่รกร้างแห่งนั้นอย่างเงียบๆ ใช้การกระจายกำลังและการวางข่ายพลังของนิกายเสวียนอินในการวิเคราะห์ตำแหน่งของอาวุธวิเศษชิ้นนั้น
เขาย่อมไม่สามารถคำนวณตำแหน่งของอาวุธวิเศษออกมาโดยอาศัยเพียงสิ่งเหล่านี้ได้ ไม่อย่างนั้นนิกายเสวียนอินก็คงจะหาอาวุธวิเศษชิ้นนั้นเจอตั้งนานแล้ว
จู่ๆ ก้อนหินที่อยู่ตรงหน้าผาของภูเขาโดดเดี่ยวพลันหายไป
เขาไปปรากฏตัวอยู่บนทุ่งหญ้าแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าลี้
หากเอาวิชากระบี่เซียนแห่งยมโลกไปใช้ในการแสดงปาหี่ มันจะต้องเป็นที่ชื่นชอบของคนที่อยู่บนโลกอย่างแน่นอน
เขาไม่พบร่องรอยใดๆ บนทุ่งหญ้าแห่งนี้ แต่กลับได้กลิ่นจางๆ กลิ่นหนึ่ง
กลิ่นนั้นเบาบางเป็นอย่างมาก คล้ายกับสุราที่เขาเทลงไปในทะเลสาบในเรือนตระกูลเจ้าที่อยู่ด้านนอกเมืองเจาเกอถ้วยนั้น
ตามหลักแล้ว ต่อให้สัมผัสทั้งห้าของเขาจะเฉียบคมแค่ไหน ก็เป็นไปได้ยากที่เขาจะได้กลิ่นนี้ เพราะเขาไม่ใช่ซือโก่ว
แต่สุดท้ายเขาก็ยังได้กลิ่นนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าเขาคุ้นเคยกับกลิ่นนี้เป็นอย่างดี
ในตอนที่เขาพูดคุยกับราชาปลาไนเพลิงในลำธารลาวาใต้ดิน เขาเองก็เคยรับรู้ได้ถึงความรู้สึกคุ้นเคยคล้ายๆ กันนี้
เขารู้แล้วว่านิกายเสวียนอินกำลังหาใคร จึงอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้
กระบี่เซียนแห่งยมโลกทะยานออกไป เขาหายตัวไปจากจุดที่นั่งอยู่เดิม มุ่งหน้าตามกลิ่นที่เบาบางสายนั้นไปยังหุบเขาแห่งหนึ่ง จากนั้นก็ไปยังลำธารน้ำแข็งแห่งหนึ่ง
เขาหาอยู่เป็นเวลานาน มิได้ไปกระทบถูกข่ายพลังที่นิกายเสวียนอินวางเอาไว้ แล้วก็ไม่มีคนของนิกายเสวียนอินพบเห็นเขา
แสงอาทิตย์ยามเช้าค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา เขามาถึงในป่าที่แห้งแล้งไม่มีอะไรพิเศษแห่งหนึ่ง ในที่สุดก็หาอีกฝ่ายพบ
นั่นคือหญ้าธรรมดากอหนึ่งที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป เหลือใบอยู่เพียงแค่สองใบ ปลิวไหวไปมาอยู่ท่ามกลางลมหนาว คล้ายว่าอาจจะหลุดร่วงออกมาได้ทุกเมื่อ แต่สีกลับยังคงเขียวชอุ่มอยู่
เขายื่นมือไปแหวกเปิดดินที่อยู่ใต้กอหญ้า ก่อนจะสัมผัสถูกวัตถุที่มีความแข็งอย่างหนึ่ง
นั่นคือคันฉ่องสัมฤทธิ์อันหนึ่ง บนผิวของคันฉ่องสลักลวดลายที่ดูซับซ้อนและละเอียดเอาไว้
ความจริงแล้ว ลวดลายเหล่านั้นเกิดขึ้นมาจากรูปสลักของสิ่งก่อสร้าง สะพานหิน ภูเขาและผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน
เพียงแต่รูปสลักเหล่านั้นมีขนาดที่เล็กอย่างมาก นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครที่สามารถมองเห็นหน้าตาที่แท้จริงของพวกมันได้
นิ้วมือของจิ๋งจิ่วไล้ไปบนคันฉ่องสัมฤทธิ์อย่างช้าๆ รู้สึกทอดถอนใจเล็กน้อยจนเกือบจะไม่มีความรู้สึก
เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นมาเจ็ดสิบปีหรือแปดสิบปีนะ?
ในตอนแรกสุดเขาอาศัยอยู่ในพระราชวังแคว้นฉู่ ภายหลังเขาไปอาศัยอยู่บนเขาปู้โจว ไม่ได้ไปยังที่อื่นเลย
สิ่งก่อสร้าง สะพานหินและภูเขาเหล่านั้น เขาย่อมต้องไม่เคยเห็นมาก่อน
แต่คนเหล่านั้นเขาอาจจะเคยพบเห็น
เขาเคาะไปบนคันฉ่องฟ้ากระจ่าง
“เปิดประตู”
……………………………..