มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 2 ยอดเขากระบี่เกิดจากฟ้าดิน (2)
ไม่ว่าจะเป็นร่างกระบี่ไร้ลักษณ์แต่กำเนิดหรือว่าร่างกระบี่ไร้ลักษณ์หลังกำเนิดก็ล้วนแต่มีเนตรกระบี่ที่สามารถมองทะลุความจริงและสิ่งลวงตาได้
“คนรุ่นก่อนอย่างพวกเรายังคงเคยชินกับการเรียกที่นี่ว่ายอดเขากระบี่”
จิ๋งจิ่วมองดูก้อนหินที่มีรูปทรงแปลกประหลาดเหล่านั้น รับรู้ถึงเจตน์กระบี่ที่มีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง พลางกล่าวว่า “จากการคาดเดาของเหล่าบรรพจารย์ เนตรสวรรค์สังหารของเส้นปราณวิญญาณของชิงซานนั้นอยู่ที่ส่วนลึกใต้ดินของยอดเขากระบี่ เพียงแต่เจตน์กระบี่ที่อยู่ด้านในรุนแรงเกินไป จึงไม่มีใครเข้าไปดูใกล้ๆ ได้”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวว่า “เป็นเพราะปรมาจารย์ในอดีตใช้พลังวิญญาณและจิตสังหารที่ไหลออกมาจากที่นี่หลอมกระบี่และเก็บซ่อนกระบี่ ยอดเขาอวิ๋นสิงเลยถูกเรียกว่ายอดเขากระบี่หรือ?”
จิ๋งจิ่วส่ายศีรษะ กล่าวว่า “ฟ้าดินให้กำเนิดยอดเขา ในยอดเขาให้กำเนิดกระบี่ จึงได้ชื่อว่ายอดเขากระบี่”
เจ้าล่าเยวี่ยไม่ค่อยเข้าใจ ในใจครุ่นคิดว่ามิใช่มีสำนักชิงซานก่อนค่อยมียอดเขากระบี่หรอกหรือ?
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เมื่อหลายหมื่นปีก่อน ยอดเขาแห่งนี้ได้ให้กำเนิดกระบี่ขึ้นมาเล่มหนึ่ง ปฐมจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักจึงได้รู้แจ้ง ความหมายที่แท้จริงของวิถีกระบี่ จากนั้นถึงได้มีสำนักชิงซาน”
เจ้าล่าเยวี่ยตกใจ ตอนที่เรียนกระบี่อยู่ที่ริมธารสี่เจี้ยน ไม่มีใครเคยบอกเรื่องเหล่านี้กับนาง ในคัมภีร์กระบี่ก็ไม่มีบันทึกที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้เช่นเดียวกัน
แบบนี้ในอีกแง่หนึ่งก็แสดงว่ากระบี่เล่มนั้นคือปฐมจารย์ของชิงซาน?
จิ๋งจิ่วรู้ว่านางกำลังคิดอะไร จึงกล่าวว่า “ช่วงเวลาหลายหมื่นปีที่ผ่านมา ยอดเขากระบี่แห่งนี้ยังคงให้กำเนิดกระบี่บินเล่มใหม่อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย กระบี่กลับคืนชิงซาน ในตอนแรกนั้นมิได้หมายถึงว่าผู้ฝึกกระบี่ตายไปแล้วจึงเอากระบี่ส่งต่อให้ศิษย์รุ่นหลัง เพื่อให้อีกฝ่ายสืบทอดจิตวิญญาณของวิถีกระบี่ของชิงซาน หากแต่เป็นความหมายง่ายๆ ตามตัวหนังสือ”
เจ้าล่าเยวี่ยคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไร “กระบี่มาจากชิงซาน ผู้ฝึกกระบี่ใช้มาทั้งชีวิต สุดท้ายย่อมควรส่งคืนชิงซานมิใช่หรือ?”
จิ๋งจิ่วพานางเดินขึ้นไปต่อ
ยิ่งเดินสูงขึ้นไปบนยอดเขาอวิ๋นสิง เมฆหมอกก็ยิ่งหนาทึบ เจตน์กระบี่ยิ่งรุนแรง อีกทั้งยังหนาแน่น
กระบี่บินที่เกิดขึ้นมาจากฟ้าดินแล้วถูกปรมจารย์รุ่นก่อนๆ ส่งกลับคืนชิงซานหลังจากเสียชีวิตแอบซ่อนตัวอยู่ในก้อนหิน เสียบอยู่ตามซอกหน้าผา กระจัดกระจายเต็มไปทั่วทุกที่
กระบี่บางเล่มมีด้ามจับ บางเล่มไม่มีด้ามจับ ปักอยู่ในก้อนหินเหมือนอย่างตะปู แล้วก็มีกระบี่บางเล่มที่เหมือนเพิ่งจะถูกช่างเหล็กตีออกมา ดูโบราณและเรียบง่าย นอนกองอยู่ตามก้อนหิน บ้างก็ปักอยู่ตามก้อนหินคล้ายกิ่งไม้ ยากที่จะแยกแยะออกได้
เจ้าล่าเยวี่ยคิดในใจว่านี่น่าจะเป็นกระบี่ที่ถือกำเนิดมาจากยอดเขากระบี่ เพียงแต่ถ้าคิดจะหล่อหลอมให้มันมีคม ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกกี่พันปี
กระบี่บินที่อยู่บนหน้าผาเหล่านั้นพลันสั่นไหวขึ้นมาเบาๆ ส่งเสียงร้องหวึ่งๆ ที่แผ่วเบาเป็นอย่างยิ่งจนไม่สามารถได้ยินได้
เจ้าล่าเยวี่ยไม่ได้ยินเสียงเหล่านั้น แต่ตัวนางที่อยู่ในที่นี้ย่อมต้องสามารถรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเจตน์กระบี่ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
นางเคยฝึกวิชาเจตน์กระบี่หลอมกายาอยู่ที่นี่มาเป็นเวลาหลายปี จนกระทั่งสามารถฝึกจนกลายเป็นร่างกระบี่ไร้ลักษณ์หลังกำเนิดได้ นางจึงมีความคุ้นเคยต่อสภาพแวดล้อมของที่นี่และเจตน์กระบี่เหล่านั้น ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดกระบี่เหล่านั้นถึงได้ดูแตกตื่นโกลาหลกันเช่นนี้ นางมองไปทางด้านหลังของจิ๋งจิ่ว ในใจครุ่นคิดว่าหรือจะมีความเกี่ยวข้องกับกระบี่คมจักรวาล?
กระบี่คมจักรวาลถูกผ้าพันเอาไว้หลายชั้น เก็บความคมและความแวววาวทั้งหมดเอาไว้ ดูมิได้สะดุดตาอะไร ยังคงมัดเอาไว้ด้านหลังของจิ๋งจิ่ว
“หนวกหู” จิ๋งจิ่วกล่าว
กระบี่เหล่านั้นสงบลงทันที
จิ๋งจิ่วมองไปยังที่แห่งหนึ่งบนยอดเขากระบี่
กระบี่คมจักรวาลแหวกผ้าพุ่งออกไป กลายเป็นลำแสงกระบี่ที่สว่างเจิดจ้าและเยือกเย็น ทะลวงเมฆหมอกที่หนาทึบ ปักเข้าไปยังที่แห่งหนึ่งบนหน้าผาแล้วเริ่มหล่อเลี้ยงตนเอง
เขามิได้มาคืนกระบี่ เพียงแต่รู้สึกว่านิสัยของกระบี่เล่มนี้เย็นชาเกินไป คมเกินไป กลัวกู้ชิงจะควบคุมไม่อยู่ ดังนั้นจึงเอามันมา เลี้ยงที่ยอดเขากระบี่เสียหน่อย
แต่แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเขาอยากจะมาที่นี่เพื่อดูว่าสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของตนเองได้หรือไม่
ตามหลักแล้ว ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกกระบี่อัจฉริยะ เขาน่าจะรู้ว่าควรจะซ่อมกระบี่อย่างไร แต่เขาไม่มีประสบการณ์จริงๆ
ในอดีตไม่ว่าจะอยู่บนยอดเขาซั่งเต๋อหนือว่ายอดเขาเสินม่อ เขาก็ล้วนแต่เก็บตัวเป็นเวลาหลายปี ไม่พบปะศิษย์ร่วมสำนักและผู้คน น้อยครั้งที่จะต่อสู้กับผู้อื่น ในการต่อสู้ที่เคยพบเจอมาก็ไม่มีใครสามารถรับการโจมตีของเขาได้แม้เพียงกระบวนท่าเดียว กระบี่แทบจะไม่ปะทะกัน เขาเอากระบี่ไร้อัตตาและกระบี่มิคำนึงสลับกันใช้ จึงแทบจะไม่มีทางเสียหาย
ยิ่งเข้าไปลึกในเมฆหมอก ภายในม่านตาที่สีขาวและสีดำตัดกันอย่างชัดเจนของเจ้าล่าเยวี่ยก็มีลำแสงกระบี่ส่องแสงสว่างขึ้นมา นางมองดูสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบด้าน รู้สึกค่อนข้างคุ้นเคย จากนั้นก็มองเห็นถ้ำที่อยู่บนหน้าผาถ้ำนั้น
ในอดีตนางนั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำแห่งนี้เป็นเวลาสามปี
จิ๋งจิ่วกล่าวถาม “สบาย?”
เขากำลังถามว่านั่งอยู่ในถ้ำเป็นเวลานานจะสบายหรือเปล่า
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูใบหน้าเขา จากนั้นพลันคิดถึงภาพเขาที่จู่ๆ ก็กระโดดขึ้นมาอยู่ตรงหน้าตนเมื่อในอดีต มุมปากยกขึ้นมาเล็กน้อย
“พอได้ อีกทั้งเจตน์กระบี่เกิดขึ้นมาจากในหน้าผา รู้สึกค่อนข้างเต็มเปี่ยม”
จิ๋งจิ่วโบกมือ ข้างๆ ถ้ำนั้นมีถ้ำอีกแห่งปรากฏขึ้นมา
รูปร่างของถ้ำทั้งสองคล้ายกันเป็นอย่างมาก ห่างจากพื้นประมาณสามฉื่อ เพียงแต่ถ้ำที่สองมีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย
เจ้าล่าเยวี่ยนั่งเข้าไปในถ้ำ จิ๋งจิ่วนั่งเข้าไปในถ้ำที่อยู่ข้างๆ จากนั้นทั้งสองปิดตาลงพร้อมกัน
จิ๋งจิ่วมายอดเขากระบี่เพื่อจะรักษาอาการบาดเจ็บ ส่วนเจ้าล่าเยวี่ยนั้นมีเหตุผลอื่น
นางไล่ล่าอินซานจากวัดกั่วเฉิงไปจนถึงต้าเจ๋อ ระหว่างทางฝืนบรรลุสภาวะเข้าสู่ขั้นคเนจรระดับกลาง จึงทำให้มีปัญหาบางอย่าง
จิ๋งจิ่วให้นางมาที่ยอดเขากระบี่ใช้เจตน์กระบี่หลอมกายาอีกครั้ง เพื่อทำให้สภาวะคงตัว
วิธีแบบนี้อันตรายเป็นอย่างมาก ทั่วทั้งชิงซานก็มีเพียงเขาและเจ้าล่าเยวี่ยเท่านั้นที่สามารถทำได้
เพียงแต่วิธีแบบนี้ก็ไม่สามารถทำเป็นเวลานานแล้วก็ทำหลายๆ ครั้งได้เช่นกัน มิเช่นนั้นปีศาจกระบี่อาจจะค่อยๆ เกิดขึ้นมา และใจแห่งเต๋าได้รับบาดเจ็บ
จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยมีเจตน์กระบี่คอยรักษาใจ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยให้ความสำคัญกับวัตถุภายนอก ทันทีที่หลับตาก็เข้าสู่สภาวะว่างเปล่า ลมหายใจค่อยๆ เบาลง จนกระทั่งไม่ได้ยิน
เมฆหมอกลอยมา พวกเขาที่นั่งอยู่ภายในถ้้ำดูคล้ายรูปปั้นหินแกะสลักสองตัว ปรากฏขึ้นเลือนรางอยู่ท่ามกลางสายหมอก
ผ่านไปครึ่งปี ฤดูร้อนมาเยือนชิงซานอีกครั้ง ข่ายพลังเปิดเมฆวน ปล่อยให้สายฝนและสายฟ้าตกลงมา กระบี่บินหลายสิบเล่มพุ่งออกไปจากยอดเขา ชำระล้างตนเองอยู่ในเสียงฟ้าคำราม บนยอดเขาปี้หูมีสายฟ้ากระหน่ำฟาดลงมา ผิวทะเลสาบสว่างเจิดจ้า
ภายในถ้ำริมธารสี่เจี้ยน ศิษย์หนุ่มผู้หนึ่งมองเห็นภาพเหล่านี้ จิตใจถูกสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ความมุ่งมั่นยิ่งมั่นคง
รุ่งเช้าวันที่สอง เขาเดินขึ้นไปบนยอดเขาอวิ๋นสิงด้วยตัวคนเดียว ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่าวันนี้จะต้องขึ้นไปถึงจุดที่สูงที่สุดให้ได้ เพื่อจะตามหากระบี่ของตนเอง
ช่วงเวลาตอนเย็น ในที่สุดตัวเขาที่เสื้อผ้าเต็มไปด้วยรอยฉีกขาดก็ปีนเข้าไปในเมฆหมอก มาถึงด้านบนของยอดเขา
เมฆหมอกที่อยู่รอบด้านพลันกระจายตัวออกไป ในที่สุดเขาก็พบว่าตนเองได้มาอยู่ริมหน้าผาแห่งหนึ่ง เบื้องหน้ามีถ้ำอยู่สองถ้ำ ด้านในมีรูปปั้นหินผู้ชายและผู้หญิงอยู่อย่างละหนึ่งตัว
เขาเดินเข้าไปตรงหน้าถ้ำอย่างสงสัย ยื่นมือไปลูบรูปปั้นหิน กลับพบว่านั่นคือคน!
ศิษย์หนุ่มผู้นั้นตกใจ ในใจครุ่นคิดว่าหรือนี่จะเป็นร่างของผู้อาวุโสรุ่นก่อนที่คืนกระบี่ให้แก่ชิงซาน?
หากเป็นเช่นนั้นจริง การกระทำของตนเองก่อนหน้านี้ก็เรียกได้ว่าไม่เคารพเป็นอย่างมาก เขารีบคุกเข่าคำนับไปทางถ้ำ
พริบตาที่หัวเข่าของเขาสัมผัสลงกับพื้น ยอดเขาอวิ๋นสิงพลันสั่นสะเทือนขึ้นมา!
ลมกระโชกรุนแรง เมฆหมอกเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว ในส่วนลึกของยอดเขามีเสียงเสียดสีแปลกๆ ดังขึ้นมา คล้ายว่าหน้าผากำลังจะพังถล่ม
ศิษย์หนุ่มใบหน้าขาวซีด ในใจคิดว่าหรือการที่ตนเองไม่เคารพต่อผู้อาวุโสก่อนหน้านี้จะทำให้เกิดทัณฑ์สวรรค์? จึงรีบโขกศีรษะแรงๆ สองสามครั้ง ก่อนจะหมุนตัวหนีลงจากภูเขาไป
เมฆลมปั่นป่วน ย่อมมิอาจเป็นเพราะการกระทำของศิษย์หนุ่มผู้หนึ่ง
ความเคลื่อนไหวแปลกๆ บนยอดเขาอวิ๋นสิงได้ทำให้หลายๆ คนสังเกตเห็น ลำแสงกระบี่หลายสิบสายบินออกมาจากแต่ละยอดเขา ล้วนแต่เป็นผู้อาวุโสขั้นแหวกทะเล
เฉิงโหยวเทียนเจ้าแห่งยอดเขาปี้หูมาถึง ฉือเยี่ยนแห่งยอดเขาซั่งเต๋อมาถึง กระทั่งหนานว่างก็ออกมาจากยอดเขาชิงหรง
เจ้าแห่งยอดเขาซีไหลฟางจิ่งเทียนอยู่ในจุดสูงสุด สีหน้าตึงเครียด ทอดตามองไปยังที่แห่งหนึ่ง
เมฆหมอกกำลังกระจายตัว ยอดเขากระบี่กำลังเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริง แสดงให้เห็นว่าข่ายพลังกระบี่ชิงซานกำลังทำงาน
นี่มีความเป็นไปได้เพียงสองอย่างเท่านั้น ความเป็นไปได้อย่างที่หนึ่งคือมีศัตรูที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากกำลังบุกเข้ามาโจมตี ความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งก็คือข่ายพลังกระบี่ชิงซานพบเห็นผู้หลบหนีกระบี่นคนไหนในใต้หล้า จึงเตรียมจะทำการโจมตี
ภายในถ้ำ เจ้าล่าเยวี่ยลืมตาขึ้นมา มองดูเมฆหมอกเบื้องหน้าที่เบาบางลงไปกว่าเดิมและลำแสงกระบี่ที่อยู่บนท้องฟ้าเหล่านั้น จึงกล่าวถามด้วยสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
จิ๋งจิ่วถามว่า “เจ้าเคยได้ยินเรื่องเพลงกระบี่ที่ตกลงมาจากฟ้าไหม?”