มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 16 ไหลตามและไหลทวน (2)
เมื่อสิบสามปีก่อน จักรพรรดิแห่งหมิงเองก็เคยจ้องมองดูหุบเหวลึกที่อยู่อีกด้านหนึ่งของม่านพลังที่โปร่งใสและไม่สามารถทำลายได้
ในตอนนั้นสายตาของจักรพรรดิแห่งหมิงเต็มไปด้วยความรู้สึกคิดถึงบ้านเกิด แต่ในเวลานี้สายตาของเขากลับมีความซับซ้อนกว่ามาก
สายตาของเขามองทะลุหุบเหวลึกไปยังแดนดินหมิงที่อยู่ไกลออกไป
แผ่นดินและท้องฟ้าของดินแดนหมิงคล้ายคลึงกับโลกที่อยู่ทางนี้ แล้วก็มียอดเขาที่สูงชันเหมือนกัน แต่ไม่มีพระอาทิตย์ แสงสว่างก็สลัวเป็นอย่างมาก ได้แต่ต้องอาศัยเปลวไฟจากใต้ดินในการให้ความสว่าง
แม่น้ำที่ค่อนข้างสว่างเจิดจ้าสายหนึ่งไหลวกไปวนมาตรงหมู่เขา ให้ความสว่างและความหวังแก่ชีวิตที่อยู่ริมสองฝั่งของลำธาร
จิ๋งจิ่วดึงสายตากลับมามองดูมือขวาของตนเอง
เมื่อแช่อยู่ในลำธารลาวามาเป็นเวลานาน มือขวาของเขาก็อ่อนนุ่มลงกว่าเดิม
สองมือของเขาไพล่อยู่ด้านหลังตลอด แต่ความจริงแล้วเขากำลังใช้มือซ้ายดัดนิ้วชี้มือขวาอยู่
นิ้วชี้นิ้วนั้นดูเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ความจริงแล้วกลับมีความคมขึ้น ใกล้จะคืนสู่สภาพเดิมอย่างสมบูรณ์
จิ๋งจิ่วยื่นนิ้วชี้ออกไป เตะไปที่กำแพงยักษ์โปร่งใสที่อยู่ตรงหน้า
กำแพงโปร่งใสแถบนั้นคล้ายไม่มีความหนา แล้วก็ไม่มีความยืดหยุ่นใดๆ
ฟังดูแล้วอาจจะเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่เมื่อครุ่นคิดดูดีๆ จะพบว่านี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวอย่างมาก หรือเรียกได้ว่ายากจะจินตนาการได้
ไม่รู้ว่าตอนที่สำนักจงโจวทำการผนึกเส้นทางนี้เมื่อสามหมื่นปีก่อน เซียนรุ่นก่อนนี้ได้ใช้วิชาอะไร และเสียของวิเศษไปมากน้อยเท่าไร
มีเสียงเบาๆ ดังขึ้น ปลายนิ้วของจิ๋งจิ่วแตะลงไปบนผิวกำแพง
เมื่อรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่ส่งกลับมาจากปลายนิ้ว เขาก็เลิกคิ้วขึ้น ระเบิดเจตน์กระบี่จากทั้งร่างออกมา
เจตน์กระบี่ที่ละเอียดเล็กและรุนแรงเป็นอย่างมากจำนวนนับไม่ถ้วนกระจายออกมาจากในร่างกายของเขา คล้ายกับใบหลิวที่ถูกลมพัดตกลงมา ปลิวปรายไปรอบด้าน
หินสีดำที่อยู่ใต้เท้าถูกตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ผิวของลาวาที่อยู่บนลำธารมีรอยแตกจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา อีกทั้งไม่สามารถเชื่อมติดกันใหม่ได้
ต่อให้เป็นตอนที่เผชิญหน้ากับปรมาจารย์สำนักเสวียนอินในวัดกั่วเฉิง เขาก็ไม่ได้เข้าสู่สภาพนี้ และในตอนที่ถูกสมณะตู้ไห่โจมตี เขาก็โดนยันต์เซียนเล่นงานอยู่
นับตั้งแต่ที่เกิดขึ้นมาใหม่ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงสภาพที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา
เพียงพริบตา ใบหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นขาวซีดอย่างมาก
เสียงเปรี๊ยะเบาๆ ดังขึ้น
ปลายนิ้วของเขาคล้ายแทงทะลุเข้าไปในกำแพงโปร่งใส แล้วก็คล้ายว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หากมองด้วยตาเปล่า ต่อให้ขยับเข้าไปมองใกล้ๆ ตรงนิ้วของเขาก็มองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใดๆ
จิ๋งจิ่วค่อนข้างเหนื่อยล้า การแตะลงไปนิ้วนี้คล้ายเผาผลาญปราณกระบี่ของเขาไปจนหมด
เขานั่งขัดสมาธิ หลับตาแล้วเริ่มบำเพ็ญเพียร
กำแพงยักษ์โปร่งแสงอยู่ตรงหน้าเขา แสดงภาพหุบเหวลึกและดินแดนหมิงที่อยู่ห่างไกลออกมาอย่างชัดเจน คล้ายภาพวาดใหญ่ยักษ์ภาพหนึ่ง รอคอยให้เขาตื่นขึ้นมาชื่นชมอีกครั้ง
หลังจากนั้นเจ็ดอึดใจ
จู่ๆ ลำธารลาวาก็เปลี่ยนเป็นสลัวลง เงาดำสายหนึ่งไม่รู้เกิดขึ้นมาจากไหน ทอดตกลงบนร่างกายของเขา
จิ๋งจิ่วลืมตาขึ้นมา มองดูอีกด้านหนึ่งของกำแพงยักษ์โปร่งใส
กลิ่นที่แผ่ออกมาจากเงาดำนั้นทั้งเย็นยะเยือกและแปลกประหลาด แต่เขามิได้รู้สึกแปลกหน้า
นี่คือร่างเงาของยอดฝีมือแห่งเผ่าหมิง
ตอนนี้หากเผ่าหมิงคิดอยากจะขึ้นมาทำอะไรบนแผ่นดินเฉาเทียน ส่วนใหญ่มักจะใช้วิธีแบบนี้ ในตอนที่เว่ยเฉิงจึที่เป็นผู้อาวุโสขั้นจิตก่อรูปของสำนักจงโจวลอบสังหารเจ้าล่าเยวี่ยไม่สำเร็จ ในระหว่างทางที่กำลังหนีก็ถูกศิษย์อันดับสามของหมิงซือใช้เงาสังหาร เจี่ยนหรูซานศิษย์ของสำนักชิงซานแอบสืบคดีที่จั่วอี้ถูกสังหาร ก่อนจะถูกสังหารในวัดร้างนอกเมืองเจียนลี่ด้วยวิธีแบบเดียวกัน
ยอดฝีมือของเผ่าหมิงผู้นี้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก สภาวะเหนือกว่าจิ๋งจิ่วในตอนนี้ไปไกล เชื่อว่าหากเงาของเขาคิดอยากจะสังหารจิ๋งจิ่วก็มิใช่เรื่องยากเช่นเดียวกัน
แต่บนใบหน้าของจิ๋งจิ่วมองไม่เห็นความหวาดกลัวใดๆ กระทั่งความระมัดระวังก็ไม่มี
เขารู้แต่แรกแล้วว่าอีกฝ่ายจะปรากฏตัว
เพราะเขาเป็นคนเรียกอีกฝ่ายมาเอง
……
……
“เจ้าเป็นใคร?”
อีกด้านหนึ่งของกำแพงยักษ์โปร่งใส ไม่รู้ว่ามีคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร
คนผู้นั้นหรี่ตา บนใบหน้าที่ไม่มีคิ้วมีแสงสีสันต่างๆ ไหลเวียน แต่กลับไม่โดดเด่นเท่าเสื้อผ้าของเขา
เขาสวมชุดสีน้ำเงินไพลิน สีสันสดใหม่เป็นอย่างมาก เมื่ออยู่ในพื้นหลังสีขาวดำและแสงไฟสลัวๆ ก็ยิ่งดูสะดุดตา
ดินแดนหมิงไม่มีทองฟ้าสีคราม ไม่มีทุ่งหญ้าสีเขียว มีเพียงสีขาวดำอึมครึมที่ดูแห้งแล้ง ชุดของชาวบ้านธรรมดาก็เป็นสีแบบนี้เช่นเดียวกัน มีเพียงชนชั้นสูงที่มีสถานะสูงส่งถึงจะมีสิทธิ์สวมใส่เสื้อผ้าที่เป็นสี
ตอนที่จิ๋งจิ่วพบจักรพรรดิแห่งหมิงเป็นครั้งแรกในคุกสะกดมาร จักรพรรดิแห่งหมิงสวมชุดที่เป็นสีสันต่างๆ
สีเสื้อผ้าของคนผู้นี้ดูสะดุดตาถึงเพียงนี้ สถานะในเผ่าหมิงย่อมต้องสูงส่งอย่างมากแน่นอน
คนผู้นี้ได้รับการเรียกจากจิ๋งจิ่ว เขากลับสามารถเดินทางผ่านหุบเหวลึกมาถึงที่นี่ได้ในเจ็ดอึดใจ ความเร็วช่างน่าตกใจเป็นยิ่งนัก
ไม่เจอกันสามร้อยปี แข็งแกร่งขึ้นจริงๆ ด้วย
จิ๋งจิ่วคิดถึงเรื่องนี้ รู้สึกทอดถอนใจ
คนผู้นี้สีหน้าคร่ำเคร่งเล็กน้อย แผ่พลังที่แข็งแกร่งอย่างมากออกมา
ก็เหมือนกับชาวหมิงส่วนใหญ่ในดินแดนหมิง เขาเองก็ตัวเตี้ยอย่างมาก สูงแค่ประมาณสี่ฉื่อเท่านั้น แต่พลังที่แผ่กระจายออกมาในเวลานี้กลับทำให้คนผู้นี้ดูสูงใหญ่เป็นอย่างมาก คล้ายกับว่ากระทั่งกำแพงยักษ์โปร่งใสแถบนี้ก็มิอาจขวางกั้นเขาเอาไว้ได้
พลังที่แข็งแกร่งปานนี้ ทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนมีเพียงไม่กี่คน เกรงว่าเขาจะอยู่ในระดับเดียวกับหลิ่วฉือด้วยซ้ำ!
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้ารู้ถึงความเป็นมาของยุง อย่างนั้นเจ้าก็น่าจะคาดเดาได้ว่าข้าเป็นใคร ข้าไม่เชื่อว่าไท่ผิงจะไม่เคยบอกเจ้าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในคุกสะกดมาร”
คนผู้นั้นมองดูจิ๋งจิ่วอย่างเงียบๆ ก่อนจะถามว่า “เจ้าเป็นใครกันแน่?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าเป็นคนถือลัญจกร”
ยุง
ลัญจกร
คนผู้นั้นนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน จากนั้นถามว่า “ฝ่าบาททรงยังมีชีวิตอยู่?”
จิ๋งจิ่วส่ายศีรษะ
คนผู้นั้นกล่าวว่า “หากฝ่าบาทสวรรคตไปแล้ว เหตุใดในยุงเหล่านั้นถึงยังมีเพลิงวิญญาณของพระองค์อยู่อีก?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าเคยบอกแล้ว เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าอยู่ข้างกายเขาก่อนตาย”
คนผู้นั้นมองไปทางเบื้องล่างของหุบเหวลึก มองดูแม่น้ำหมิงที่เงียบสงบสายนั้น ก่อนจะนิ่งเงียบไปเป็นเวลาครู่ใหญ่อีกครั้ง จากนั้นกล่าวว่า “มอบลัญจกรแห่งจักรพรรดิหมิงมา วันนี้ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เจ้าคิดว่าข้าควรจะกลัวเจ้า?”
คนผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมา จ้องมองดวงตาของจิ๋งจิ่ว น้ำเสียงไม่มีอารมณ์แม้แต่น้อย กล่าวว่า “เจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าย่อมต้องรู้ว่าเจ้าคือหมิงซือ ข้ายังรู้เรื่องบางเรื่องอีกด้วย เจ้าอยากฟังหรือไม่?”
อย่างเช่นเมื่อสามร้อยปีก่อน เจ้าเกือบจะถูกคนผู้หนึ่งบั่นศีรษะจนตาย
ถูกต้อง คนชุดสีน้ำเงินที่มีพลังแข็งแกร่งจนเทียบเท่ากับหลิ่วฉือผู้นี้ก็คือหมิงซือซึ่งเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าหมิงเวลานี้
เขามองดูจิ๋งจิ่วอย่างเงียบๆ จากนั้นพลันถามขึ้นมาว่า “เจ้าต้องการอะไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ในยุงตัวนั้นมีเพลิงวิญญาณของจักรพรรดิหมิงอยู่ เพียงพอที่จะแสดงถึงความชอบธรรมของเจ้า มันสามารถช่วยเจ้าหยุดการแก่งแย่งในเผ่าหมิงได้ เจ้ารีบฉวยโอกาสนี้เลือกผู้สืบทอดตำแหน่งจักรพรรดิที่เหมาะสมขึ้นมา แล้วส่งไปยังโลกมนุษย์ให้ข้าดู”
ดวงตาของหมิงซือยิ่งหรี่เล็กลงกว่าเดิม เขากล่าวว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังพูดอะไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องที่จักรพรรดิแห่งหมิงฝากข้าเอาไว้ก่อนตาย”
หมิงซือกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ในอดีตฝ่าบาทหายตัวไปในโลกมนุษย์ ผลสุดท้ายพระองค์ก็ไม่ได้เสด็จกลับมาอีก เจ้าคิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งหรือ?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “หากจักรพรรดิองค์ใหม่ไม่ได้รับการยอมรับจากข้า ลัญจกรแห่งจักรพรรดิหมิงก็ไม่มีทางกลับคืนสู่ดินแดนหมิง”
หมิงซือกล่าวว่า “หากเป็นเช่นนั้นจริง อย่างนั้นเจ้าก็มีบุณคุณต่อดินแดนหมิง แต่ว่า…ตัวเจ้าต้องการอะไรล่ะ?”
ยังคงเป็นคำถามก่อนหน้านี้
จิ๋งจิ่วกล่าวกับอาจารย์หมิงว่า “เจ้าเคยคิดที่จะร่วมมือกับชิงซาน กำจัดไท่ผิงหรือไม่?”
หมิงซือยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “เจ้ารู้ไหมว่าตัวเองกำลังพูดอะไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าเคยบอกแล้วว่าข้ายังรู้อีกหลายเรื่อง อย่างเช่นเจ้าเป็นศิษย์ที่ไท่ผิงรับเอาตอนอยู่เผ่าหมิง”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หมิงซือสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
จิ๋งจิ่วกล่าวต่อว่า “เมื่อดูจากอายุตอนที่เข้าเป็นศิษย์แล้ว เจ้าน่าจะเข้ามาหลังหลิ่วฉือและหยวนฉีจิง ดังนั้นเจ้าก็คือเจ้าสาม”
ดวงตาของหมิงซือหรี่จนกลายเป็นเส้นเดียว กล่าวว่า “ในเมื่อเจ้ารู้ถึงความสัมพันธ์ของข้ากับนักพรต แล้วเจ้ายังจะกล่อมให้ข้าร่วมมือกับชิงซานอีกอย่างนั้นหรือ?”
จิ๋งจิ่วกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ข้าถนัดเรื่องกล่อมให้ศิษย์ของเขาทรยศเขา”
……………………………………………………….