มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 18 เดินออกมาจากที่ราบหิมะ (1)
ไม่มีอะไรให้ลุ้น ผิงหย่งเจียเลือกยอดเขาเสินม่อ คนอื่นๆ เองก็ไม่มีโอกาสได้เห็นพรสวรรค์ทางวิถีกระบี่ของเขา
อาจารย์อาเหมยหลี่และหลินอู๋จือสบตากันอีกครั้ง พวกเขาได้พยายามเต็มที่เพื่อยอดเขาชิงหรงและยอดเขาเทียนกวงแล้ว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
งานชุมนุมสืบทอดกระบี่ยังไม่จบ หยวนฉวีก็พาผิงหย่งเจียเดินออกมาจากท่ามกลางสายตาที่ยังคงมองมาเหล่านั้น
เมื่อมาถึงยอดเขาเสินม่อ หยวนฉวี่ก็บอกให้เขารออยู่ที่นี่ จากนั้นก็รีบหมุนตัววิ่งลงจากเขาไป ดูแล้วคงจะไปอธิบายอะไรบางอย่างให้ศิษย์น้องอวี้ซานฟัง
บนยอดเขาไม่มีคน ยังคงมีเศษหิมะหลงเหลืออยู่
ผิงหย่งเจียตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แต่บนใบหน้ากลับไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา เพราะเขาไม่รู้ว่าจิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยกำลังแอบสังเกตดูตัวเองอยู่ที่ไหนหรือเปล่า
ผ่านไปไม่นาน กู้ชิงก็เดินออกมาจากในตำหนักเต๋า ก่อนจะกล่าวกับเขาว่า “ตอนฤดูใบไม้ร่วงข้าเก็บตัว ก็เลยลืมแจ้งเจ้า ยังดีที่เจ้าไม่ลืม”
ผิงหย่งเจียรีบคารวะ ในใจครุ่นคิดว่ามิใช่ว่าตนเองไม่ลืม หากแต่ต้องยกความดีความชอบให้กับความกล้าและความโลภของตัวเองมากกว่า เพียงแต่คำพูดเหล่านี้ย่อมไม่สามารถพูดออกไปได้
กู้ชิงมองดูสีหน้าเขาที่คล้ายอยากจะพูดอะไรแต่ก็หยุดไป จึงยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “เจ้าคงสงสัยว่าทำไมอาจารย์ถึงเลือกเจ้าใช่ไหม?”
ผิงหย่งเจียพยักหน้า ตอนนี้เขาย่อมต้องรู้แล้วว่าชายหญิงที่ตนเองได้พบตอนที่ขึ้นไปบนยอดเขากระบี่ในตอนนั้นก็คืออาจารย์ของยอดเขาเสินม่อสองท่านนี้ แต่การที่อาศัยเพียงเรื่องนี้ก็ได้เข้ามาเป็นศิษย์ยอดเขาเสินม่อ มันทำให้เขารู้สึกค่อนข้างแปลกใจอยู่หน่อย ในใจครุ่นคิดว่าหรือตนเองจะไปชนถูกอะไรเข้า?
กู้ชิงถามว่า “ตำแหน่งที่อาจารย์สองท่านนั้นเก็บตัวอยู่บนยอดเขากระบี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันสูงเท่าไร?”
ผิงหย่งเจียครุ่นคิด ก่อนกล่าวว่า “ตอนนั้นข้าเพียงแต่คิดจะเดินให้สูงขึ้นไป ยิ่งสูงยิ่งดี ภายหลังตกใจจนแทบจะกลิ้งตกลงไป ไม่รู้ว่าสูงเท่าไรขอรับ”
กู้ชิงยิ้มๆ กล่าวว่า “ดูเหมือนเจ้าเองก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองมีพรสวรรค์แค่ไหน”
ยอดเขากระบี่ยากจะเดินขึ้นไป สามารถเดินไปได้สูงแค่ไหนก็หมายความว่าศิษย์ชิงซานผู้นั้นมีพรสวรรค์ทางวิถีกระบี่ที่สูงเท่านั้น
จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยเก็บตัวอยู่บนยอดเขากระบี่ สถานที่ที่พวกเขาเลือกย่อมต้องสูงอย่างมาก ดังนั้นพรสวรรค์ทางวิถีกระบี่ของผิงหย่งเจียย่อมต้องสูงอย่างมากเช่นกัน
หลักเหตุผลนี้ง่ายดาย ผิงหย่งเจียเข้าใจอย่างรวดเร็ว เมื่อคิดถึงว่าตนเองเป็นอัจฉริยะทางวิถีกระบี่ที่อาจารย์ทั้งสองท่านให้การยอมรับ จึงเกาศีรษะตนเองอย่างดีใจ
เมื่อเห็นท่าทางของเขา กู้ชิงก็คิดถึงเหล่าวานรที่อยู่ด้านล่างหน้าผาขึ้นมา จากนั้นก็เกิดความรู้สึกใกล้ชิดกับศิษย์น้องที่เข้ามาใหม่คนนี้ จึงตบไหล่เขาพลางกล่าวว่า “หลังจากนี้ก็ตั้งใจบำเพ็ญเพียรให้ดี อย่าให้อาจารย์ต้องขายหน้า”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็หมุนตัวเดินจากไป เตรียมจะเข้าไปเก็บตัวในตำหนักเพื่อเลี้ยงกระบี่ต่อ
ผิงหย่งเจียงุนงง เมื่อเห็นกู้ชิงใกล้จะเดินเข้าไปในตำหนัก จึงร้อนใจขึ้นมาพลางตะโกนว่า “เอ่อ…ศิษย์พี่ แล้วหลังจากนี้ข้าต้องทำอะไรขอรับ?”
กู้ชิงหยุดฝีเท้า หมุนตัวกลับมาพลางกล่าวว่า “หากวิชาจากหอกระบี่เรียนหมดแล้ว อย่างนั้นเจ้าก็เลี้ยงกระบี่ไปก่อน ต่อไปจะให้เจ้าฝึกกระบี่ของยอดเขาไหน เอาไว้ให้อาจารย์กลับมาแล้วค่อยว่ากัน”
ผิงหย่งเจียลืมตาโตพลางกล่าวถามว่า “เลี้ยงกระบี่? ท่านบอกให้ข้าอย่าใจร้อนไปเอากระบี่ ตอนนี้ข้าไม่มีกระบี่นะขอรับ”
กู้ชิงกล่าวว่า “ไม่มีกระบี่ก็เลี้ยงจิตไปก่อน ส่วนเรื่องกระบี่นั้นเจ้าไม่ต้องใจร้อน ไม่อย่างนั้นต่อไปหากอาจารย์อยากจะเปลี่ยนกระบี่ให้เจ้ามันจะยุ่งยากเป็นอย่างมาก”
นี่คือประสบการณ์โดยตรงของเขา
ตอนนี้เขาอยู่ในขั้นคเนจร ฝึกฝนจนมีผีกระบี่แล้ว แต่จู่ๆ กลับจะเปลี่ยนกระบี่ นี่จะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ได้ง่าย
ต่อให้กระบี่เล่มนั้นคือกระบี่คมจักรวาล เขาก็ยังรู้สึกว่ามันยุ่งยาก
ผิงหย่งเจียไม่รู้ถึงความกังวลใจของเขา เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจ ในใจครุ่นคิดว่ายอดเขาเสินม่อมีส่งกระบี่ให้ด้วยหรือนี่ ช่างโชคดีจริงๆ เลย
……
……
ในงานชุมนุมสืบทอดกระบี่ของชิงซานปีนี้มีเรื่องสองเรื่องที่ค่อนข้างเป็นที่สนใจ
ยอดเขาเสินม่อรับศิษย์ใหม่ ยอดเขาเหลี่ยงว่างไม่ได้ปรากฏตัว
ตอนนี้เหล่าศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่างต่างอยู่ที่ดินแดนทางเหนืออันห่างไกล เป็นแนวหน้าสู้กับเหล่าสัตว์ประหลาดของแคว้นเสวี่ย
อาจารย์และศิษย์ของยอดเขาที่เหลือก็มีหลายคนที่เดินทางไปยังเมืองไป๋เฉิง โดยมีฟางจิ่งเทียนเป็นผู้นำ
ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ เมืองไป๋เฉิงยิ่งเย็นยะเยือก ภายในค่ายทหารที่สร้างขึ้นติดภูเขา ทุกที่จะสามารถเห็นควันสีขาวลอยขึ้นมา
ในนั้นมิใช่น้ำพุร้อน หากแต่เป็นถังขนาดใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนที่ใส่น้ำร้อนเอาไว้จนเต็ม
ในช่วงหลายปีมานี้มีคลื่นอสูรขนาดเล็กเกิดขึ้นหลายครั้ง กองทัพเจิ้นเป่ยสูญเสียไปไม่มาก แต่มีทหารได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ในเวลาแบบนี้พวกเขาต้องการน้ำร้อนและยาเป็นจำนวนมาก
เหล่าสมณะแพทย์ของวัดกั่วเฉิงคอยอยู่แนวหลัง สำนักที่ถนัดเรื่องยันต์อย่างเรือนอี้เหมาคอยรับผิดชอบทั้งเป็นกองหนุนให้แนวหน้าและเรื่องการขนส่ง
เหล่าศิษย์ของชิงซานยังคงทำหน้าที่เหมือนอย่างในอดีต รับผิดชอบเรื่องการสังหาร
ลำแสงกระบี่หลายสิบสายบินกลับมาจากที่ราบหิมะ บินลงมายังทุ่งกว้างที่อยู่ตรงด้านหน้าภูเขา
กั้วหนานซานกวาดสายตานับจำนวนคนดูอีกรอบ หลังมั่นใจว่าไม่มีศิษย์ร่วมสำนักตกค้างอยู่ที่ที่ราบหิมะ ภายในใจก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้น
ศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างซึ่งรวมไปถึงเขา กู้หาน โหยวซือรั่ว เจี่ยนหรูอวิ๋นต่างบรรลุขั้นคเนจรแล้ว ฝีมือในการต่อสู้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก นำพาศิษย์ร่วมสำนักไล่สังหารสัตว์ประหลาดที่ร้ายกาจที่หลบหนีออกมาจากสนามรบและอาจจะหนีลงใต้ แม้นจะไม่ใช่การต่อสู้แบบซึ่งๆ หน้าในสนามรบ แต่กลับมีอันตรายมากกว่า ในช่วงเวลาหลายปีมีศิษย์ชิงซานเจ็ดคนที่ได้รับบาดเจ็บและถูกส่งตัวกลับไปยังชิงซานแล้ว แต่เมื่อจำนวนครั้งที่เกิดคลื่นอสูรมีความถี่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความรุนแรงเองก็มากขึ้นเรื่อยๆ เชื่อว่าอีกไม่ช้าจะต้องมีคนเสียชีวิตอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ทำให้พวกเขาค่อนข้างเป็นกังวลก็คือเมื่อสถานการณ์บนที่ราบหิมะตึงเครียด เหล่าสำนักวิถีมารบนเขาเหลิ่งซานก็มีท่าทีว่าจะออกมาก่อความวุ่นวาย
กั้วหนานซานกล่าวว่า “ได้แต่หวังว่าเหล่าสหายสำนักคุนหลุนจะควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้”
กู้หานกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “อาศัยเพียงพวกไร้ประโยชน์นั่นน่ะหรือ? ข้าว่าพวกเราฉวยโอกาสตอนที่ที่ราบหิมะสงบลงชั่วคราว ไปจัดการที่เขาเหลิ่งซานสักครั้ง ขู่ให้เจ้าพวกนั้นมันกลัวเสียหน่อยจะดีกว่า”
“เรื่องนี้ไม่ต้องนับข้าเข้าไปด้วยนะ” ในกลุ่มคนมีเสียงที่ฟังดูอ่อนแรงเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
คนอื่นๆ และกั้วหนานซานมองไป พบว่าเป็นจัวหรูซุ่ย สีหน้าจึงดูแปลกใจเล็กน้อย
กู้หานจ้องมองเขาพลางกล่าวว่า “หรือว่าเจ้าจะมองดูพวกมารชั่วอย่างสำนักเสวียนอินมันฉวยโอกาสนี้ก่อความวุ่นวายโดยไม่ทำอะไรเลยอย่างนั้นหรือ”
หนังตาของจัวหรูซุ่ยตกลง เขากล่าวด้วยสีหน้าเฉยชาว่า “ตอนนี้เขาเปลี่ยนชื่อเป็นนิกายเสวียนอินแล้ว ลองดูชื่อนี้สิ เห็นๆ อยู่ว่าตั้งขึ้นมาเพื่อสู้กับนิกายเฟิงเตา ขนาดเทพดาบยังไม่ร้อนใจ แล้วพวกท่านจะร้อนใจไปทำไม?”
ทุกคนมองดูเขา สายตาค่อนข้างสับสน
ในบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ ชื่อเสียงของจัวหรูซุ่ยย่อมต้องโด่งดังเป็นอย่างมาก ในงานชุมนุมทดสอบกระบี่ของชิงซานครั้งนั้น เขาซึ่งออกมาจากการเก็บตัวบนยอดเขาเทียนกวงสามารถเอาชนะเจ้าล่าเยวี่ย นี่ยิ่งทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังจนถึงขีดสุด
ศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างต่างหวังว่าเขาจะได้ประลองกับจิ๋งจิ่ว ใครจะไปคิดบ้างว่าหลังจากที่เขาพ่ายแพ้ให้แก่จิ๋งจิ่วในเขาอวิ๋นเมิ่ง นิสัยของเขาก็ยิ่งดูคล้ายคนของยอดเขาเสินม่อขึ้นทุกวัน
ส่วนนิสัยที่ว่านั้นคืออะไรกันแน่ ไม่มีใครสามารถบอกได้ชัดเจน เจี่ยนหรูอวิ๋นที่เกลียดยอดเขาเสินม่อมากที่สุดก็บอกไม่ได้ น่าจะเป็นเพราะกลัวความยุ่งยากหรือไม่ก็กลัวเรื่องนั้น
ครั้งนี้ยอดเขาเสินม่อไม่มีใครมาที่ราบหิมะ จัวหรูซุ่ยเป็นศิษย์คนสุดท้ายของเจ้าสำนัก เขาย่อมต้องมา
แต่เขาแตกต่างจากกั้วหนานซานโดยสิ้นเชิง บนตัวเขามิได้มีความรู้สึกงดงามอย่างความฮึกเหิมที่จะสังหารศัตรู ยืนหยัดอยู่ข้างหน้า หรือการปฏิบัติตัวเป็นตัวอย่างให้คนอื่นได้เห็นอะไรทำนองนี้เลย
เจี่ยนหรูอวิ๋นสีหน้าคร่ำเคร่ง มองดูเขาพลางกล่าวว่า “หากเจ้ากลัวตายเหมือนอย่างกู้ชิง เจ้าก็ไม่ต้องตามมา”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้ากู้หานพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร
จัวหรูซุ่ยมองดูเจี่ยนหรูอวิ๋น ค่อยๆ เชิดหน้าขึ้นอย่างช้าๆ
เขามิใช่ว่าอยากจะใช้รูจมูกมองดูคนอื่นเพื่อแสดงความดูถูกของตนเอง หากแต่เตรียมจะส่งเสียงอืมออกมา
กั้วหนานซานเป็นศิษย์อันดับหนึ่งของยอดเขาเทียนกวง เคยได้ยินเสียงอืมของหลิ่วฉือผู้เป็นอาจารย์มาหลายครั้ง ย่อมต้องรู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร จึงกล่าวตะคอกว่า “หุบปากให้หมด!”
จัวหรูซุ่ยคิดในใจว่าข้าส่งเสียงอืมก็ไม่จำเป็นต้องเปิดปาก คำพูดประโยคนี้ของศิษย์พี่มีความเกี่ยวข้องกับตนเองหรือไม่นะ?
โหยวซือลั่วพลันมองไปทางที่ราบหิมะ จากนั้นกล่าวว่า “นั่นใครน่ะ?”
ศึกครั้งก่อนจบลงไปไม่ถึงร้อยวัน ในที่ราบหิมะยังคงมีอันตรายอยู่มาก เหตุใดถึงมีคนเดินออกมาตามลำพัง?
การเคลื่อนไหวของคนผู้นั้นดูแปลกประหลาด ไม่ถึงสิบอึดใจ เขาก็เดินจากภูเขาสีดำมาถึงริมที่ราบหิมะแล้ว มองไม่ชัดเลยว่าเขาทำได้อย่างไร
กู้หานกล่าวถาม “คนของสำนักจงโจวหรือ?”
ในความทรงจำของหลายๆ คน มีเพียงวิชาหลบหนีฟ้าดินของสำนักจงโจวเท่านั้นที่จะมีการเคลื่อนไหวที่เลื่อนลอยยากคาดคะเนเช่นนี้
กั้วหนานซานส่ายศีรษะพลางกล่าว “นั่นเหอจาน”
…………………………………………………………………………….