มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 22 สะบัดมือขวาเบาๆ ไม่มีฝุ่นแม้แต่นิดเดียว
ไม้กระบอง เสือ ไก่ แล้วก็ยังมีแมลง
จิ๋งจิ่ว ปลาไนเพลิง จักจั่น แล้วก็มียุงเหล่านั้น
ใช้เล็กเอาชนะใหญ่ ปกติแล้วล้วนเป็นการเอาชนะของพลังใจ แต่ถ้าหากเล็กมาก เช่นนั้นก็จะยิ่งชนะได้ง่ายขึ้น
ด้วยพลังของปลาไนเพลิง มันไม่แน่ว่าจะหวาดกลัวยุงเหล่านี้ ถึงแม้ยุงเหล่านี้จะเป็นยุงจากในคุกสะกดมารที่กระทั่งหลิวอาต้ายังรู้สึกว่ารับมือได้ลำบาก
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือมันไม่รู้ว่าสิ่งที่มองไม่เห็นเหล่านั้นคืออะไร
ความไม่รู้จะขยายความหวาดกลัวให้ขยายใหญ่ขึ้น นับประสาอะไรกับคนที่ไม่เคยออกจากใจกลางโลก ยังไม่เติบโตเต็มที่ และหวาดกลัวแม้กระทั่งเงาเหมือนอย่างมัน
จิ๋งจิ่วมิได้พูดอะไร ดูเหมือนเขาไม่อยากจะพูดอะไรกับปลาไนเพลิงมากนัก
ปลาไนเพลิงสะบัดหาง ถอยไปทางด้านหลังสิบกว่าจ้าง ดูระแวงอย่างเห็นได้ชัด เตรียมพร้อมที่จะกระโดดกลับลงไปในลำธารลาวาทุกเมื่อ มันกล่าวว่า “หากข้าเอาเรื่องที่เจ้าสมคบคิดกับเผ่าหมิงพูดออกไป ชื่อเสียงของเจ้าจะต้องย่อยยับ เจ้าจะต้องตายอย่างไม่มีที่ฝังอย่างแน่นอน!”
จิ๋งจิ่วฟังคำขู่ที่ไร้ซึ่งความน่ากลัวนี้ แต่ในหัวกลับคิดถึงเรื่องอื่น
ต่อให้ทุกหกร้อยปีสำนักจงโจวจะส่งคนมาเยี่ยมมัน แต่เหตุใดเจ้าปลาไนเพลิงตัวนี้ถึงได้พูดจาคล่องแคล่วถึงเพียงนี้?
ที่ไม่เข้าใจมากที่สุดก็คือเขามักจะรู้สึกว่าน้ำเสียงของปลาไนเพลิงมันค่อนข้างคุ้นเคย
บรรยากาศภายในถ้ำมิได้ยิ่งตึงเครียดจากการที่เขานิ่งเงียบ หากแต่กระอักกระอ่วนเล็กน้อย
คนที่กระอักกระอ่วนก็คือปลาไนเพลิง
ในเวลานี้มันไม่คิดอยากจะลงมือแล้ว
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่ามันเป็นผู้รับใช้ของสำนักจงโจว หาปล่อยให้ศิษย์ชิงซานหนีไปโดยไม่พูดอะไร เช่นนั้นก็คล้ายจะเสียหน้าไปหน่อย
ปลาไนเพลิงพลันคิดวิธีหนึ่งขึ้นมาได้ จึงตะโกนขึ้นมาอย่างดีใจว่า “เฮ้ น้องชาย ถ้าอย่างนั้นเอาแบบนี้ไหม เจ้าช่วยข้าเรื่องหนึ่ง แบบนั้นแล้วข้าก็ย่อมไม่สะดวกที่จะทำร้ายผู้มีพระคุณ พวกเราก็จากกันแบบนี้เป็นยังไง?”
จิ๋งจิ่วคิดในใจว่าวิธีนี้มีเหตุผลอย่างมาก จึงถามว่า “เรื่องอะไร?”
ปลาไนหมุนตัวกลางอากาศ เผยให้เห็นครีบด้านหลัง จากนั้นกล่าวว่า “เมื่อวานข้าอาบน้ำอยู่ในลำธาร แต่ดีใจเกินไปหน่อย ก็เลยเผลอไปกัดถูกหลังของตัวเอง เจ้าเองก็รู้ว่าราชาอย่างข้า นอกจากตัวเองแล้วก็ไม่มีอะไรจะทำร้ายข้าได้….”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ให้ข้ารักษาท่าน?”
ปลาไนเพลิงหมุนตัวกลับมา กล่าวว่า “ใช่ๆ เจ้าก็แค่รักษาง่ายๆ ข้าเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าเจ้าจะรักษาหายอยู่แล้ว ก็เหมือนเป็นการแสดงน้ำใจนั่นแหละ”
จะไปกัดถูกหลังตัวเองได้อย่างไร? มันไม่ใช่ยีราฟสักหน่อย
นี่ต้องเป็นคำพูดโกหกอย่างแน่นอน
มันแค่ไม่อยากบอกว่าตนเองแพ้ให้กับธงประหลาดและน่ากลัวอันนั้น แบบนั้นมันน่าขายหน้าเกินไป
สิ่งที่ราชาปลาไนเพลิงไม่ชอบมากที่สุดก็คือความขายหน้า
ที่มันให้จิ๋งจิ่วรักษาอาการบาดเจ็บให้ตัวเองก็เป็นเหตุผลแบบเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องรักษาให้หาย ขอแค่ทั้งสองฝ่ายมีข้ออ้างที่สมเหตุสมผล ต่างคนต่างถอยคนละก้าว
นับแต่นี้ต่างคนต่างเดิน ไม่พบเจอกันอีก
จิ๋งจิ่วเดินไปยังริมลำธาร มองดูแผ่นหลังของปลาไนเพลิง พบว่าครีบหลังของมันได้รับบาดเจ็บจริงๆ เกล็ดปลาที่อยู่รอบๆ เผยอขึ้นมาเล็กน้อย แล้วก็มีเกล็ดบางเกล็ดที่มีรอยไหม้
เขารู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ ในใจครุ่นคิดว่าใครกันที่สามารถลงมายังใจกลางโลกที่อยู่ใต้หุบเขาจวี้หุนแล้วทำร้ายมันได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้วิชาเพลิงเหมือนกันด้วย
จิ๋งจิ่วรักษาอาการป่วยไม่เป็น แต่ถ้ารักษาอาการบาดเจ็บนั้นมีประสบการณ์อยู่ เพราะอันที่จริงเขาก็ลับกระบี่มาตั้งนานขนาดนี้แล้ว
เขาเหยียบอากาศทะยานขึ้นไป ก่อนจะเหยียบลงไปบนหลังปลาไนเพลิงเบาๆ
ปลาไนเพลิงค่อนข้างตกใจ ในใจคิดว่าหรือเจ้าจะรักษาอาการบาดเจ็บได้จริงๆ?
จิ๋งจิ่วยื่นมือขวาออกไป แล้วเริ่มดึงเกล็ดปลาที่เสียหายและมีรอยไหม้เหล่านั้น
เกล็ดปลาเหล่านั้นมีความแข็งเป็นอย่างมาก ถึงแม้จะเป็นมือขวาของเขา แต่ถ้าคิดจะกำจัดมันก็ต้องใช้เวลาอยู่เหมือนกัน
เขารู้สึกว่าเกล็ดปลาเหล่านี้มีความคุ้นตาเป็นอย่างมาก กระทั่งเห็นตรงด้านหน้ามีรอยแผลแห่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดว่าเป็นแผลเก่า ในที่สุดจึงคิดเข้าใจเรื่องบางเรื่องขึ้นมา
ที่แท้อาวุธวิเศษที่ตัวเองชิงมาจากมือของผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารผู้นั้นทำมาจากเกล็ดของปลาไนเพลิงตัวนี้นี่เอง
……
……
บนอากาศเหนือลำธารลาวามีปลาไนสีทองตัวใหญ่ยักษ์ลอยอยู่ตัวหนึ่ง
บนหลังของปลาไนสีทองมีคนคุกเข่าอยู่คนหนึ่ง
คนผู้นั้นกำลังทำอะไรบางอย่างโดยไม่หยุดมือ
ภาพนี้ดูน่าประหลาดและมหัศจรรย์เป็นอย่างมาก แต่ถ้าหากคิดดูดีๆ ความจริงแล้วมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับนกเอี้ยงที่ไปช่วยกินเห็บหมัดอยู่บนหลังควายป่าเลย
เมื่อคิดถึงสถานะของจิ๋งจิ่วแล้ว นี่ออกจะขายหน้าไปหน่อย อย่างน้อยก็เรียกได้ว่าน่าหงุดหงิด แต่เขาก็ยังทำมันอย่างเงียบๆ เพราะเขาต้องการข้ออ้างที่จะออกไป ความปลอดภัยคือเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งเสมอ ยิ่งไปกว่านั้นเกล็ดของปลาไนเพลิงก็ช่วยเขาลับกระบี่ได้ด้วย แล้วทำไมถึงจะไม่ทำล่ะ?
สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเสียดายจริงๆ ก็คือเขาไม่สามารถใช้เกล็ดปลาที่สมบูรณ์มาลับกระบี่ได้ เห็นได้ชัดว่าเกล็ดปลาที่เปล่งประกายแวววาวเหมือนโลหะเหล่านั้นมีความแข็งเป็นอย่างมาก แต่มันกลับติดแน่นอยู่กับลำตัวของปลาไนเพลิง อย่าว่าแต่ลับกระบี่เลย ต่อให้ออกแรงขยับมันเพียงเล็กน้อยก็จะทำให้ปลาไนเพลิงเจ็บปวดเป็นอย่างมากแล้ว ดังนั้นเขาจึงได้แต่ต้องถือโอกาสลับมือขวาของตนเองเล็กน้อยในตอนที่กำจัดเกล็ดปลาที่มีรอยไหม้และตายซากเหล่านั้น แต่เกล็ดเหล่านั้นได้ถูกเพลิงบางอย่างทำให้เสียหาย แห้งกรอบเป็นอย่างมาก มิอาจสู้อาวุธวิเศษของผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารผู้นั้นได้
ใช้เวลาไม่นาน เขาก็กำจัดเกล็ดปลาบนหลังปลาไนเพลิงที่เสียหายและทำให้มันรู้สึกไม่สบายตัวหรือเจ็บปวดออกไปจนหมด ก่อนจะกลับลงมายังริมฝั่ง
ปลาไนเพลิงสะบัดหาง หมุนตัวอย่างรวดเร็วสองสามรอบ รู้สึกตัวเบาขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก จึงอดดีใจขึ้นมาไม่ได้ กล่าวว่า “ถือโอกาสตอนที่ข้ายังอารมณ์ดีรีบออกไปจากที่นี่ซะ ถึงแม้การที่ไม่ได้กินเจ้าจะทำให้ข้ารู้สึกเสียดายอยู่บ้าง”
จิ๋งจิ่วเองก็รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง หากปลาไนเพลิงตัวนี้บำเพ็ญเพียรอยู่ในเพลิงใต้ดินไปอีกหกพันกว่าปีจนเติบโตเต็มที่ เขาก็จะสามารถใช้เกล็ดปลาบนร่างกายอีกฝ่ายมาลับกระบี่ได้ แบบนั้นมันก็จะไม่บาดเจ็บ เพียงแค่รู้สึกเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น แค่ปลอบนิดหน่อยก็หาย
เขาพลันคิดถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา กล่าวถามว่า “ท่านบอกว่าไม่เคยไปเขาอวิ๋นเมิ่ง อย่างนั้นท่านเคยไปที่อื่นหรือเปล่า?”
ในดวงตาของปลาไนเพลิงมีแววตาเศร้าสร้อยปรากฏขึ้นมา มันกล่าวว่า “ก่อนที่ข้าจะโตเต็มที่ ข้าได้แต่ต้องอยู่ในเพลิงใต้ดิน มิอาจไปที่ไหนได้ทั้งนั้น”
อย่างนี้นี่เอง
จิ๋งจิ่วคิดในใจว่าด้านล่างยอดเขาซั่งเต๋อมีเส้นปราณแผ่นดินที่เย็นยะเยือกอย่างมากอยู่ แต่ในชิงซานกลับไม่มีเส้นปราณเพลิง เลี้ยงเอาไว้ไม่ได้จริงๆ ด้วย
ช่างน่าเสียดาย
ไม่อย่างนั้นตัวเองก็ไม่ต้องไปถามอาจารย์อาไท่หลูที่อารมณ์ไม่ดีแล้ว ยอดเขาเสินม่อก็จะมีปลาเพิ่มมาตัวหนึ่ง ชิงซานก็จะมีผู้พิทักษ์เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง
ปลาไนเพลิงรับรู้ได้ถึงอารมณ์ของเขา แต่กลับไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้มีอารมณ์นั้น มันนึกว่าเขากำลังรู้สึกเศร้าใจแทนตนเองอยู่ ในใจจึงคิดว่าศิษย์ชิงซานผู้นี้ไม่เลวเลยจริงๆ
จิ๋งจิ่วชูมือขวา บินขึ้นไปด้านบน ในตอนที่เข้าไปในเพดานถ้ำ เขาเหลียวหน้ากลับมามองดูปลาไนเพลิงอย่างรู้สึกเสียดาย
ปลาไนเพลิงสะบัดหางเล็กน้อย รู้สึกอาลัยอาวรณ์เช่นเดียวกัน
……
……
ภูเขาเหลิ่งซานที่อยู่ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิยังคงหนาวเย็น ทุ่งรกร้างยังคงรกร้าง รอบด้านเต็มไปด้วยความแห้งแล้งและตายซาก อย่าว่าแต่ควายป่ากับนกเอี้ยงเลย กระทั่งแมลงสักตัวก็ยังมองไม่เห็น
ที่มันดูแห้งแล้งวังเวงเช่นนี้ย่อมมิได้มีความเกี่ยวข้องกับอากาศไปเสียทั้งหมด หากแต่มีความเกี่ยวข้องกับศิษย์ของนิกายเสวียนอินที่กระจายตัวอยู่ในทุ่งกว้างเหล่านั้น
วิหารใหญ่ของนิกายเฟิงเตาอยู่ในเมืองจวี้เย่ แต่ในเวลานี้พวกเขาต้องเอากำลังทั้งหมดไปเฝ้าระวังความเคลื่อนไหวของทางที่ราบหิมะ ส่วนสำนักคุณหลุนที่ดูดีเพียงเปลือกนอก แต่ความจริงแล้วอ่อนแอก็ไม่สามารถมาจัดการกับการเคลื่อนไหวของทางเขาเหลิ่งซานได้ หลังจากสำนักเสวียนอินเปลี่ยนชื่อเป็นนิกายเสวียนอิน อิทธิพลของพวกเขาก็ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว นับวันจะยิ่งเหิมเกริมอวดดี มีความรู้สึกคล้ายสำนักเสวียนอินเมื่อในอดีต
ตามหลักแล้ว เมื่อทางเหนือมีร่องรอยว่าจะมีสำนักฝ่ายอธรรมฟื้นตัวกลับมามีอำนาจ สำนักจงโจวในที่ฐานะที่เป็นผู้นำฝ่ายธรรมะควรจะยื่นมือเข้ามาจัดการ แต่หลายปีมานี้เขาอวิ๋นเมิ่งเกิดเรื่องอย่างต่อเนื่อง ชางหลงตาย ฉีหลินได้รับบาดเจ็บ ถงเหยียนทรยศ ยันต์เซียนตกเป็นของจิ๋งจิ่ว คันฉ่องฟ้ากระจ่างหนีไป นักพรตถานและนักพรตไป๋ไหนเลยจะมีใจมาสนใจเรื่องเหล่านี้
แล้วในช่วงนี้ที่ราบหิมะยังมีความเคลื่อนไหวแปลกๆ อีก นิกายเสวียนอินเริ่มกระทำการเหิมเกริมในเขาเหลิ่งซานอย่างไม่ปิดบัง และครั้งนี้ ประมุขนิกายที่เรียกตัวเองว่าหมิงหวังผู้นั้นก็ได้พายอดฝีมือส่วนใหญ่ในนิกายและสาวกอีกพันคนวางข่ายพลังที่ร้ายกาจอย่างมากบนทุ่งรกร้างแห่งนี้ พร้อมกับกระจายกำลังค้นหา คล้ายว่ากำลังหาอะไรบางอย่างอยู่
ศิษย์นิกายเสวียนอินผู้หนึ่งยืนอยู่บนทุ่งหญ้าสีเหลือง มือขยี้ดวงตาที่อ่อนล้า เมื่อตรวจสอบดูแล้วว่าไม่มีร่องรอยใดๆ เขาก็ทอดตามองออกไปสิบกว่าลี้ พร้อมทั้งใช้เครื่องมือวิเศษส่งเสียงออกไปว่า “ทางเจ้าเจออะไรไหม?”
ในเครื่องมือวิเศษมีเสียงของศิษย์ร่วมสำนักดังขึ้นมา “ไม่เจออะไรเลย”
จากนั้นก็มีเสียงของศิษย์ร่วมสำนักอีกคนหนึ่งดังขึ้นมา “ได้ยินว่าเจ้านั่นมันซ่อนตัวอยู่ใต้ดินมาเกือบสองปีแล้ว อย่างนั้นพวกเราจะไปหาเจอได้อย่างไรล่ะ?”
สาวกนิกายเสวียนทั้งสามคนอยู่กลุ่มเดียวกัน รับผิดชอบค้นหาพื้นที่แถบนี้
จากกฎที่ประมุขนิกายตั้งขึ้นมา ครั้งนี้สาวกนิกายสามคนห้ามอยู่ใกล้กันเด็ดขาด ทุกคนต้องอยู่ห่างกันมากกว่าสิบลี้
นี่มิใช่เพื่อป้องกันพวกเขาแย่งผลงานกัน หากแต่ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ถูกศัตรูสังหารไปทั้งสามคน จนไม่สามารถแจ้งเตือนกลุ่มอื่นๆ ได้
สาวกทั้งสามคนนี้ก็เหมือนกับสาวกทุกคน พวกเขาค้นหาอยู่ในเขาเหลิ่งซานมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว แต่ก็ยังไม่พบอะไร เหนื่อยล้าเป็นอย่างยิ่ง จึงอดบ่นออกมาไม่ได้
หากเป็นเมื่อหลายปีก่อน พวกเขาจะต้องมาจับกลุ่มกัน จุดไฟขึ้นมาแล้วดื่มสุราเล็กน้อย จากนั้นก็นินทาผู้อาวุโสในนิกาย วันเวลาคงจะมีความสุขมากขึ้นไม่น้อย
แต่ตอนนี้พวกเขาไม่มีวันเวลาดีๆ แบบนั้นแล้ว เครื่องมือวิเศษที่อยู่บนตัวพวกเขาสามารถระบุตำแหน่งและบันทึกตำแหน่งของพวกเขาเอาไว้ได้ หากภายหลังถูกหัวหน้าระดับสูงรู้เข้าว่าพวกเขาเคยอยู่ใกล้กัน สิ่งที่รอพวกเขาอยู่คงจะต้องเป็นการลงโทษที่โหดร้ายทารุณจนยากที่จะจินตนาการได้อย่างแน่นอน
โชคดีที่เครื่องมือวิเศษสามารถใช้พูดคุยได้ พวกเขาสามารถใช้การพูดคุยมาฆ่าเวลา และเนื่องเพราะไม่รู้ว่าเครื่องมือวิเศษสามารถบันทึกเสียงได้หรือไม่ พวกเขาจึงย่อมไม่กล้านินทาเหล่าผู้อาวุโสอีก เช่นนั้นก็ได้แต่ต้องคุยเรื่อยเปื่อยกันเท่านั้น
“เจ้าจะไปรู้อะไร? ท่านประมุขลงมือด้วยตัวเอง ว่ากันว่ากระทั่งราชาเพลิงก็ยังต้องตกใจ ถึงได้บีบคนผู้นั้นออกมาจากพื้นดินได้ พวกเราถึงต้องมาหาที่นี่ไง”
“จะว่าไปแล้ว ทำไมสำนักจงโจวถึงได้ไล่คนผู้นั้นออกจากสำนักล่ะ? ได้ยินว่าคนผู้นั้นมีชื่อเสียงอย่างมากนี่นา”
“ใครจะไปรู้ล่ะ แต่ข้าว่าน่าจะเป็นเพราะเจ้านั่นมันขโมยเครื่องมือวิเศษอะไรบางอย่างมาจากสำนักจงโจวแน่”
“ฮ่าๆๆๆ! ข้าว่าไม่ใช่ว่าขโมยเครื่องมือวิเศษหรอก คงจะขโมยเมียอาจารย์มามากกว่า”
“เจ้านี่เหมือนกบในกะลาจริงๆ! อาจารย์ของเขาคือนักพรตไป๋ มีเมียอาจารย์ที่ไหนกันล่ะ แล้วอีกอย่าง คนทางเหนือมีใครไม่รู้บ้างว่าเขาชอบเซียนไป๋เจ่า”
“แล้วเขาหนีทำไม? ต่อไปกลายเป็นลูกเขย อยากจะได้อะไรก็ได้มิใช่หรือ”
“ถึงได้บอกว่าเจ้ามันกบในกะลาไง ไม่รู้เรื่องอะไรเลย! ทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนมีใครไม่รู้บ้างว่าคนที่เซียนไป๋เจ่าชอบคือจิ๋งจิ่วแห่งชิงซาน”
สาวกของนิกายเสวียนอินทั้งสามคนคุยกันอย่างออกรสออกชาติจนลืมเรื่องที่อาจจะถูกบันทึกเสียงเอาไว้ไปเสียสนิท
ทันใดนั้นเอง เสียงพูดคุยภายในเครื่องมือวิเศษพลันหยุดไป หลังจากนั้นครู่หนึ่งถึงดังขึ้นมาใหม่
“พวกเจ้ารู้สึกไหมว่าพื้นดินมันไหว?”
“ใช่…ไหวค่อนข้างแรงทีเดียว”
“ของข้าทางนี้ยังไม่มีอะไร ดูเหมือนจะมีแต่ของเจ้าทางนั้น เจ้าระวังหน่อยแล้วกัน”
“ไม่ต้องพูดแล้ว! ข้าเริ่มกลัวจริงๆ แล้วนะเนี่ย”
“ฮ่าๆๆๆ มีอะไรน่ากลัวเล่า ด้านล่างภูเขาเหลิ่งซานเต็มไปด้วยเส้นปราณเพลิง มีวันไหนไม่ไหวล่ะ?”
“เจ้าจะไปรู้อะไรล่ะ! ได้ยินว่าท่านราชาแห่งไฟก็อยู่ใต้ดินตรงนี้! แต่อย่าลืมเสียล่ะว่าเมื่อหลายวันก่อนเขาเพิ่งจะถูกท่านประมุขเล่นงานไป”
“เจ้าพูดมีเหตุผล ประมุขและเหล่าผู้อาวุโสย่อมไม่กลัว แต่ถ้าพวกเราโชคไม่ดีไปเจอเข้าล่ะ อย่างนั้นเรามิเท่ากับว่าต้องกลายเป็นเถ้าถ่านทันทีหรอกหรือ”
“เมิ่งเหล่าซื่อเจ้าพูดอย่างนี้ ข้าชักจะกลัวขึ้นมาจริงๆ แล้วนะเนี่ย เฉียวเสิ่น ในเมื่อทางเจ้าไหวแรงกว่า อย่างนั้นก็ระวังตัวหน่อยล่ะ”
“เฉียวเสิ่น…เจ้าได้ยินไหม?”
“เหล่าเฉียว? เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“เหล่าเฉียว!”
……
……
สาวกนิกายเสวียนอินที่ชื่อเฉียวเสิ่นมิได้ตอบกลับมา เพราะในเวลานี้เขาค่อนข้างตกตะลึง ไม่ได้ยินเสียงที่ดังออกมาจากในเครื่องมือวิเศษ
บนพื้นของทุ่งกว้างรกร้างที่อยู่ตรงหน้าเขาพลันมีรูกลมสีดำปรากฏขึ้นมารูหนึ่ง ปากรูมิใหญ่นัก พอดีให้คนคนหนึ่งเข้าไป ไม่มากไม่น้อย
ฝุ่นควันค่อยๆ ร่วงตกลงมา คนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขา
คนผู้นั้นสวมชุดสีขาว ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยคราบดิน ดูกระเซอะกระเซิง
“ที่นี่คือที่ไหน?”
คนผู้นั้นกระโดดอยู่บนพื้นดิน
เศษดินเศษหินเหล่านั้นคล้ายหยดน้ำค้างที่อยู่บนใบบัว ไม่สามารถติดอยู่บนร่างกายของเขาได้ ไหลกลิ้งตกลงมา
ถึงแม้จะเป็นเศษฝุ่นที่เล็กแค่ไหนก็ไม่สามารถติดอยู่บนตัวของเขาได้
“ที่นี่คือ…เขาเหลิ่งซาน”
เฉียวเสิ่นกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ จากนั้นเขามองเห็นใบหน้าที่สะอาดสะอ้านของคนผู้นั้น ทันใดนั้นพลันได้สติขึ้นมา เขาตะโกนใส่เครื่องมือวิเศษว่า “หนีไป จิ๋ง…”
มือขวาของจิ๋งจิ่วสะบัดออกไป
เสียงของเขาหยุดลง
ทันใดนั้น ศีรษะของเขาร่วงตกลงมา ก่อนจะกลิ้งกระเด็นไปไกล
กระบี่คมจักรวาลออกมาจากในจักรวาล ทะลวงอากาศพุ่งออกไป เพียงพริบตาก็บินออกไปไกลสิบกว่าลี้ ฟันลงบนศีรษะของสาวกนิกายเสวียนอินอีกคนหนึ่ง
เหมือนกับคนแรก
ร่างกายของจิ๋งจิ่วหายไปจากที่เดิม
ในตอนที่เขามาถึงนอกระยะสิบกว่าลี้ในอีกทิศทางหนึ่ง สาวกของนิกายเสวียนอินที่ชื่อเมิ่งเหล่าซื่อยังคงเอาหูแนบกับเครื่องมือวิเศษเพื่อฟังเสียงเพื่อนอยู่
สาวกสำนักเสวียนอินที่ชื่อเฉียวเสิ่นตายไปแล้ว แต่เสียงกลับเพิ่งจะดังออกมาจากในเครื่องมือวิเศษ
“….จิ๋ง”
จิ๋งจิ่วสะบัดมือ
เมิ่งเหล่าซื่อก็ตายไปแล้ว
จิ๋งจิ่วมองดูมือขวาของตัวเอง ก่อนจะพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
ลับตั้งแต่ฤดูร้อนมาถึงฤดูใบไม้ร่วง จากนั้นลับตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงจนมาถึงฤดูหนาว แล้วก็ลับจนมาถึงต้นฤดูใบไม้ผลิ ลับมานานขนาดนี้ ในที่สุดก็ลับจนคมขึ้นมาหน่อย
กระบี่ยิ่งคม กระบี่เซียนแห่งยมโลกของเขาก็ยิ่งเร็ว
กระบี่คมจักรวาลบินกลับมาอย่างเงียบๆ
เขายื่นมือไปหยิบกระบี่ สืบเท้าเดินต่อไปข้างหน้า
……………………………………………………………..