มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 17 เหล่าเด็กน้อยของยอดเขาเสินม่อ
หมิงซือไม่มีการตอบสนอง
เขามิได้มองใบหน้าของจิ๋งจิ่ว คล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะตอบรับคำ แล้วก็มิได้ถ่มน้ำลายลงไปในหุบเหวลึก
“ทุ่งหญ้าเมื่อลุกไหม้ย่อมต้องลุกลาม เมื่อมนุษย์ธรรมดาบนโลกตายจนหมดแล้ว จะต้องถึงตาดินแดนหมิงอย่างแน่นอน”
จิ๋งจิ่วกล่าวถามว่า “หรือความทะเยอะทะยานของไท่ผิวมิได้ทำให้เจ้ารู้สึกไม่สบายใจเลย?”
“ไม่สวมเสื้อผ้ายังยืนพูดคุยได้หน้าตาเฉย แล้วยังสามารถว่ายฝ่าลำธารลาวาที่ร้อนระอุขนาดนี้ได้ ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าหนังหน้าของเจ้ามันหนาสักเท่าไร”
หมิงซือมองดูร่างกายช่วงล่างของเขา ก่อนจะกล่าวอย่างจริงจังว่า “คิดไม่ถึงว่าลัญจกรแห่งจักรพรรดิหมิงจะอยู่ในมือเจ้า นี่ทำให้ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไร”
ในเวลานี้จิ๋งจิ่วถึงนึกขึ้นมาได้ เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้เสื้อผ้าสีขาวที่มีเหลืออยู่ไม่มากเสียหายในระหว่างที่แช่อยู่ในลาวาเป็นเวลานาน ตนเองจึงถอดเสื้อผ้าออกในตอนที่เดินลงไปลำธารลาวา
ร่างกายเปลือยเปล่าคือสภาพของเขาในเวลานี้
จากนั้นเขาคิดถึงการพบหน้าจักรพรรดิแห่งหมิงครั้งแรกในคุกสะกดมาร ตัวเองก็มิได้ใส่เสื้อผ้าเช่นเดียวกัน
ตัวเองกับดินแดนหมิงไม่ค่อยจะสมพงศ์กันจริงๆ ด้วย การที่ให้หมิงซือส่งคนขึ้นมาโดยที่เขาไม่เดินทางลงไปยังดินแดนหมิงด้วยตัวเองนั้นเหมือนจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
จิ๋งจิ่วครุ่นคิดถึงเรื่องเหล่านี้ แต่ก็มิได้มีท่าทีว่าจะหยิบเสื้อผ้าออกมาสวมใส่
ในเมื่อสภาพแบบนี้ทำให้หมิงซือรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ อย่างนั้นหากเขาคิดอยากจะเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย การรักษาสภาพแบบนี้ไว้มันก็ค่อนข้างดีกว่า
ในเวลานี้เอง เขาพลันรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนสายหนึ่งที่แผ่ขึ้นมาจากใต้เท้า เขาจึงหมุนตัวมองไปยังต้นลำธารลาวา
จู่ๆ ในลำธารลาวาพลันมีคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนยกตัวขึ้นมา ส่งเสียงคำรามพร้อมกับถาโถมเข้ามาหากำแพงยักษ์โปร่งใส ไกลออกไปกว่านั้นคล้ายมีคลื่นยักษ์ที่ดูเหมือนเขื่อนกั้นน้ำแถบหนึ่ง
ผิวลำธารยกตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ในเวลาไม่นานก็ท่วมขึ้นมาถึงใต้เท้าของเขา จากนั้นยกตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ
ลาวากระแทกผนังหินอย่างคลุ้มคลั่ง เกิดเป็นเปลวเพลิงขึ้นมานับพัน
จิ๋งจิ่วเหยียบอากาศทะยานขึ้นไป มองดูคลื่นเพลิงลาวาอันน่ากลัวที่กำลังซัดสาดอยู่เบื้องล่าง ในใจครุ่นคิดว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
เขาคล้ายได้ยินเสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวเสียงหนึ่ง นั่นมิใช่เรื่องของลำธาร จากนั้นเขาก็รับรู้ได้ถึงแรงกดดันจากกระแสจิตที่แข็งแกร่งสายหนึ่ง
หมิงซือเองก็ได้ยินเสียงคำรามนี้ และรับรู้ได้ถึงแรงกดดันสายนั้น สีหน้าเขาเปลี่ยนเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดว่าเหตุใดราชาแห่งเพลิงถึงตื่นขึ้นมา?
กำแพงยักษ์โปร่งใสขวางกั้นระหว่างโลกมนุษย์และดินแดนหมิง ต่อให้เป็นยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์ก็ยากจะผ่านไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นด้วยสภาวะการบำเพ็ญเพียรของเขาในเวลานี้ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวอีกฝ่าย เพียงแต่รู้สึกค่อนข้างแปลกใจเท่านั้น ที่ผ่านมาเจ้านั่นมักจะนอนหลับอยู่ในลาวา เหตุใดจู่ๆ มันถึงตื่นขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นยังโกรธเกรี้ยวถึงเพียงนี้?
หมิงซือกล่าวกับจิ๋งจิ่วว่า “เรื่องของเจ้า ข้าจะไปคิดดูอย่างละเอียด หลังจากนี้อีกสิบปีเมื่อฤดูหนาวมาถึง เจ้าไปรอฟังคำตอบของข้าที่ริมบ่อผ่านฟ้า”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เจ้ารีบหรือ?”
เขามองว่าถ้าหากกระทั่งหมิงซือก็ยังไม่อยากเผชิญหน้ากับเจ้าของแรงกดดันสายนั้น เช่นนั้นตัวเองก็ควรจะรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
หมิงซือยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “หากให้มันเห็นพวกเราอยู่ที่นี่ สำนักจงโจวจะต้องโทษว่าเจ้าสมคบคิดกับเผ่าหมิงอย่างแน่นอน นี่ข้าคิดแทนเจ้าต่างหาก”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็เอาสองมือไพล่หลังแล้วเดินออกไปเหมือนเด็กน้อย ไม่นานก็หายตัวไปในหุบเหวลึก
จิ๋งจิ่วดึงสายตากลับมา หมุนตัวมองไปทางต้นลำธารลาวา ในใจครุ่นคิดว่าถ้าหากเจ้าของแรงกดดันสายนั้นมีความเกี่ยวข้องกับสำนักจงโจว เช่นนั้นก็น่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่ทำการผนึกหุบเขาจวี้หุนเมื่อในอดีตไปแล้ว เหตุใดตัวเองถึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน กระทั่งในบันทึกของศิษย์พี่ก็ไม่มีการบันทึกเอาไว้?
แรงกดดันสายนั้นขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
คลื่นยักษ์ที่เหมือนเขื่อนกั้นน้ำก็ตามมาเช่นเดียวกัน
ไม่นาน คลื่นยักษ์ก็มาถึงใต้เท้าเขา ชนเข้ากับกำแพงยักษ์โปร่งใส
เสียงตู้มดังสนั่น
โพรงถ้ำสั่นสะเทือน ไม่รู้ว่ามีก้อนหินมากน้อยเท่าไรร่วงตกลงมา
ลาวาที่เป็นสีแดงเพลิงพุ่งขึ้นไปบนอากาศ ม้วนเอาตัวเขาตกลงไปในลำธาร
ในชั่วพริบตาที่เขาตกลงไปในลำธาร เขาก็มองเห็นภาพภาพหนึ่ง
ปลาไนสีทองตัวหนึ่งกระโดดขึ้นมาจากในลำธารลาวาที่กำลังคลุ้มคลั่ง สะบัดร่างกายฉีกกระชากเงาดำที่อยู่บนผนังเหล่านั้นลงมา ก่อนจะกลืนกินลงไปในท้อง
นั่นคือเงาดำที่หมิงซือทิ้งเอาไว้ในโลกมนุษย์ ตอนเขาจากไปมิได้เก็บกลับไปด้วย หากแต่จงใจทิ้งเอาไว้ให้ปลาไนสีทองตัวนี้กิน
นี่ก็เป็นปัญหาหนึ่งที่เขาทิ้งเอาไว้ให้จิ๋งจิ่วเช่นกัน หากตอบไม่ดี อาจจะต้องตายจริงๆ
จิ๋งจิ่วต้องทำอย่างไรถึงจะสามารถพูดกล่อมปลาไนตัวนั้นให้เชื่อได้ว่าเขามิได้สมคบคิดกับเผ่าหมิง เพียงแต่อยากจะพูดกล่อมหมิงซือให้ร่วมมือกับตัวเองเท่านั้น?
ไม่มีใครเชื่อคำพูดเหลวไหลเช่นนี้ ความจริงแล้ว ในประวัติศาสตร์อันยาวนาน เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นแค่กับนักพรตไท่ผิงและจักรพรรดิแห่งหมิงครั้งหนึ่งเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นก่อนอื่นเขาต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าปลาไนสีทองตัวนี้มันคืออะไรกันแน่ ไฉนถึงได้ร้ายกาจถึงเพียงนี้ กระทั่งเงาของหมิงซือก็ยังกินลงไปได้
เสียงผัวะเบาๆ ดังขึ้น ปลาไนสีทองตัวนั้นกระแทกกลับลงไปในลาวาใหม่อีกครั้ง ลาวาสาดกระเซ็นขึ้นมา
ลาวาที่ไหลหลากอย่างคลุ้มคลั่งไหลวกกลับเมื่อเจอกับกำแพงยักษ์โปร่งใส ในตอนที่มันไหลผ่านร่างกายของจิ๋งจิ่ว กระแสการไหลได้เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยบางอย่าง
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ถูกส่งกลับไปหาปลาไนสีทองอย่างแม่นยำ
ปลาไนแหวกว่ายเข้ามาหาจิ๋งจิ่วอย่างรวดเร็ว
ลาวาที่หนาแน่นคล้ายมิได้มีผลใดๆ ต่อมัน ยิ่งไปกว่านั้นยังดูคล้ายว่าจะกลายเป็นสารหล่อลื่นที่ทำให้มันว่ายได้เร็วขึ้น
ไม่นาน ปลาไนสีทองก็มาอยู่ตรงหน้าจิ๋งจิ่ว ถลึงตาโตมองดูเขาอย่างสงสัย
จิ๋งจิ่วเองก็มองดูปลาไนตัวนี้ พลางสังเกตเห็นว่าในตอนที่มันสะบัดหาง เปลวเพลิงลาวาที่เดิมกำลังลุกไหม้ได้เปลี่ยนกลายเป็นสีน้ำเงินคล้ำ
หรือว่าอุณหภูมิร่างกายของมันจะสูงกว่าลาวา?
ปลาไนสีทองตัวนี้จะต้องไม่ใช่ปลาธรรมดาแน่ มันเพียงแค่มีหน้าตาคล้ายปลาไนเท่านั้น
จิ๋งจิ่วคิดในใจ เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่?
ปลาไนตัวนั้นพลันอ้าปากเป็นวงกลม มันถามคำถามออกมาด้วยท่าทางที่คล้ายกับกำลังพ่นฟองอากาศ “เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่?”
……
……
“เจ้าเป็นตัวอะไร คิดอยากจะเลียนแบบอาจารย์อาเล็กอย่างนั้นหรือ?”
ศิษย์ชิงซานผู้หนึ่งจ้องมองดวงตาของผิงหย่งเจีย พลางกล่าวอย่างมิได้ปกปิดความรู้สึกเกลียดชังของตัวเองว่า “ไม่มีกระบี่เจ้าก็อย่าได้คิดที่จะเข้าร่วมการสืบทอดกระบี่!”
ต้นฤดูใบไม้ผลิ ชิงซานได้จัดการชุมนุมสืบทอดกระบี่ขึ้นอีกครั้ง เหล่าศิษย์ในสำนักที่ร่ำเรียนอยู่ริมธารสี่เจี้ยนต่างเฝ้ารอคอยการคัดเลือกจากอาจารย์ยอดเขาต่างๆ อย่างประหม่าและตื่นเต้น ผิงหย่งเจียย่อมไม่อยากจะพลาดโอกาสนี้ เขามายังด้านหน้าผาขาดที่อยู่ปลายสุดของธารสี่เจี้ยนอย่างเงียบๆ แต่กลับถูกเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งที่ไม่ชอบขี้หน้าเขาเข้ามาขวางเอาไว้
เขามองดูหอสูงบนผาขาดที่ถูกเมฆหมอกปกคลุมเหล่านั้นพลางแอบถอนใจอย่างเงียบๆ ในใจครุ่นคิดว่านี่ไม่อาจโทษคนอื่นได้ แล้วก็ไม่อาจโทษศิษย์พี่กู้ที่อยู่บนยอดเขาเสินม่อได้ ได้แต่ต้องมองว่าตนเองเลอะเลือนไปหน่อย ในเมื่อช่วงหนึ่งปีมานี้ไม่มีข่าวอะไรจากทางนั้น และครั้งนี้ก็ไม่มีการแจ้งอะไรมา แล้วตัวเองมาที่นี่ทำอะไร?
ศิษย์ในสำนักที่เข้าร่วมงานชุมนุมสืบทอดกระบี่ในครั้งนี้ล้วนแต่พรสวรรค์ไม่เลว แต่แน่นอนว่าไม่อาจเทียบกับจิ๋งจิ่วในปีนั้นได้
ในปีนั้นนอกจากจิ๋งจิ่วแล้ว ยังมีเจ้าล่าเยวี่ยกับหลิ่วสือซุ่ย แม้นกู้ชิงจะกราบจิ๋งจิ่วเป็นอาจารย์ในงานชุมนุมครั้งต่อไป แต่เขาก็ปรากฏตัวเป็นครั้งแรกในปีนั้น
งานชุมนุมสืบทอดกระบี่ครั้งนั้นมีเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดสองคน มีร่างกระบี่ไร้ลักษณ์สองคน แล้วก็มีกู้ชิงที่ได้เลือกอาจารย์เอาไว้แล้วในใจ นับเป็นภาพที่ยากจะได้เห็นในช่วงเวลาหลายร้อยปี
แล้วก็ย่อมไม่มีใครลืมเรื่องที่พิเศษที่สุดในงานชุมนุมสืบทอดกระบี่ครั้งนั้น
จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยต่างเลือกยอดเขาเสินม่อ กู้ชิงเองก็ไปยอดเขาเสินม่อ กระทั่งความสัมพันธ์ระหว่างหลิ่วสือซุ่ยกับยอดเขาเสินม่อก็มีความพิเศษเป็นอย่างมาก
การสืบทอดของยอดเขาเสินม่อดำเนินต่อไปอีกครั้ง ความโดดเด่นค่อยๆ เผยออกมาให้เห็น หลังจากนั้นลูกศิษย์ทั้งหมดที่เข้าร่วมการสืบทอดกระบี่ต่างจัดให้ยอดเขาเสินม่อเป็นตัวเลือกอันดับแรก แต่น่าเสียดายที่นอกจากเด็กหนุ่มแซ่หยวนที่เห็นได้ชัดว่าใช้เส้นสายเข้าไปเป็นศิษย์ยอดเขาเสินม่อแล้วก็ไม่มีใครมีโอกาสนี้อีก ในในงานชุมนุมสืบทอดกระบี่อีกหลายครั้งหลังจากนั้น ยอดเขาเสินม่อก็ไมได้เข้าร่วมงานชุมนุมสืบทอดกระบี่ เหล่าศิษย์ที่อยู่ริมธารสี่เจี้ยนจึงค่อยๆ ตัดใจ
อาจารย์จากแต่ละยอดเขาอยู่บนหอสูงที่อยู่ในเมฆหมอก แล้วก็ยังมีอาจารย์บางคนยืนอยู่บนทางขึ้นเขาที่อยู่บริเวณหน้าผา ได้ยินว่าเป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในที่ราบหิมะ สำนักที่เดินทางมาชมการสืบทอดกระบี่จึงมีจำนวนน้อยลงกว่าเดิม แต่วัดกั่วเฉิง สำนักต้าเจ๋อและสำนักเสวียนหลิงยังคงมีคนมาอยู่ หอสูงหอหนึ่งที่เป็นของยอดเขาเสินม่อได้ว่างเปล่ามาเป็นเวลาหลายปีแล้ว
จู่ๆ ริมลำธารพลันวุ่นวายขึ้นมา ถึงขนาดได้ยินเสียงอุทานตกใจดังขึ้นมาหลายเสียง
บนหอสูงหอนั้นมีคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นมา
ยอดเขาเสินม่อมีคนมาแล้ว!
……
……
หยวนฉวี่มองดูศิษย์หนุ่มสาวตรงริมลำธารที่กำลังตื่นเต้นเหล่านั้น ในใจพลันคิดถึงภาพตนเองตอนที่เข้าร่วมงานชุมนุมสืบทอดกระบี่
บทบาทที่เขาแสดงในตอนนั้นคือผู้ที่สนับสนุนจิ๋งจิ่วอย่างไม่เสื่อมคลายและคอยส่งเสียงตะโกนให้กำลังใจ หลายปีมานี้บางครั้งเขาจะหวนคิดขึ้นมา หากในตอนนั้นไม่เป็นเพราะเช่นนี้ เช่นนั้นต่อให้มีเส้นสายอย่างปรมาจารย์ลุง ตัวเองก็ไม่แน่ว่าจะได้ขึ้นมาบนยอดเขาเสินม่อ จากนั้นเขารับรู้ได้ถึงสายตาที่ทอดมองมา จึงอดรู้สึกลำบากใจไม่ได้ ในใจครุ่นคิดว่าตัวเองอยู่บนยอดเขาเสินม่อก็เป็นแค่คนที่คอยส่งจดหมายและทำงานเล็กๆ น้อยๆ เหตุใดอาจารย์ถึงต้องให้ตนเองมาทำเรื่องนี้ด้วย
ในสายตาเหล่านั้นย่อมต้องเต็มไปด้วยความสงสัยและใคร่รู้ วันนี้เหตุใดยอดเขาเสินม่อถึงมาปรากฏตัวอยู่ในงานชุมนุมสืบทอดกระบี่ พวกเขาคิดจะเลือกใคร?
เรื่องแบบนี้ย่อมไม่สะดวกที่จะถาม ถามไปก็ไม่มีใครที่จะตอบ ไม่อย่างนั้นในตอนที่ทำการแย่งตัวศิษย์หลังจากนี้จะเกิดปัญหายุ่งยากเอาได้
แต่มีคนที่ไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ ศิษย์น้องอวี้ซานได้รับคำสั่งจากอาจารย์ จึงเดินจากแท่นหินของยอดเขาซั่งเต๋อมายังหอสูงของยอดเขาเสินม่อ ก่อนจะถามอย่างสงสัยว่า “ใครหรอ?”
หยวนฉวี่ย่อมไม่มีทางตอบ เขายิ้มเจื่อนพลางกล่าวว่า “อีกประเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง”
……
……
งานชุมนุมสืบทอดกระบี่เริ่มขึ้น เหล่าศิษย์หนุ่มสาวเดินขึ้นมาบนลำธารแล้วเริ่มแสดงกระบี่ของตนเอง จากนั้นก็มองไปทาง…หยวนฉวี่ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวัง
หยวนฉวี่มิได้เอ่ยปากพูดอะไร
ในบรรดาศิษย์ของยอดเขาต่างๆ ก็มีผู้ที่เคารพเลื่อมใสในตัวเจ้าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่วอยู่เป็นจำนวนมาก แต่บรรยากาศในเวลานี้ก็ยังมีความรู้สึกไม่ค่อยพอใจปรากฏขึ้นมาให้เห็น
ในเวลานี้เอง ผิงหย่งเจียก้าวออกมา
เขาเตรียมยอมแพ้แล้ว แต่เมื่อเห็นว่าจู่ๆ ยอดเขาเสินม่อก็มีคนมา ภายในใจจึงรู้สึกมีหวังเป็นอย่างมาก
ผู้อาวุโสของยอดเขาซีไหลซึ่งเป็นผู้จัดงานชุมนุมสืบทอดกระบี่มองดูเขาพลางขมวดคิ้ว กล่าวถามวา “กระบี่ของเจ้าล่ะ?”
ผิงหย่งเจียกล่าวเสียงเบาๆ “ยังไม่ได้หยิบมาขอรับ”
“ไม่มีกระบี่?”
เสียงของผู้อาวุโสแห่งยอดเขาซีไหลพลันดังขึ้นกว่าเดิมหลายส่วน เขากล่าวตะคอกว่า “ไม่มีกระบี่แล้วเจ้าจะเข้าร่วมสืบทอดกระบี่ได้อย่างไร!”
ผิงหย่งเจียรู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมาอีกครั้ง เขากล่าวตะกุกตะกักว่า “ข้า…”
ผู้อาวุโสแห่งยอดเขาซีไหลไม่ปล่อยให้เขาได้พูดจบ หากแต่กล่าวเสียงเย็นชาต่อว่า “ถ้าเจ้ากล้าบอกว่าตัวเองลืมไปแล้วเหมือนอย่างจิ๋งจิ่วในตอนนั้นล่ะก็ ข้าจะฟาดเจ้าเดี๋ยวนี้ล่ะ”
ผิงหย่งเจียผายมือออก พลางกล่าวด้วยสีหน้าน้อยใจว่า “ศิษย์ลืมจริงๆ นะขอรับ”
บนโลกไม่มีใครเป็นเหมือนจิ๋งจิ่วอีก
ดังนั้นเขาไหนเลยจะลืมหยิบกระบี่มาได้
เมื่อประมาณหนึ่งปีกว่าก่อนหน้านี้ เขามองเห็นภาพสายฟ้าชำระกระบี่บนยอดเขาปี้หู รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก จึงแอบตัดสินใจกับตัวเองว่าจะขึ้นไปบนยอดเขากระบี่เพื่อหยิบกระบี่
ใครจะไปคิดบ้างว่าเขาลำบากลำบนอย่างแสนสาหัสกว่าจะขึ้นไปถึงยอดเขากระบี่ แต่กลับไม่เจอกระบี่ของตนเอง หากแต่เจอกับคนสองคนเข้า
จากนั้นกู้ชิงก็มายังริมธารสี่เจี้ยนเพื่อหาเขาเป็นการเฉพาะครั้งหนึ่ง
จากนั้นก็มีลิงตัวหนึ่งนำจดหมายฉบับหนึ่งมาส่งให้เขา กู้ชิงเขียนบอกเขาไว้ในจดหมายว่าไม่ต้องรีบไปเอากระบี่ ให้รอฟังคำสั่ง
หากจนถึงในเวลานี้ผิงหย่งเจียยังไม่รู้ว่าตนเองโชคดีแค่ไหน เช่นนั้นเขาก็เป็นคนปัญญาอ่อน
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ขึ้นไปบนยอดเขากระบี่ หากแต่อ่านหนังสือ ฝึกบำเพ็ญเพียรอยู่ที่หอสี่เจี้ยนอย่างมีความสุข จนกระทั่งถึงวันนี้
เขารู้สึกน้อยใจเป็นอย่างมาก ไม่มีทางที่เขาจะลืมเรื่องกฎสำนักและการไปเอากระบี่ได้ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่ากู้ชิงลืมจดหมายฉบับนั้นไปแล้วหรือเปล่า?
ไม่มีกระบี่ก็ย่อมไม่สามารถแสดงกระบี่ได้
เพื่อนร่วมชั้นเรียนที่หยิ่งยโสก็ย่อมไม่สามารถท้าเขาสู้ได้
ผิงหย่งเจียยืนอยู่บนก้อนหินในลำธาร รู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก
ในเวลานี้เอง บนหอสูงที่อยู่ในเมฆหมอกพลันมีเสียงสองเสียงดังขึ้นมาพร้อมกัน
“เจ้าจะยอมสืบทอดกระบี่ของยอดเขาเทียนกวงหรือไม่?”
“เจ้าจะยอมสืบทอดกระบี่ของยอดเขาชิงหรงหรือไม่?”
ริมธารสี่เจี้ยนแตกตื่นฮือฮาขึ้นมา
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองไปบนหอสูงสองแห่งนั้น
อาจารย์อาเหมยหลี่และหลินอู๋จือสบตากัน ต่างรู้สึกแปลกใจ แต่ก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผล จึงยิ้มเล็กน้อย
ตอนที่กู้ชิงไปยังหอสี่เจี้ยนเพื่อหาผิงหย่งเจียในตอนนั้น พวกเขาก็อยู่ที่นั่นด้วย
ศิษย์ที่ยอดเขาเสินม่อหมายตาเอาไว้ พวกเขาจะพลาดไปได้อย่างไร
หยวนฉวี่เองก็ตกใจ รีบเดินมายังริมผาแล้วกล่าวว่า “เดี๋ยวๆ เดี๋ยวๆ เด็กคนนี้เป็นเด็กที่อาจารย์อาเล็กเลือกเอาไว้ก่อนนะขอรับ”
เสียงฮือฮาดังสนั่น
ริมธารสี่เจี้ยนคึกคักขึ้นมาทันที บนหน้าผาเองก็คึกคักเช่นเดียวกัน
อาจารย์จากยอดเขาต่างๆ เดินมายังริมผา มองลงมาเบื้องล่าง กระทั่งแขกจากต้าเจ๋อ สำนักเสวียนหลิงก็ยังเดินออกมา ดูสงสัยเป็นอย่างมาก
จิ๋งจิ่วเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ เป็นอัจฉริยะทางวิถีกระบี่ที่ทุกคนต่างยอมรับ ศิษย์ที่เขาหมายตาเอาไว้ พรสวรรค์ทางวิถีกระบี่จะสูงส่งแค่ไหนกัน?
……………………………………………………………..