มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 21 ราชาปลาไนเพลิง
ฉานจึกลับมายังวัดที่อยู่ด้านหลังเมืองไป๋เฉิงแห่งนั้น ยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก
เสียงอันทุ้มต่ำแต่คล้ายขาดอะไรไปบางอย่างของเทพดาบดังขึ้นอีกครั้ง “ลำบากท่านแล้ว”
“ก็แค่ตีเด็กน้อยผู้หนึ่ง มิได้ใช้แรงอะไรมากนัก”
ฉานจึหมุนตัวไปมองดูกองแท่งไม้ที่กระจัดกระจายอยู่ตรงด้านนอกธรณีประตู ก่อนจะส่ายศีรษะ จากนั้นก้มลงไปเตรียมจะเก็บแท่งไม้ขึ้นมา
การเคลื่อนไหวนี้ได้ทำให้อาการบาดเจ็บในร่างกายของเขาปะทุขึ้นมา เขาส่งเสียงอึก โลหิตพ่นออกมาจากริมฝีปากของเขาเหมือนไอหมอก สาดกระจายลงบนกองแท่งไม้เล็กๆ และบนธรณีประตู
ภายในวัดเงียบสงัดเป็นอย่างมาก เทพดาบมิได้พูดอะไร วังเวงคล้ายหลุมศพ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ฉานจึจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ทอดมองไปยังส่วนลึกของที่ราบหิมะ ส่งเสียงถอนหายใจที่มีความรู้สึกซับซ้อน
ความเงียบสงัดวังเวงและเสียงถอนใจล้วนแต่มาจากความรู้สึกกดดัน — ความกดดันที่แคว้นเสวี่ยมีต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์
“ประเดี๋ยวข้าจะเรียกคนมาทำความสะอาด”
ฉานจึยกแขนขึ้นมา ใช้แขนเสื้อเช็ดหยดเลือดตรงมุมปาก มองไปทางที่ราบหิมะ นิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน
เขาใช้พลังคันฉ่องวิเศษโจมตีร่างสีขาวร่างนั้นจนบาดเจ็บสาหัส บีบให้อีกฝ่ายถอยกลับเข้าไปในส่วนลึกของที่ราบหิมะ แต่ตัวเองก็บาดเจ็บไม่น้อยเหมือนกัน
“น่าจะประมาณยี่สิบสามปีใช่ไหม? คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนั่นจะร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้?” ฉานจึพลันกล่าวขึ้นมา
ตอนงานประลองวิธีพรตในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยครั้งนั้น จู่ๆ ที่ราบหิมะพลันเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน อากาศเย็นยะเยือกลงอย่างรวดเร็ว ผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวที่เข้าร่วมงานประลองวิถีพรตจำนวนมากต้องตายไป จิ๋งจิ่วและไป๋เจ่าถูกขังเอาไว้ หกปีเพราะราชินีหิมะตั้งท้อง ต่อให้เริ่มบำเพ็ญเพียรตั้งแต่ตอนที่อยู่ในท้องแม่ นั่นก็เพิ่งจะแค่ยี่สิบกว่าปีเท่านั้น แต่เจ้าเด็กนั่นกลับแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้ สายเลือดของสิ่งมีชีวิตระดับสูงนี่ช่างน่ากลัวจริงๆ
เทพดาบกล่าวว่า “มนุษย์ไม่มีทางหยุดราชินีสองคนนี้ได้”
ฉานจึกล่าวว่า “โชคดีที่การคาดการณ์ของเจ้ากับข้าในตอนนั้นถูกต้อง ตอนนี้ดูเหมือนว่าตอนที่แม่ลูกคู่นี้ห้ำหั่นกัน พวกนางมิได้ออมมือเลยแม้แต่น้อย”
เทพดาบกล่าวถามว่า “เหตุใดท่านถึงยืนกรานคิดว่าลูกที่นางให้กำเนิดมาเป็นลูกสาว หรือว่าราชินีผู้นั้นจะให้กำเนิดลูกชายไม่ได้?”
“นับตั้งแต่ที่มนุษย์ได้มีการบันทึกเอาไว้ ก็มีแต่ชื่อราชินีหิมะมาโดยตลอด มีใครเคยได้ยินชื่อจักรพรรดิแคว้นเสวี่ยบ้าง?”
ฉานจึกล่าวว่า “จะว่าไปแล้วราชินีผู้นั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ ตอนนี้ทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนมีเพียงเจ้าที่เคยเห็นนาง”
เสียงของเทพดาบหายไปเป็นเวลานาน จากนั้นถึงจะดังขึ้นมาอีกครั้ง
“ถึงแม้ข้าจะเคยประมือกับนาง แต่ก็ไม่เคยเห็นนางมาก่อน”
ฉานจึเข้าใจความหมายของเขา จึงไม่ได้ซักไซ้อะไรอีก
การต่อสู้กันระหว่างผู้บำเพ็ญพรตธรรมดามักจะมีการเว้นระยะห่างเอาไว้ โดยเฉพาะผู้ฝึกกระบี่อย่างสำนักชิงซานและสำนักอู๋เอินเหมิน
การประมือกันระหว่างยอดฝีมือที่แข็งแกร่งก็มักจะอยู่ห่างกันหลายสิบลี้ หลายร้อยลี้ หรือไกลกว่านั้น
ในอดีตตอนที่หลิ่วฉือและเทพกระบี่ซีไห่ปะทะกระบี่กัน พวกเขาก็มีมหาสมุทรคั่นกลางเอาไว้
ดังนั้นที่เทพดาบบอกว่าไม่เคยเจอราชินีหิมะจึงถือเป็นเรื่องปกติอย่างมาก
ส่วนถ้าจะถามว่าการต่อสู้ในสภาพแบบนี้มันจะทำให้คนรู้สึกว่าไม่ดุเดือดเลือดพล่านหรือเปล่า…. หรือว่ายอดฝีมือที่อยู่ในสภาวะระดับนี้ยังต้องมานั่งถลึงตาถ่มน้ำลายใส่กันเหมือนพวกคนธรรมดาเวลาทะเลาะกัน?
……
……
ในส่วนที่ลึกที่สุดของหุบเขาจวี้หุน ตรงหน้ากำแพงยักษ์โปร่งใสที่กั้นขวางอยู่ตรงหน้าหุบเหวลึก ภายในลาวาที่ร้อนระอุจนน่ากลัว
คนที่งดงามผู้หนึ่งและปลาสีทองตัวหนึ่งกำลังเผชิญหน้ากันอยู่ ตาใหญ่จ้องมองตาเล็ก
นี่มันตัวอะไรกันแน่? นี่คือสิ่งที่จิ๋งจิ่วและปลาไนสีทองคิดเหมือนกัน ต่างกันตรงที่ว่าปลาไนนั้นพูดออกมา
ปากของปลาในที่เป็นวงกลมดูน่ารักพ่นฟองอากาศออกมา ขณะเดียวกันก็พ่นน้ำลายออกมาส่วนหนึ่งด้วย
น้ำลายเหล่านั้นกระเด็นไปบนใบหน้าจิ๋งจิ่ว เขารู้สึกปวดแสบปวดร้อน จึงยื่นมือไปเช็ดใบหน้า
ปลาไนสีทองตกใจ คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะใช้ชีวิตอยู่ในลาวาที่ร้อนระอุขนาดนี้ได้ กระทั่งเพลิงเหลวของตัวเองก็ไม่สามารถเผาทะลุผิวหนังของเขาได้ นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?
จิ๋งจิ่วเองก็ไม่เข้าใจ ในใจครุ่นคิดว่าทำไมน้ำลายของปลาตัวนี้ถึงได้ร้อนกว่าลาวาเสียอีก หรือว่ามันจะเป็นปีศาจที่โชคดีรอดมาจากสงครามโบราณครั้งนั้น?
เมื่อคิดถึงโครงกระดูกยักษ์บนทุ่งร้างที่กลายเป็นผุยผงเหล่านั้น เขาก็ปฏิเสธความคิดของตัวเองไป จากนั้นทำการวิเคราะห์ความเป็นมาของปลาไนตัวนี้ใหม่
เขาถามว่า “ท่านเป็นสหายของสำนักจงโจว?”
ปากของปลาไนยิ่งเป็นวงกลมขึ้นกว่าเดิม เห็นได้ชัดว่าตกใจ จึงกล่าวถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
ที่นี่คือใต้หุบเขาจวี้หุน กำแพงยักษ์โปร่งใสเป็นข่ายพลังปิดกั้นที่สำนักจงโจวผนึกเอาไว้ ในลำธารลาวาพลันมีปลาประหลาดเช่นนี้ปรากฏขึ้นมา ต่อให้ใช้สมองของเหล่าวานรบนยอดเขาซื่อเยวี่ยครุ่นคิดก็ยังรู้ได้ว่าเจ้าน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับสำนักจงโจว
จิ๋งจิ่วคิดถึงเรื่องเหล่านี้ พลางกล่าวว่า “ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่า?”
ในดวงตาของปลาไนสีทองเต็มไปด้วยความหยิ่งทะนง มันกล่าวว่า “ตัวข้าคือปลาไนเพลิงผู้เป็นสัตว์เทพแห่งเขาอวิ๋นเมิ่ง หรือมีอีกนามหนึ่งว่าราชาปลาไนเพลิง ถนัดในการกลืนกินเพลิงวิญญาณ ถูกสำนักจงโจวเชิญให้มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่โบราณ คอยเฝ้าเส้นทางที่จะมุ่งหน้าไปยังดินแดนหมิงเอาไว้”
ปลาไนเพลิงตัวนี้เป็นปีศาจที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากเพลิงใต้ดินตามธรรมชาติ อาศัยอยู่ในลำธารลาวาใต้ดินมาตั้งแต่เล็ก ชื่นชอบไฟและอยู่ห่างไฟไม่ได้ มันมิได้ถูกสำนักจงโจวเชิญมาที่นี่ หากแต่หลังจากถูกสำนักจงโจวจับขึ้นมาจากใต้หุบเขาจวี้หุน พวกเขาก็พบว่าปลาไนตัวนี้ไม่สามารถเลี้ยงเอาไว้ในเขาอวิ๋นเมิ่งได้ จึงได้แต่ต้องปล่อยมันเอาไว้ที่นี่ แล้วก็ให้มันคอยรับผิดชอบดูแลเส้นทางนี้
มันอยู่ในเพลิงใต้ดินมาเป็นเวลาสองหมื่นกว่าปี หากคำนวณจากอายุเพียงอย่างเดียว นอกจากสัตว์เทพโบราณอย่างฉีหลินและหยวนกุยแล้ว เกรงว่าคงไม่มีใครที่จะแก่ไปกว่ามันอีก กระทั่งอาต้าก็ยังต้องเรียกมันว่าผู้อาวุโส แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าปีศาจที่เกิดขึ้นมาจากธรรมชาติแบบนี้เติบโตช้าเป็นอย่างมาก มักจะต้องทำการจำศีลเป็นเวลานาน จนกระทั่งถึงตอนนี้มันก็ยังไม่โตเต็มที่
เดิมครั้งนี้ปลาไนเพลิงควรจะจำศีลไปอีกพันกว่าปี แต่เมื่อสองปีก่อนมันกลับต้องตื่นขึ้นมาเพราะเรื่องบางเรื่อง เดิมอารมณ์ก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว วันนี้ยังต้องมาเจอเรื่องพวกนี้อีก ดังนั้นมันถึงได้โกรธขนาดนี้
จิ๋งจิ่วไม่รู้เรื่องราวเหล่านี้ ในใจครุ่นคิดว่ามิเสียทีที่สำนักจงโจวเป็นสำนักที่สามารถต่อกรกับสำนักชิงซานได้ รากฐานหยั่งลึกจริงๆ
ปัญหาของชิงซานอยู่ที่วิถีกระบี่เถรตรงเกินไป ในตอนที่วิถีทั้งสองสายเกิดการปะทะกัน จึงมักจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง ผู้คนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก
ในช่วงเวลาหลายหมื่นปีที่ผ่านมา การต่อสู้ห้ำหั่นกันเองระหว่างยอดเขาต่างๆ ของชิงซานรุนแรงมากเกินไป ไม่รู้ว่ามีความลับมากน้อยเท่าไรที่ต้องสูญหายไปพร้อมกับผู้อาวุโสรุ่นก่อนๆ ที่ตายลงไปเหล่านั้น
การห้ำหั่นกันเองครั้งล่าสุดและเป็นการห้ำหั่นที่โหดร้ายทารุณที่สุด ก็คือเรื่องที่นักพรตไท่ผิงนำพาพวกเขาไปทำ ในใจเขาคิดว่าหลังกลับไปชิงซานครั้งนี้ ตนเองควรจะไปเยี่ยมอาจารย์อาไท่หลูที่คุกกระบี่เสียหน่อย ไม่แน่ด้านล่างยอดเขาซ่อนเร้นอาจจะมีตัวอะไรที่ร้ายกาจแอบซ่อนอยู่ก็เป็นได้ เมื่อถึงตอนนั้นจากสี่ผู้พิทักษ์ก็จะกลายเป็นห้าผู้พิทักษ์ หรืออาจจะมากกว่านั้น เช่นนั้นไม่ดีหรอกหรือ?
“ข้าเป็นราชาปลาไนเพลิง แล้วเจ้าล่ะเป็นใคร? เจ้าหนู?”
ปลาไนสีทองเห็นเขาอยู่ในลาวาที่ร้อนระอุถึงเพียงนี้ แต่สีหน้ายังคงเป็นธรรมชาติ อีกทั้งยังพูดจาได้ด้วย จึงรู้สึกสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างมาก
“จิ๋งจิ่วแห่งชิงซาน”
เขาลืมใช้พายุกระบี่มาปิดบังใบหน้า ยิ่งกว่านั้นเมื่ออยู่ในลาวา ต่อให้ปิดบังใบหน้าไปก็ไม่สามารถปิดบังการรับรู้ของปลาไนเพลิงตัวนี้ได้
หลังจากนี้ขอเพียงปลาไนเพลิงตัวนี้บอกเล่าหน้าตาของเขาออกมา สำนักจงโจวจะต้องรู้แน่นอนว่าเขาเป็นใคร เช่นนั้นแจ้งชื่อปลอมไปก็ไม่มีประโยชน์
ปลาไนเพลิงกะพริบตา ก่อนกล่าวว่า “อย่างนั้นต้องขอโทษด้วย ข้าต้องฆ่าเจ้า”
จิ๋งจิ่วถาม “ทำไม?”
ปลาไนเพลิงสะบัดหาง พลางกล่าวว่า “ไม่ต้องตื่นเต้น พวกเราไม่ได้มีความแค้นต่อกัน แต่ข้าจำได้ว่าก่อนที่จะจำศีลครั้งล่าสุด เหมือนจะมีใครบอกว่าความสัมพันธ์ของสำนักพวกเราไม่ค่อยจะดีเท่าไร”
ถึงแม้จะยังไม่โตเต็มที่ แล้วก็มิใช่สัตว์เทพที่แท้จริง แต่เมื่ออยู่ในลำธารลาวา มันก็มีพลังที่มิได้ด้อยไปกว่าหลิวอาต้า การจะสังหารจิ๋งจิ่วนั้นมิใช่เรื่องยาก
สีหน้าของจิ๋งจิ่วไม่เปลี่ยน เขากล่าวถามว่า “ท่านเคยไปที่เขาอวิ๋นเมิ่งไหม?”
ปลาไนเพลิงงุนงง กล่าวว่า “ไม่เคย”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ปกติมีศิษย์สำนักจงโจวลงมาหาท่านไหม?”
ภายในลำธารลาวาร้อนระอุถึงเพียงนี้ ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญพรต หากตกลงไปก็มีแต่ต้องกลายเป็นเถ้าถ่าน ส่วนนักพรตไป๋กับนักพรตถานและยอดฝีมือของสำนักจงโจวรุ่นก่อนๆ ก็ไม่มีทางที่จะมาที่นี่บ่อยๆ แน่ ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่าไม่มีใครมาเยี่ยมปลาไนสีทองตัวนี้
“ใครบอกว่าไม่มีล่ะ? ทุกๆ หกร้อยปี เขาอวิ๋นเมิ่งจะส่งลูกศิษย์มาเยี่ยมข้า ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังสามารถติดต่อกับเขาอวิ๋นเมิ่งได้ตลอดเวลา หากเส้นทางมีปัญหาอะไร ข้าก็สามารถแจ้งพวกเขาได้ทันที เมื่อก่อนตอนที่ข้าตื่นอยู่ ข้าก็มักจะคุยกับทางนั้นบ่อยๆ อีกอย่างเมื่อหลายวันก่อน...เอ่อ ไม่มีอะไร”
ปลาไนเพลิงพบว่าตัวเองพูดมากเกินไป จึงรีบหยุดพูด ปากของปลากลายเป็นวงกลมเล็กๆ ยิ่งดูน่ารัก
“ต่อให้ความสัมพันธ์ของสำนักพวกเราไม่ดี ท่านก็ไม่แน่ว่าจะต้องฆ่าข้า ยิ่งไปกว่านั้นที่ผ่านมาข้าก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับสำนักจงโจวมาโดยตลอด”
จิ๋งจิ่วกล่าวอย่างจริงจัง “ศิษย์สำนักจงโจวที่ข้ารู้จักคนแรกสุดมีชื่อว่าเซี่ยงหว่านซู ภายหลังก็กลายเป็นเพื่อนเล่นหมากล้อมกับศิษย์สำนักจงโจวที่ชื่อถงเหยียน อ้อใช่ ท่านอาจจะรู้จักไป๋เจ่าที่เป็นลูกสาวของเจ้าสำนักคนปัจจุบัน ความสัมพันธ์ของข้ากับนางดีมาก ท่านลองไปถามนางดูได้”
เมื่อได้ยินชื่อถงเหยียน ในดวงตาของปลาไนเพลิงมีแววตาแปลกใจปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย แต่มันยังคงไม่เปลี่ยนความคิดของตัวเอง พลางกล่าวอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ เพราะข้าเห็นเจ้าคุยกับยอดฝีมือของเผ่าหมิงผู้นั้น คนชั่วที่แอบมาคุยกับพวกเผ่าหมิงอย่างเจ้า ข้าย่อมไม่อาจปล่อยให้มีชีวิตรอดไปได้”
มันไม่รู้ว่าคนตัวเตี้ยที่สวมชุดสีน้ำเงินไพลินผู้นั้นคือหมิงซือ แต่ถึงแม้จะมีกำแพงยักษ์โปร่งใสขวางกั้นอยู่ มันก็ยังสามารถรับรู้ได้ว่าพลังและสภาวะของอีกฝ่ายอยู่เหนือตนเอง เช่นนั้นมันก็ย่อมต้องคาดเดาได้ถึงความเป็นมาที่ไม่ธรรมดาของอีกฝ่าย
เมื่อคิดถึงว่าตัวเองเพิ่งจะตื่นขึ้นมาสองปี แต่กลับกระปรี้กระเปร่าถึงเพียงนี้ ปลาไนจึงรู้สึกค่อนข้างภูมิใจ ทันใดนั้นหางตาของมันพลันเห็นจิ๋งจิ่วหนีขึ้นไปจากลาวาขึ้นไปบนฝั่ง จึงรีบตะโกนขึ้นมาอย่างร้อนใจว่า “เจ้ากล้าหนีอย่างนั้นหรือ!”
จิ๋งจิ่วย่อมต้องหนี การเผชิญหน้ากับปลาไนเพลิงตัวนี้ในลาวา ไม่ใช่เรื่องยากที่จะถูกฆ่าตาย
ในขณะที่เขาชูมือขวาเตรียมจะหนีไป ปลาไนที่อยู่ในลำธารลาวาพลันยกหางขึ้นมา ก่อนจะฟาดลงไปลำธารอย่างแรง
เสียงตู้มดังสนั่น ลาวาสีแดงที่ร้อนระอุจำนวนนับไม่ถ้วนสาดกระเซ็นขึ้นไปจากในลำธาร ก่อนจะกระเด็นไปถูกผนังเหมือนดั่งพายุฝน
ลาวาเหล่านั้นมิใช่แค่มีอุณหภูมิที่สูง หากแต่ยังมีพลังอันน่ากลัวแฝงเอาไว้ด้วย
จิ๋งจิ่วหยิบเอากระบี่คมจักรวาลออกมาจากในจักรวาล กันเอาไว้ตรงหน้าตัวเอง
เสียงติ๊งๆ ตั๊งๆ ดังแน่นขนัด
สองเท้าของเขาขูดไปกับพื้นจนเป็นร่องตื้นๆ ขึ้นมา แผ่นหลังกระแทกเข้ากับหน้าผาถึงจะหยุดลง
บนผิวของกระบี่คมจักรวาลมีรอยแวววาวเล็กๆ ปรากฏขึ้นมาหลายสิบรอย โชคดีที่ตัวกระบี่มีความกว้างเป็นอย่างมาก จึงไม่มีลาวากระเซ็นมาถูกตัวเขา
ปลาไนเพลิงตัวนี้ร้ายกาจเป็นอย่างมาก เขาย่อมสู้มันไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเมื่อครู่นี้เขาคงจะไม่กล่าวคำพูดไร้สาระอย่างสหายเล่นหมากล้อม หรือมีความสัมพันธ์ที่ดีอะไรทำนองนั้นออกมาตั้งมากมาย
ปลาไนเพลิงกระโดดขึ้นมาจากในลำธารลาวา พุ่งเข้ามาหาจิ๋งจิ่วพร้อมกับอุณหภูมิที่สูงและพลังที่รุนแรงอย่างที่ยากจะจินตนาการได้
ในขณะที่มันกำลังจะมาถึงตรงหน้าจิ๋งจิ่ว จิ๋งจิ่วพลันพลิกมือซ้ายขึ้นมา
ปลาไนเพลิงลอยค้างอยู่กลางอากาศ จ้องมองฝ่ามือของเขา ก่อนกล่าวถามอย่างระมัดระวังว่า “นี่มันตัวอะไรอีก?”
ในฝ่ามือของจิ๋งจิ่วมีด้วงสีขาวฟุบหมอบอย่างนิ่งๆ อยู่ตัวหนึ่ง ร่างกายของมันแผ่ไอเย็นจางๆ แต่ไม่สลายหายไปไกนออกมา นั่นคือจักจั่นเหมันต์
ระดับชั้นของจักจั่นเหมันต์ต่ำต้อยเป็นอย่างมาก เมื่ออยู่ในที่ราบหิมะก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในลำดับล่างสุด สำหรับสิ่งมีชีวิตระดับสูงอย่างปลาไนเพลิงแล้ว มันย่อมไม่มีความน่ากลัวใดๆ แต่ความเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากบนตัวมันกลับทำให้ปลาไนไม่ชอบใจอย่างมาก มันแอบรู้สึกไม่สบายใจ
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “มันคือสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวที่สุดของแคว้นเสวี่ย”
ปลาไนเพลิงพลันหัวเราะขึ้นมาดังลั่น ปากของมันเปลี่ยนสลับไปมาระหว่างปากกลมๆ กับปากแบนๆ ครีบที่เป็นสีแดงเล็กน้อยตีไปที่ลำตัวของตัวเองไม่หยุด คล้ายว่าหัวเราะจนรู้สึกปวดท้อง
“เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าที่อาศัยอยู่ที่นี่จะไม่รู้เรื่องโลกภายนอก? เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าหน้าตาน่ารักเช่นนี้จะโง่เง่าไม่รู้เรื่องอะไร?”
จิ๋งจิ่วครุ่นคิด กล่าวว่า “ข้าขอถอนคำพูด”
จักจั่นเหมันต์แอบชำลองมองเขา รู้สึกน้อยใจ แล้วก็รู้สึกแค้นใจ
ปลาไนเพลิงต้องพยายามอยู่นานกว่าจะหยุดหัวเราะได้ มันหอบหายใจพลางกล่าวว่า “เดิมข้าอยากจะหยอกเจ้าเล่นต่อไปอีกหน่อย แต่มันทนไม่ไหวจริงๆ หากเจ้ามีปัญญาพาราชินีหิมะมาได้ ข้าจะปล่อยเจ้าไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ ต่อให้เจ้าพาปีศาจวิญญาณหิมะที่มีรูปร่างเหมือนคนพวกนั้นมา ข้าก็ยังพอจะรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่นี่เจ้ากลับเอาด้วงหิมะที่ต่ำต้อยที่สุดมาหลอกให้ข้ากลัวอย่างนั้นหรือ? ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าคิดแบบนี้”
จักจั่นเหมันต์รับรู้ได้ถึงความคิดเขา จึงรีบพลิกตัวหงายท้องขึ้นมาด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด
นี่คือการยอมเชื่อฟัง
“เจ้าคิดจะมอบด้วงหิมะตัวนี้เป็นของขวัญให้ข้าหรือ?”
ปลาไนเพลิงกล่าวขึ้นมาอย่างโมโห “ไม่ใช่…ต่อให้เจ้าอยากจะคิดสินบนราชาอย่างข้า เจ้าช่วยหาอะไรที่มันมาค่ามาหน่อยได้ไหม? ข้าว่ากระบี่ยักษ์ของเจ้าเล่มนั้นก็ไม่เลวนะ”
จิ๋งจิ่วมิได้กล่าวกระไร
จักจั่นเหมันต์พลันถูขาของตัวเองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ส่งเสียงดังหวึ่งๆ แผ่วเบา คล้ายกับจักจั่นในฤดูใบไม้ร่วงจริงๆ
สายตาของปลาไนเพลิงพลันเปลี่ยนไป เพราะมันรับรู้ได้ว่าเจ้าด้วงหิมะตัวนี้มิได้กำลังทำตัวน่ารัก หากแต่กำลังปล่อยอะไรบางอย่างออกมา
สิ่งเหล่านั้นมีขนาดที่เล็กอย่างมาก เล็กจนถึงขนาดที่ว่ากระทั่งตัวมันก็ไม่สามารถมองเห็นได้
ปลาไนเพลิงรู้สึกไม่สบายใจอย่างรุนแรง มันสะบัดหาง มองไปทางจิ๋งจิ่วพลางกล่าวว่า “น้องชาย มีอะไรก็ค่อยๆ พูดกันดีกว่านะ”
…………………………………………………..