มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 13 บนฟ้ามีเพียงจักจั่นเหมันต์นั่งดูทิวทัศน์อยู่ตัวหนึ่ง
ลมกระโชกแรง คนผู้หนึ่งพุ่งมาอยู่ตรงหน้าจิ๋งจิ่ว
ธารลาวาค่อนข้างมืดสลัว แต่มันก็ยังมีแสงสว่างอยู่บ้าง มือขวาของจิ๋งจิ่วดูคล้ายคบเพลิงที่กำลังเผาไหม้ เพียงพอที่จะส่องสว่างภาพที่อยู่ตรงหน้า
คนผู้นั้นคือชายวัยกลางคนรูปร่างผอมแห้งผู้หนึ่ง ดวงตาทั้งสองข้างมีแสงสีเขียวเปล่งประกายออกมา ผมเผ้ายุ่งเหยิง คล้ายกับสัตว์ป่าอย่างไรอย่างนั้น พลังอันชั่วร้ายตลบอบอวลเหมือนความมืดในเวลาค่ำคืน
ผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารผู้นี้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ถึงได้สามารถมาบำเพ็ญเพียรอยู่ในใต้ดินลึกขนาดนี้ได้ ดูแล้วน่าจะมีชื่อเสียงอยู่ในเขาเหลิ่งซานไม่น้อยทีเดียว
จิ๋งจิ่วมองดูเขา มั่นใจว่าสภาวะของอีกฝ่ายเหนือกว่าตนเอง
จากนั้นเขามองดูอาวุธวิเศษที่อยู่ในมือขวาชิ้นนั้น มั่นใจว่าของชิ้นนี้ถึงแม้จะไม่ทนความร้อน แต่ระดับความแข็งก็ถือว่าไม่เลว
จากนั้นครู่หนึ่ง อาวุธวิเศษชิ้นนั้นก็ถูกมือขวาของเขาลวกจนเป็นควันลอยขึ้นมา บนใบหน้าของผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารผู้นั้นมีความรู้สึกเจ็บปวดและโกรธแค้นปรากฏขึ้นมา เขาตะคอกเสียงดังว่า “ตายเสียเถอะ!”
สิ้นเสียงตะคอกของเขา พลังชั่วร้ายของอาวุธวิเศษที่อยู่ในมือจิ๋งจิ่วพลันพวยพุ่งขึ้นมา ภูตผีและวิญญาณร้ายหลายสิบดวงกระโจนใส่หน้าของเขา คล้ายกับผีเสื้อกลางคืน
อุณหภูมิภายในถ้ำลดลงอย่างรวดเร็ว กระทั่งธารลาวาเองก็ดูสลัวขึ้นกว่าเดิม
ภูตผีและวิญญาณร้ายเหล่านั้นไร้รูปร่างและจับต้องไม่ได้ สามารถโจมตีใจแห่งเต๋าและจิตทารกของผู้บำเพ็ญพรตได้โดยตรง สำหรับผู้บำเพ็ญพรตแล้วถือว่ารับมือได้ยากที่สุด
ผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารผู้นี้อาศัยอยู่ใต้หุบเขาจวี้หุน ใช้เวลาร้อยกว่าปีในการเก็บรวบรวมภูตผีและวิญญาณร้ายมาหลายพันดวง ถึงจะสามารถหลอมให้อาวุธวิเศษกลายเป็นอาวุธมารที่แท้จริงได้
จิ๋งจิ่วถืออาวุธวิเศษนี้ไว้ในมือ ไม่ว่าดูอย่างไรก็ล้วนแต่เป็นการรนหาที่ตายเหมือนอย่างที่อีกฝ่ายว่าไว้
ภูตผีและวิญญาณร้ายเหล่านั้นโถมเข้าใส่ใบหน้าของเขาเหมือนลมที่กระโชกอย่างรุนแรง แต่พวกมันกลับเหมือนชนเข้าถูกผนังหิน ไม่สามารถทะลุเข้าไปได้ แตกกระจายออกไปรอบด้าน
จิ๋งจิ่วไม่คิดที่จะให้ภูติผีและวิญญาณร้ายเหล่านี้หนีไป ภายในดวงตามีลำแสงกระบี่ที่สว่างเจิดจ้าปรากฏขึ้นมา
เสียงฉัวะดังขึ้นเบาๆ ภูตผีและวิญญาณร้ายเหล่านั้นส่งเสียงร้องโหยหวน กลายเป็นเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อย ร่วงตกลงไปที่พื้น
สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาในดวงตาของเขานั้นมิใช่ลำแสงกระบี่ที่แท้จริง หากเกิดเป็นเจตน์กระบี่ที่บริสุทธิ์อย่างมากสายหนึ่ง ยิ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ก็ยิ่งถูกตัดได้ง่าย
ภูตผีและวิญญาณร้ายที่ถูกตัดเป็นชิ้นๆ นั้นมีแค่ไม่กี่สิบดวง ถึงแม้ผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารผู้นั้นจะตกใจในความร้ายกาจของเจตน์กระบี่ของจิ๋งจิ่ว แต่เขากลับไม่ได้สนใจ หากแค่นหัวเราะออกมาทีหนึ่ง เตรียมจะโจมตีต่อ
จิ๋งจิ่วไหนเลยจะปล่อยให้เขาได้มีโอกาสนี้ เจตน์กระบี่หลายสิบสายพุ่งออกมาจากนิ้วมือของเขา ตกลงไปบนอาวุธวิเศษ จากนั้นเขาพลิกฝ่ามือ เก็บเอาอาวุธวิเศษนั้นเข้าไป
ผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารผู้นั้นสีหน้าเปลี่ยนทันที พบว่าตนเองไม่อาจรับรู้ถึงการมีอยู่ของอาวุธวิเศษนั้นได้อีก จึงรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก ในใจคิดว่าอีกฝ่ายจะตัดขาดการเชื่อมต่อทางจิตระหว่างตนเองกับอาวุธวิเศษอย่างนั้นหรือ? แต่นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไร! ต่อให้เป็นกระบี่ที่คมที่สุดในโลกก็ไม่มีทางทำได้!
การเชื่อมต่อทางจิตระหว่างผู้บำเพ็ญพรตกับอาวุธวิเศษนั้นเป็นการเชื่อมต่อที่ไร้รูปร่างที่เป็นเหมือนกรรมอย่างหนึ่ง จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนานอย่างมากถึงจะสามารถดับมันลงได้ ยากที่จะถูกตัดขาดได้ในระยะเวลาสั้นๆ ขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นกระบี่คมจักรวาลหรือว่ามือขวาของจิ๋งจิ่วก่อนที่จะได้รับบาดเจ็บก็ล้วนแต่ไม่สามารถทำได้
ความจริงแล้ว จิ๋งจิ่วไม่ได้ใช้กระบี่หรือว่าเจตน์กระบี่ตัดการเชื่อมต่อสายนั้น เขาเพียงแต่ใช้เจตน์กระบี่พันการเชื่อมต่อเหล่านั้นเอาไว้ชั่วคราว จากนั้นส่งอาวุธวิเศษนั้นไปยังสถานที่อื่น
สถานที่นั้นคือสถานที่อื่นอย่างแท้จริง
ไม่ได้อยู่ที่นี่
ไม่ได้อยู่ที่เขาเหลิ่งซาน
แล้วก็ไม่ได้อยู่บนแผ่นดินเฉาเทียน
ในความว่างเปล่าอันมืดมิดที่อยู่ไกลโพ้นและเย็นยะเยือกมีกล่องสีดำสองสามกล่องและเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวหนึ่งลอยเคว้งคว้างอยู่
บนเก้าอี้ไม้ไผ่มีด้วงสีขาวนอนฟุบอยู่ตัวหนึ่ง นั่นคือเครื่องประดับของท่านไป๋กุ่ยที่เป็นผู้พิทักษ์แห่งชิงซาน — จักจั่นเหมันต์
จักจั่นเหมันต์หมอบอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ มองดูลูกไฟที่ใหญ่กว่าดวงดาวและเล็กกว่าดวงอาทิตย์ลูกนั้น ในใจครุ่นคิดว่านั่นมันคืออะไรกัน?
ทันใดนั้นเอง อาวุธวิเศษที่เป็นสีแดงเลือดชิ้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของมัน บดบังลูกไฟที่อยู่ไกลออกไปลูกนั้น แผ่กระจายไอพลังที่ดูชั่วร้ายน่ากลัว
มันยื่นเท้าเล็กๆ ออกไปเขี่ยเบาๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น
ภูตผีและวิญญาณร้ายที่อยู่ในอาวุธวิเศษชิ้นนั้นคำรามโดยไม่มีเสียงอย่างน่ากลัว กระโจนเข้าใส่มัน
จักจั่นเหมันต์ตกใจ กลิ้งตกลงมาจากบนเก้าอี้ รีบหงายท้องแสร้งทำเป็นตาย ขาที่อยู่ตรงส่วนท้องเสียดสีกันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ปล่อยอะไรบางอย่างออกมา
สิ่งที่มันทำนี้ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่ เพราะภูติผีและวิญญาณร้ายเหล่านั้นไม่สามารถเข้าใกล้มันได้ ในขณะที่เพิ่งจะออกมาจะผิวของอาวุธวิเศษ พวกมันก็ถูกพลังที่ไร้รูปร่างบางอย่างที่อยู่ในความว่างเปล่าอันมืดมิดนี้ทำให้สลายหายไป
ภูตผีและดวงวิญญาณที่ยังไม่ทันจะหนีออกมาเหล่านั้นรับรู้ได้ถึงความรู้สึกหวาดกลัวที่ออกมาจากก้นบึ้งของสัญชาตญาณ ไหนเลยยังจะกล้าออกมาอีก พวกมันรีบเข้าไปซุกอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของอาวุธวิเศษ
จักจั่นเหมันต์รออยู่พักหนึ่ง พบว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงใช้ท่าทางที่แปลกประหลาดพลิกตัวขึ้นมา ไต่ตามมือจับของเก้าอี้ไม้ไผ่ขึ้นไปบนพนักพิง มองดูภูตผีและวิญญาณร้ายที่แหวกว่ายอยู่ในอาวุธวิเศษราวกระแสน้ำ ในใจครุ่นคิดว่านี่มันคืออะไรกัน?
……
……
ผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารคนนั้นมีสภาวะสูงส่ง พบเห็นอะไรมามากมาย ไม่นานก็คิดเข้าใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตัดการเชื่อมต่อระหว่างตนเองกับอาวุธวิเศษ หากแต่เอาอาวุธวิเศษส่งไปยังสถานที่ที่กระแสจิตของตนเองไม่สามารถส่งไปถึงได้
ในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตต่างรู้กันว่ามีสถานที่อย่างหนึ่งที่อยู่ใกล้แค่ตรงหน้าแต่กลับอยู่ไกลแสนไกล นั่นก็คือมิติเล็กๆ ของภาชนะแห่งความว่างเปล่า
คนผู้นี้เป็นใครกันแน่ คิดไม่ถึงว่าจะมีอาวุธวิเศษที่หายากอย่างภาชนะแห่งความว่างเปล่า?
ผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารผู้นั้นสะกดความรู้สึกตกตะลึงภายในจิตใจเอาไว้ พยายามคาดเดาสถานะของจิ๋งจิ่ว ในใจคิดว่าหรือคนผู้นี้จะเป็นผู้อาวุโสของสำนักใหญ่สำนักไหน?
สำนักฌานถนัดเรื่องใช้อิทธิฤทธิ์ แต่เขาไม่คิดว่าจิ๋งจิ่วจะเป็นสมณะของสำนักฌาน เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะจิ๋งจิ่วมีผม ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่คิดว่าจิ๋งจิ่วจะเป็นสมณะของวัดกั่วเฉิงที่มาธุดงค์ยังโลกปุถุชน หน้าตางดงามเช่นนี้จะหลีกหนีจากโลกปุถุชนได้อย่างไร?
จิ๋งจิ่วขยับตัวเล็กน้อยก็ลอยห่างออกไปหลายสิบจ้าง คล้ายว่าพอได้อาวุธวิเศษแล้วก็คิดจะหนีไป
หากเป็นเวลาปกติ เมื่อผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารเผชิญหน้ากับยอดฝีมือของสำนักฝ่ายธรรมะที่มีชื่อเสียงเช่นนี้ ต่อให้สภาวะของอีกฝ่ายจะมิเทียบเท่าตน พวกเขาก็มักจะปล่อยอีกฝ่ายไป แต่ในเวลานี้อาวุธวิเศษของตนเองยังอยู่ในมือของอีกฝ่าย ยิ่งไปกว่านั้นหากสามารถชิงเอาภาชนะแห่งความว่างเปล่ามาได้ อย่าว่าแต่ยอดฝีมือของสำนักฝ่ายธรรมะเลย ต่อให้เป็นผู้อาวุโสของนิกายเสวียนอินเขาก็จะลองฆ่าดู
ลมชั่วร้ายกระโชกขึ้นมา ผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารผู้นั้นแปลงกายเป็นควันสีดำ ส่งเสียงคำรามพุ่งเข้าไปหาจิ๋งจิ่ว
เสื้อผ้าของจิ๋งจิ่วพริ้วไหวแผ่วเบา แตะไปบนผิวของธารลาวาเบาๆ พุ่งตัวออกไป คล้ายอยากจะยืมความร้อนของลาวามาหยุดการไล่ตามของผู้บำเพ็ญพรตวิถีมาร
ผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารแค่นหัวเราะอยู่ในใจ พลางคิดว่าตนเองอาศัยอยู่ข้างธารลาวาใต้ดินมาเป็นเวลาร้อยกว่าปี คิดอยากจะใช้วิธีแบบนี้มาจัดการตนเอง ช่างเหลวไหลยิ่งนัก ความคิดของเขาขยับเล็กน้อย เปิดการทำงานของข่ายพลังที่แอบซ่อนอยู่รอบๆถ้ำ
เสียงตูมดังสนั่น ผนังที่อยู่ด้านบนถ้ำพลันพังถล่มลงมา ทับจิ๋งจิ่วลงไปในลำธารลาวา!
ลำธารลาวาดูเหมือนจะสลัวลงกว่าเดิม แต่ความจริงไม่รู้ว่าอุณหภูมิสูงตั้งเท่าไหร่ ได้ยินเพียงเสียงซู่วดังขึ้นมา ตรงจุดที่จิ๋งจิ่วหายตัวไปมีเปลวไฟลุกขึ้นมา
จะว่าไปแล้วมันก็แปลก จิ๋งจิ่วที่ฝึกวิชากระบี่เซียนแห่งยมโลกสำเร็จแล้ว เหตุใดการเคลื่อนไหวถึงได้เชื่องช้าถึงเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเหตุใดเขาถึงไม่ใช้มือขวาทลายพื้นดินหนีออกไปเหมือนอย่างก่อนหน้านี้
ผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารคนนั้นบินไปยังริมลำธารลาวา มองดูเปลวไฟที่กำลังหายไปอย่างช้าๆ บนใบหน้าไม่มีสีหน้ายินดี แต่กลับดูค่อนข้างกังวล
เขาไม่ได้กังวลว่าหากฆ่าคนผู้นี้ตายแล้วจะทำให้สำนักฝ่ายธรรมะเหล่านั้นตามมาแก้แค้น ที่นี่คือเขาเหลิ่งซาน ลึกลงมาใต้ดิน สิบกว่าลี้ ใครจะไปรู้ว่าเขาเป็นคนฆ่า?
ปัญหาสำคัญก็คือ หากคนผู้นั้นถูกลาวาอันร้อนระอุกลืนกิน ร่างกายและกระดูกของคนผู้นั้นจะต้องไม่เหลืออย่างแน่นอน หากภาชนะแห่งความว่างเปล่าถูกทำลายไปด้วย เช่นนั้นจะทำอย่างไร?
ผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารสะบัดแขนเสื้อ พลังที่มองไม่เห็นสายหนึ่งปรากฏขึ้นมา แหวกลำธารลาวาออกเป็นช่อง เผยให้เห็นสีที่แดงสดและสว่างเจิดจ้าด้านใน
เสียงตู้มดังสนั่น ลาวาที่เป็นสีแดงสดและสว่างเจิดจ้าเหล่านั้นพลันระเบิดออก คล้ายกับอสูรยักษ์ถูกแทงทะลุ จากนั้นเลือดสดๆก็ไหลทะลักออกมา
ลาวาที่ร้อนระอุและอันตรายเป็นอย่างมากจำนวนนับไม่ถ้วนพ่นเข้าใส่ผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารผู้นั้น ดูเหมือนน้ำตกเพลิงที่น่ากลัวสายหนึ่ง
ผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารซ่อนตัวอยู่ข้างลำธารลาวามาเป็นเวลาร้อยกว่าปี เขาย่อมไม่มีทางถูกเผาตายไปง่ายๆแบบนี้ สีหน้าเขาตึงเครียด เรียกอาวุธมารออกมาอีกชิ้นหนึ่ง
ลาวาสีแดงอันร้อนระอุเหล่านั้นถูกกันเอาไว้ตรงหน้าเขา ดูเหมือนกำแพงหยกที่เป็นสีแดงแถบหนึ่ง
กำแพงหยกสีแดงนี้มีลักษณะโปร่งแสง จู่ๆ ด้านในพลันมีร่างสีดำร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมา!
จิ๋งจิ่วทะลวงกำแพงออกมาพร้อมกับลาวาจำนวนนับไม่ถ้วนและแสงสว่างอันเจิดจ้า พุ่งเข้าหาผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารคนนั้น
ในดวงตาของผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารคนนั้นมีความรู้สึกตกใจและความคิดที่จะสังหารปรากฏขึ้นมา เขาตะคอกเสียงดัง สองมือที่มีควันสีดำอันชั่วร้ายและเย็นยะเยือกฟาดเข้าไปที่ศีรษะของจิ๋งจิ่ว
เสียงผัวะดังขึ้นเบาๆ สองครั้ง มือทั้งสองข้างของผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารถูกจิ๋งจิ่วคว้าจับเอาไว้ได้
จิ๋วจิ๋วลงมือก็คือการปล่อยกระบี่
ถึงแม้ตอนนี้สภาวะของเขาจะยังไม่สูงมากพอ แต่บนแผ่นดินเฉาเทียนก็ยากจะหาคนที่สามารถออกกระบี่ได้ไวและแม่นยำกว่าเขาได้
ผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่แผ่ขึ้นมาจากตรงข้อมือได้อย่างชัดเจน!
สิ่งที่จิ๋งจิ่วคว้าจับเอาไว้ก็คือข้อมือของเขา
บนข้อมือของเขามีรอยแผลที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าปรากฏขึ้นมาแผลหนึ่ง เลือดสดๆ ไหลทะลักออกมาไม่หยุด
โดยเฉพาะมือซ้ายที่ถูกมือขวาของจิ๋งจิ่วคว้าจับเอาไว้นั้นสามารถมองเห็นกระดูกสีขาวที่ดูน่ากลัว ดูแล้วคล้ายกำลังจะถูกตัดขาด
ในดวงตาของผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารเต็มไปด้วยสายตาที่ตกตะลึงและไม่เข้าใจ แต่เขาก็ยังไม่คิดว่าตนเองจะตาย
สำหรับเขาแล้ว สภาวะของจิ๋งจิ่วนั้นไม่อาจเทียบตนเองได้เลย ต่อให้มีอาวุธวิเศษที่สามารถหลบหนีจากเพลิงได้แล้วจะมีประโยชน์อะไร?
เขาอดทนต่อความเจ็บปวดอันรุนแรงตรงบริเวณข้อมือ จ้องมองดวงตาของจิ๋งจิ่วพลางตะคอกว่า “ไป…”
เมื่อสิ้นเสียงตะคอกนี้ ควันสีดำที่ชั่วร้ายและเย็นยะเยือกจำนวนมากก็พุ่งออกมาจากในมือของเขา ดูแล้วเหมือนกำลังจะกลืนกินจิ๋งจิ่ว
ทันใดนั้นเสียงของเขาพลันหยุดไป!
ควันสีดำหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เสียงฉึกดังขึ้นเบาๆ
ลำคอของผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารผู้นั้นพลันมีปลายกระบี่โผล่ออกมา
แม้นกระบี่เล่มนั้นจะชโลมไปด้วยโลหิต แต่มันยังคงให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกและว่างเปล่าอยู่
จิ๋งจิ่วมองดูผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารผู้นั้นอย่างเงียบๆ บนใบหน้าไม่มีสีหน้าใดๆ
สีหน้าของผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารเองก็ไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อมาถึงตอนนี้ เขาก็ยังคิดว่าตัวเองไม่มีทางแพ้
มีโอกาสลงมือที่ยากจะหาได้ กลับใช้กระบี่แทงลำคอ หรือคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะสามารถสังหารยอดฝีมือที่แท้จริงได้? เจ้าคิดว่านี่จะเหมือนกันทะเลาะกันของคนธรรมดาอย่างนั้นหรือ?
ดูเหมือนคนผู้นี้น่าจะเป็นผู้อาวุโสที่เก็บตัวบำเพ็ญเพียรมาเป็นเวลานานหลายปีของสำนักใหญ่สักแห่ง ไม่ค่อยได้ออกมาท่องเที่ยวไปบนโลก เมื่อสบโอกาสได้ออกมา ก็ได้พกเอาภาชนะแห่งความว่างเปล่าอันล้ำค่าและอาวุธวิเศษจำพวกไข่มุกที่ใช้หลบเพลิงอะไรพวกนั้นมาด้วย สภาวะและการเคลื่อนไหวล้วนแต่ไม่ธรรมดา แต่กลับไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้เลย อย่างนั้นก็สมควรจะตายไปซะ
ผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารคิดถึงเรื่องเหล่านี้ ก่อนจะอ้าปากคายจิตมารทารกออกมา
อีกฝ่ายอยู่ตรงหน้าเขา
จิตมารทารกสามารถเข้าไปในร่างกายของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย จากนั้นก็กลืนกินจิตทารกหรือไม่ก็ผีกระบี่ของอีกฝ่าย
แต่หลังจากนั้นเขาก็พบว่าเรื่องนี้มีบางอย่างแปลกๆ
จิตมารทารกไม่สามารถลอยออกมาอยู่ในปาก
หรือเรียกได้ว่าจิตมารทารกไม่ยอมฟังคำสั่งของเขาแล้ว
จากนั้นเขาพบว่า ตนเองได้สูญเสียความรู้สึกทั้งหมดในร่างกายไปแล้ว
……
……
หากเพียงแค่ถูกกระบี่แทงทะลุลำคอ สำหรับผู้บำเพ็ญพรตแล้ว นั่นมิใช่อาการบาดเจ็บที่ถึงแก่ชีวิต
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่ากระบี่เล่มนี้มีขนาดที่กว้างเป็นอย่างมาก กว้างถึงขนาดที่ว่าสามารถนั่งอยู่ข้างบนได้อย่างสบายๆ
กระบี่เล่มนี้อาจจะกว้างถึงขนาดที่ว่าสามารถนั่งได้สองคน หากทั้งสองคนนั้นรู้สึกเบื่อก็สามารถเล่นหมากล้อมอยู่บนนั้นได้…
กระบี่คมจักรวาลคือกระบี่เช่นนี้
แม้นจะบอกว่ากระบี่เล่มนี้ถูกฉีหลินโจมตีใส่ในวัดกั่วเฉิงจนคราบสนิมหลุดลอกออกไปเป็นจำนวนมาก ขนาดเองก็ไม่ได้ดูใหญ่โตเหมือนอย่างในตอนแรกสุด แต่มันก็ยังกว้างอย่างมากอยู่
อย่างน้อยก็กว้างกว่าลำคอของคนๆหนึ่ง
ดังนั้นในตอนที่พวกเราบอกว่ากระบี่คมจักรวาลแทงทะลุคอของคนผู้หนึ่ง มันมักจะหมายถึงว่ากระบี่ได้ตัดศีรษะของคนผู้นั้นลงมาแล้ว
ในเวลานี้กระบี่คมจักรวาลได้ปักอยู่ตรงลำคอของผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารผู้นั้น ผิวกระบี่ได้คั่นกลางระหว่างศีรษะและลำตัว ดูไม่คล้ายกระบี่บิน หากแต่คล้ายแผ่นเหล็กขนาดใหญ่ที่เอาไว้ใช้ตัดร่างคนในการแสดงปาหี่ในโลกมนุษย์มากกว่า
ศีรษะของผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารผู้นั้นร่วงตกลงมาที่พื้น บนใบหน้ายังคงมีสีหน้าตกใจและสับสนอยู่ ร่างกายเองก็ร่วงตามลงมา
บนพื้นคือลาวาที่ไหลทะลักขึ้นมาบนฝั่ง แผ่กระจายไอความร้อนที่ทำให้คนหายใจไม่ออก
ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญพรตที่ร้ายกาจแค่ไหน ขอเพียงไม่ใช่ยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์ ก็ยากที่จะมีชีวิตอยู่ในลาวาได้ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความพิเศษเหมือนอย่างจิ๋งจิ่ว
แต่เขาก็มิได้รามือเพียงเท่านี้ เพราะทุกคนต่างรู้ว่าผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารผู้นี้ใช้ชีวิตอยู่ริมธารลาวามาเป็นเวลาหลายปี บางทีเขาอาจจะมีวิธีอะไรที่ใช้รับมือกับลาวาอยู่ก็เป็นได้
กระบี่คมจักรวาลฟันลงไปอีกครั้ง ขณะเดียวกันมือขวาของเขาก็ชี้ออกไป เจตน์กระบี่บินฉวัดเฉวียนอยู่ภายในถ้ำ
ศีรษะและร่างกายของผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารผู้นั้นยังไม่ทันตกลงพื้นก็ถูกสะบั้นกลายเป็นชิ้นๆ
ไม่ว่าจะเป็นจิตทารกมาร กงล้อมาร หน่อมาร ล้วนแต่กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จากนั้นจิ๋งจิ่วสะบัดแขนเสื้อเบาๆ ส่งพวกมันลงไปในลำธารลาวาที่ไหลเอื่อย
บนผิวธารลาวามีเปลวไฟดวงเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนลุกไหม้ขึ้นมา
………………………………………………