มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 12 ใต้ดินมีดอกบัวกำลังลุกไหม้
เมื่อเห็นภาพนี้ ลู่กั๋วกงและบุตรชายต่างตกใจ
ลู่กั๋วกงถลึงตาใส่ลู่หมิง คิดในใจว่าหรือเจ้าไปเที่ยวหอนางโลมมาอีกแล้ว? เคยบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่าให้ระวังหน่อย ระวังหน่อย!
ลู่หมิงสับสนงุนงง ไม่รู้ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น
ครั้งนี้เขามิอาจเดาความหมายจากสายตาของผู้เป็นบิดาได้ มิเช่นนั้นคงจะน้อยใจเป็นอย่างมาก
ลู่กั๋วกงยิ่งรู้สึกโกรธ กระแอมดังๆ ออกมา ในใจครุ่นคิดว่าหรือข้าที่เป็นพ่อตาต้องพยุงขึ้นมาเอง!
ครั้งนี้ลู่หมิงเข้าใจแล้ว เขารีบพยุงภรรยาขึ้นมา
คุณนายน้อยลู่มีสถานะที่ค่อนข้างพิเศษอยู่ในเรือนกั๋วกง มิใช่เพราะนางเป็นภรรยาของบุตรชายที่เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งกั๋วกง หากแต่เป็นเพราะนางคือบุตรสาวคนเล็กที่อัครมหาเสนาบดีรักใคร่มากที่สุด แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือในงานแต่งงานระหว่างนางกับลู่หมิงครั้งนี้ จู่ๆ ลู่กั๋วกงก็หายตัวไปกลางคัน กลายเป็นเรื่องตลกภายในเมืองเจาเกอ ทุกคนที่อยู่ในเรือนกั๋วกงรวมไปถึงตัวลู่กั๋วกงเองต่างก็รู้สึกผิดต่อนางมาโดยตลอด พวกเขาย่อมต้องเคารพและใจดีต่อนาง
“ชิงหาน นี่เจ้ากำลังทำอะไร?”
ลู่กั๋วกงมองลูกสะใภ้พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มีเรื่องอะไรก็ว่ามา เดี๋ยวพ่อจัดการให้เจ้าเอง”
คุณนายน้อยลู่รู้ว่าพ่อตาของตนเองเข้าใจผิด จึงรีบกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับลู่หมิงค่ะท่านพ่อ เรื่องที่ข้าอยากจะขอร้องนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ลู่กั๋วกงก็ยังไม่รู้สึกสบายใจ เขายิ่งคิ้วขมวดขึ้นพลางกล่าวถามว่า “เรื่องอะไร?”
คุณนายน้อยลู่คิดถึงอีกครอบครัวที่อยู่ไม่ไกล จึงรวบรวมความกล้าขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “ลูกอยากจะขอให้ท่านพ่อช่วยไปพูดกับทางตระกูลจิ๋งหน่อยค่ะ…”
ลู่หมิงกล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ก็ไหนบอกว่าจะไม่คุยเรื่องงานแต่งนั่นแล้วมิใช่หรือ?”
คุณนายน้อยลู่ก้มหน้าพลางกล่าว “หลานสาวของข้าคนนั้นถูกตามใจเสียยิ่งกว่าข้าเมื่อในอดีตเสียอีก สองปีนี้เอาแต่ร้องไห้โวยวาย เล่นเอาทั้งครอบครัวต่างวุ่นวายจนไม่รู้จะทำอย่างไร ถึงได้อยากจะให้ทางตระกูลจิ๋งพูดเตือนนางหน่อยค่ะ”
ลู่กั๋วกงกล่าว “ตอนนั้นข้าไปสู่ขอแทนตระกูลจิ๋ง แต่ถูกทางครอบครัวเจ้าปฏิเสธกลับมา แล้วตอนนี้ข้ายังจะไปพูดอะไรได้?”
ลู่หมิงแค่นหัวเราะออกมาพลางกล่าวว่า “บ้านเจ้าแค่เห็นว่าตำแหน่งของจิ๋งซางต่ำต้อย แต่กลับไม่เคยคิดเลยว่าพี่หลีนั้นเป็นถึงพระสหายขององค์ชายจิ่งเหยา ยิ่งไปกว่านั้นเบื้องหลังตระกูลเขาก็มิได้มีเพียงเท่านี้ด้วย”
คุณนายน้อยลู่ถอนใจพลางกล่าว “ตอนนี้ในเมืองเจาเกอมีใครไม่รู้บ้างว่าตระกูลจิ๋งนั้นมีอาจารย์เซียนที่ยอดเยี่ยมอยู่ แต่ในอดีตพ่อของข้าเคยเรียนหนังสืออยู่ที่เรือนอี้เหมา….”
ลู่หมิงเลิกคิ้วขึ้นมาพลางกล่าว “ถึงแม้เรือนอี้เหมาจะสนิทกับสำนักจงโจวมากกว่า แต่พวกเขาก็มิได้เป็นศัตรูกับชิงซาน แล้วจะมีปัญหาอะไร?”
“แต่ท่านอย่าลืมสิ พี่ชายของข้าแล้วก็ยังมีญาติเหล่านั้น มีใครบ้างที่ไม่มีความสัมพันธ์กับเขาอวิ๋นเมิ่ง?” คุณนายน้อยลู่ยิ้มเจื่อนๆ พลางกล่าว จากนั้นหมุนตัวไปขอร้องอ้อนวอนลู่กั๋วกง “ท่านพ่อ ท่านช่วยไปพูดกับตระกูลจิ๋งให้หน่อยได้ไหมคะ ว่าให้พี่หลีอย่าได้พบเสี่ยวชีอีก ไม่อย่างนั้นเรื่องนี้มีแต่จะยิ่งแย่ลงไปเรื่อยๆ แน่ค่ะ”
……
……
จิ๋งจิ่วย่อมไม่รู้เรื่องนี้
ความจริงแล้ว เรื่องที่เจวี่ยนเหลียนเหรินเป็นหูเป็นตาให้ราชสำนักเขาก็ไม่รู้เช่นเดียวกัน
ก่อนออกมาจากวัง ที่เขาบอกกับฮ่องเต้ว่าหากมีเรื่องอะไรก็ให้เจวี่ยนเหลียนเหรินมาบอกตนนั้น เป็นเพราะเขาคิดว่าเจวี่ยนเหลียนเหรินกระจัดกระจายอยู่ทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียน ไม่ว่าตนเองอยู่ที่ไหนก็น่าจะหาพบ ส่วนเรื่องที่ว่าฮ่องเต้จะให้เจวี่ยนเหลียนเหรินแจ้งข่าวอย่างไร สำหรับเขาแล้วนี่เป็นเรื่องที่ง่ายมาก เพราะเจวี่ยนเหลียนเหรินเคยส่งข่าวแทนเขามาหลายครั้งแล้ว
หลังออกจากเมืองเจาเกอ เขาไม่ได้ขี่กระบี่ แล้วก็มิได้นั่งรถ เขาเดินเลี่ยงถนนหลวง มุ่งหน้าจากยอดเขาอันสูงชันไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ หลังเดินทางติดต่อกันมาหลายวันก็ยังไม่พบเมืองสักแห่ง นานๆ ทีจะพบบ้านคนสักหลังอยู่ในหุบเขาที่ห่างไกล
หากเป็นผู้บำเพ็ญพรตคนอื่นคงจะฉวยโอกาสนี้ลงไปใช้ชีวิตในโลกมนุษย์เพื่อทำให้รู้แจ้ง แต่ก็เหมือนอย่างที่เขาพูดกับเจ้าล่าเยวี่ย เขาคิดว่าวิธีแบบนี้มันไร้ประโยชน์ อย่างน้อยก็สำหรับตัวเขา เดิมก็มิได้สนใจอยู่แล้ว เหตุใดต้องเสแสร้งแกล้งทำมันขึ้นมา จากนั้นก็พยายามทำมันให้สำเร็จด้วย?
หลังจากนั้นเจ็ดวันเขาก็เดินทางผ่านเมืองจวี้เย่
ถ้าจะบอกว่าเดินผ่านเมืองก็ดูจะมิถูกนัก เพราะความจริงแล้วเขาเดินผ่านหมู่เขาที่อยู่ห่างเมืองจวี้เย่ลงมาทางใต้สี่ร้อยลี้ เพียงแต่อากาศในฤดูใบไม้ผลิเย็นสบายเป็นอย่างมาก อีกทั้งสายตาของเขาก็ดีเป็นอย่างมาก เขาจึงสามารถมองเห็นเมืองจวี้เย่ที่เป็นจุดดำเล็กๆ ได้
เมืองจวี้เย่อยู่ห่างจากเมืองไป๋เฉิงเจ็ดร้อยลี้ เมื่อรวมกับระยะสี่ร้อยลี้นี้แล้ว มันก็จะมากกว่าพันลี้
นี่เป็นกฎที่เขาตั้งให้กับตัวเอง เขาจะไม่เข้าไปใกล้ที่ราบหิมะเกินกว่าระยะพันลี้เด็ดขาด
ในการประลองวิถีพรตของงานชุมนุมเหมยฮุ่ยครั้งนั้น เขาถูกนักพรตไท่ผิงวางกับดักจนต้องติดอยู่ในที่ราบหิมะเป็นเวลาหกปี เขาไม่อยากจะเจอเรื่องราวแบบนั้นอีกแล้ว แล้วก็ยิ่งไม่อยากเผชิญหน้ากับราชินีแคว้นเสวี่ย
หากมุ่งหน้าจากเมืองจวี้เย่ไปทางตะวันตกก็จะเป็นเขาเหลิ่งซาน ทั่วทุกที่บนเขาเหลิ่งซานนั้นเป็นทุ่งกว้างที่รกร้าง เป็นทุ่งหญ้าที่แห้งเหี่ยว เป็นภูเขาที่เงียบเหงาวังเวง มองไม่เห็นร่องรอยผู้คนอยู่อาศัย
สำนักและผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักฝ่ายอธรรมส่วนใหญ่บนแผ่นดินเฉาเทียนล้วนแต่ถูกสำนักฝ่ายธรรมะขับไล่จนต้องมาอยู่ในดินแดนที่รกร้างแห่งนี้ ในทุ่งกว้างที่ดูเหมือนเงียบสงบไม่รู้ว่าแอบซ่อนความชั่วร้ายและความอันตรายเอาไว้มากน้อยเท่าไร หากผู้บำเพ็ญพรตฝ่ายธรรมะมาที่นี่จะเกิดเรื่องได้ง่าย ดังนั้นนอกจากยอดฝีมืออย่างฟางจิ่งเทียนและเยวี่ยเชียนเหมินแล้ว ก็มีน้อยคนนักที่จะมาที่นี่ตัวคนเดียว
จิ๋งจิ่วเดินไปยังริมทะเลสาบแห่งหนึ่งแล้วนั่งลง
สาเหตุที่เขาเหลิ่งซานได้ชื่อว่าเขาเหลิ่งซานย่อมต้องเป็นเพราะที่นี่มีอากาศที่หนาวเย็นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงหลายปีมานี้ที่คลื่นอากาศเย็นจากที่ราบหิมะค่อยๆ รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เวลานี้ยังเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง แต่กลับเย็นยะเยือกจนเหมือนช่วงปลายฤดูหนาวในปีที่ผ่านมาแล้ว บนผิวทะเลสาบมีแผ่นน้ำแข็งบางๆ จับตัวอยู่เป็นจำนวนมาก ท้องฟ้าสีครามถูกตัดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจำนวนนับไม่ถ้วน แล้วก็ตัดใบหน้าที่สมบูรณ์แบบนั้นออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ดูสวยงามด้วยเช่นกัน
จิ๋งจิ่วมองดูผิวทะเลสาบ ในใจครุ่นคิดว่าสิ่งที่แข็งที่สุดในโลกคืออะไร? ก็ตนเองมิใช่หรือ
ตอนนี้สภาวะของเขายังไม่ถือว่าสูงนัก ยังพอจะหาของบางอย่างมาใช้ลับกระบี่ได้ ไม่อย่างนั้นหากสภาวะของตนเองสูงขึ้นกว่านี้ กระบี่แข็งแกร่งตามคน เมื่อถึงตอนนั้นต่อให้เป็นหินฝนหมึกหางมังกรของเรือนอี้เหมาก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องรักษาแขนขวาของตัวเองให้หายนี้ในตอนนี้ แต่ปัญหาก็คือกระดูกปีศาจได้ถูกลับจนกลายเป็นผงไปหมดแล้ว แล้วตนเองจะไปหากระดูกปีศาจที่อยู่ในระดับเดียวกันมาจากไหน?
หรือว่าเขาจะต้องไปเมืองชุ่ยผิงที่อยู่ในอำเภอหรูโจว แล้วขุดหลุมศพของปีศาจภูเขาตัวนั้นขึ้นมาดูจริงๆ? แต่ปีศาจภูเขาตัวนั้นได้ถูกฟ้าผ่าจนตายไปแล้ว เกรงว่ากระดูกคงจะสลายกลายเป็นควันไปในวันนั้นแล้ว แต่แน่นอนว่าต่อให้กระดูกยังอยู่ เขาก็ไม่สะดวกที่จะขุดมันขึ้นมา ไม่อย่างนั้นพระน้อยนั่นจะต้องไม่พอใจอย่างมากแน่
หรือว่าจะไปเรือนอี้เหมา ให้หลิ่วสือซุ่ยไปยืมหินฝนหมึกหางมังกรมาใช้? หากปู้ชิวเซียวไม่เห็นด้วย อย่างนั้นก็แย่ง? หากหลิ่วฉือไม่สะดวกจะช่วย อย่างนั้นก็ขโมย?
เขาครุ่นคิดถึงเรื่องที่ไม่มีประโยชน์และน่าเบื่อเหล่านี้ จากนั้นกัดลมทะเลสาบที่เย็นยะเยือกไปคำหนึ่ง ก่อนจะหลับตาลงแล้วเริ่มทำสมาธิ
แสงอาทิตย์ค่อยๆ จางลง เวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่าน ทิวทัศน์ทะเลสาบค่อยๆ มืดขึ้น กระทั่งช่วงเวลาค่ำคืนมาเยือน
ลมหายใจของเขาค่อยๆ หายไป พลังเองก็หายไปด้วย แต่กลับไม่ได้ตาย เพียงแค่กลายเป็นก้อนหินก้อนหนึ่งที่อยู่ริมทะเลสาบเท่านั้น
รุ่งเช้าวันที่สอง แสงอาทิตย์ส่องสว่างผิวทะเลสาบพร้อมกับนำความอบอุ่นมาให้ ความชื้นที่อยู่ในสายลมจับตัวเป็นหยดน้ำ
หยดน้ำค้างสามสี่หยดปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่งดงามนั้น ก่อนจะค่อยๆ ไหลลงมา จนกระทั่งไหลเข้าไปในริมฝีปากของเขา
จิ๋งจิ่วลืมตาขึ้น ตื่นขึ้นมาเหมือนดอกบัวที่เบ่งบาน
เขามองดูทะเลสาบแห่งนั้น หลังผ่านความหนาวเย็นมาหนึ่งคืน แผ่นน้ำแข็งบนผิวทะเลสาบก็จับตัวเข้าด้วยกันทั้งหมด กลายเป็นกระจกที่สว่างเจิดจ้า สะท้อนแสงอาทิตย์ยามเช้าเป็นประกายระยิบระยิบ
ด้านล่างชั้นน้ำแข็งมีเสียงครืนๆ ทึบๆ ดังขึ้นมา นั่นมิใช่ว่าในทะเลสาบมีปีศาจกำลังส่งเสียงคำราม แล้วก็มิใช่แผ่นดินไหว หากแต่เป็นเสียงของชั้นน้ำแข็งเอง
ก็เหมือนอย่างที่เขามาเขาเหลิ่งซานก็เป็นความคิดของตัวเขาเอง
เขามีแผนอยู่ในใจตั้งนานแล้ว เพียงแต่ยังตัดสินใจไม่ได้ จึงมานั่งอยู่ริมทะเลสาบเป็นเวลาหนึ่งคืน
ช่วงเวลาหนึ่งคืนผ่านไป ทะเลสาบจับตัวเป็นน้ำแข็ง
เขาลุกขึ้นเดินไปบนผิวน้ำแข็ง เจตน์กระบี่อันรุนแรงจำนวนมากกระจายออกมาจากในชุดสีขาวที่พลิ้วไหวตามลม
เขาหายไปจากผิวน้ำแข็งอย่างเงียบๆ ลงไปในทะเลสาบ เหลือเพียงรูกลมๆ รูหนึ่ง
ภายในรูสีดำ ผิวน้ำกระเพื่อมแผ่วเบา ส่งเสียงไพเราะ
ดูแล้วในคืนนี้ รูนี้คงจะถูกน้ำแข็งปิดลงอีกครั้ง ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยมาที่นี่
……
……
บนพื้นผิวของแผ่นดินเฉาเทียนมีเส้นทางที่เชื่อมต่อไปยังดินแดนแห่งหมิงอยู่มากมาย
เส้นทางที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือน้ำวนยักษ์ที่อยู่ในส่วนลึกของทะเลแห่งนั้น อีกเส้นทางหนึ่งก็คือบ่อผ่านฟ้าที่อยู่ริมทะเลตะวันออก
ภายในเขาเหลิ่งซานก็มีเส้นทางอยู่เส้นทางหนึ่ง นั่นก็คือหุบเขาจวี้หุน เพียงแต่เมื่อหลายปีก่อน เส้นทางนี้ได้ถูกยอดคนรุ่นก่อนของสำนักจงโจวปิดผนึกไปแล้ว
มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าทะเลสาบที่จิ๋งจิ่วนั่งมาทั้งคืนนั้นเชื่อมต่อกับเส้นปราณแผ่นดินเส้นหนึ่งที่แยกตัวมาจากหุบเขาจวี้หุน
เขาไม่ค่อยออกมาท่องไปบนโลก ย่อมไม่รู้เรื่องเส้นทางนี้ แต่ในบันทึกของนักพรตไท่ผิงเคยบันทึกเอาไว้ ดังนั้นเขาเลยอยากลองมาเสี่ยงดวงดู — ดินแดนหมิงถนัดในการควบคุมปีศาจ กุ่ยมู่หลิงที่หลิ่วสือซุ่ยพบในแม่น้ำจั๋วคือหลักฐานยืนยัน ถึงแม้เส้นทางของหุบเขาจวี้หุนจะถูกผนึกไปแล้ว แต่หลังการสู้รบครั้งใหญ่ครั้งนั้นน่าจะมีกระดูกของปีศาจยักษ์หลงเหลืออยู่บ้าง
บ่อผ่านฟ้าถูกเรียกว่าหลุมสวรรค์ เส้นทางที่อยู่ใต้หุบเขาจวี้หุนคือรอยแยกแผ่นดิน ซับซ้อนเหมือนไยแมงมุม ยิ่งไปกว่านั้นยังคับแคบยากเดินทางได้
จากใต้ทะเลสาบเข้าไปในรอยแยกแผ่นดิน โลกรอบตัวก็ตกอยู่ในความมืดมิด ต่อให้เป็นเนตรกระบี่ของจิ๋งจิ่วก็สามารถมองเห็นได้แค่ในระยะไม่กี่สิบจ้าง
แต่รอยแยกแผ่นดินวกไปวนมา ส่วนใหญ่แล้วจึงไม่มีโอกาสมองไปได้ไกลขนาดนั้นอยู่แล้ว
ภายในรอยแยกแผ่นดินแอบซ่อนอันตรายเอาไว้มากมาย อย่างเช่นผู้บำเพ็ญพรตวิถีมาร อย่างเช่นปีศาจที่ถนัดในการซ่อนตัว หรือกระทั่งอาจจะมีวิญญาณร้ายของดินแดนหมิงอยู่ด้วย
เดินเข้าไปในรอยแยกแผ่นดินได้ไม่นาน จิ๋งจิ่วก็สัมผัสได้ถึงพลังหลายสาย
พลังที่แอบซ่อนอยู่ในความมืดเหล่านั้น บ้างก็ระมัดระวังตัว บ้างก็ดุร้าย สิ่งเดียวที่พลังเหล่านั้นมีเหมือนกันก็คือความแข็งแกร่ง จิ๋งจิ่วมิได้ใส่ใจ เพราะในโลกที่มืดมิดแบบนี้ ต่อให้เป็นปีศาจที่รับรู้ได้ไวแค่ไหนก็ยากจะพบตัวเขาได้ ที่เมื่อคืนนี้เขาลังเลมิได้เป็นเพราะว่าหวาดกลัว หากแต่เป็นเพราะเหตุผลอื่น
เมื่อเดินตามรอยแยกแผ่นดินมาได้หลายชั่วยาม เขาก็มาถึงถ้ำใต้ดินที่ค่อนข้างกว้างแห่งหนึ่ง
ถ้ำใต้ดินแห่งนี้มีความพิสดารเป็นอย่างมาก ผนังหินที่เปียกชื้นที่อยู่รอบด้านคล้ายมีแรงดึงดูดบางอย่าง เมื่ออยู่ในนั้น แทบจะไม่สามารถแยกแยะข้างบนกับข้างล่างได้ เมื่อสูญเสียการรับรู้ก็จะหลงทางได้ง่าย หากคิดอยากจะเดินกลับขึ้นไปบนพื้นดินก็จะกลายเป็นเรื่องยากลำบาก หรืออาจจะถูกขังเอาไว้ในรอยแยกที่เป็นเหมือนเขาวงกตก็เป็นได้
จิ๋งจิ่วปล่อยจิตจำแนกแห่งกระบี่ออกไป รับรู้ถึงพลังที่อยู่ห่างไกลออกไปในส่วนลึกใต้ดิน รู้ว่าเป็นที่นี่ — กระดูกของปีศาจยักษ์เหล่านั้นอยู่ในใต้ดินที่ลึกลงไปหลายสิบลี้ หากเดินตามรอยแยกแผ่นดินไป ต่อให้ไม่หลงทาง อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหลายสิบวัน
เขาเตรียมปลดกระบี่คมจักรวาลลงมา แต่เมื่อครุ่นคิดเล็กน้อยจึงหยุดมือลง จากนั้นม้วนแขนเสื้อข้างขวาขึ้นมาแล้วมัดเอาไว้ เผยให้เห็นมือขวาที่เปลี่ยนรูปร่างเล็กน้อย
เขาเหยียบอากาศทะยานออกมา ร่างกายอยู่ในสภาพกลับหัว ยื่นมือขวาออกไป
ชุดขาวพลิ้วไหวแผ่วเบา
เสียงหวึ่งดังขึ้น
ภายในถ้ำใต้ดินมีลมกระโชกขึ้นมา ดึงดูดสายตาของสัตว์และปีศาจจำนวนมากเอาไว้
จิ๋งจิ่วหายตัวไปแล้ว
เขาทะลวงฝ่าก้อนหินที่แข็งแกร่งออกไป บินลงไปยังส่วนลึกของใต้ดิน
เขาเป็นเหมือนกับกระบี่เล่มหนึ่ง มือขวาที่ยื่นไปข้างหน้าก็คือปลายกระบี่
เศษหินถูกฟันจนแตกกระจาย นี่แสดงให้เห็นถึงความเร็วของเขาว่าเร็วแค่ไหน
ที่ค่อนข้างแปลกก็คือ ยิ่งดำลึกลงไปใต้ดิน อากาศกลับมิได้เปลี่ยนเป็นชื้นขึ้น หากแต่ยิ่งแห้งขึ้นกว่าเดิม กระทั่งพื้นหินทรายเหล่านั้นก็ร่วนขึ้น จิ๋งจิ่วยิ่งบินเร็วขึ้นเรื่อยๆ พลังที่แข็งแกร่งบางสายรับรู้ได้ถึงตัวเขา แต่ก็มิทันได้โจมตี ต่อให้โจมตีออกมาได้ทัน แล้วจะโจมตีถูกตัวเขาที่อยู่ในหินได้อย่างไร
ไม่รู้ว่าบินไปนานเท่าไหร่ แขนขวาของเขาไม่รู้ว่าไปชนถูกอะไร ส่งเสียงตู้มดังสนั่น
จิ๋งจิ่วรู้สึกแปลกใจ ถึงขนาดหยุดมือขวาของเขาเอาไว้ได้ ของสิ่งนั้นต้องแข็งแกร่งถึงขนาดไหนกัน หรือว่าจะเป็นกระดูกปีศาจที่ตนเองตามหา
เขาใช้จิตจำแนกรับรู้ถึงโครงสร้างพื้นที่ที่อยู่ด้านนอกหิน ร่างกายขยับเล็กน้อย ก่อนจะมุดออกไป
ที่นี่อยู่ลึกลงไปในใต้ดินเป็นระยะทางสิบกว่าลี้ อากาศร้อนอบอ้าวเป็นอย่างมาก ลาวาที่มืดสลัวไหลเอื่อยๆ ห่างออกไปสิบกว่าจ้าง มือขวาของจิ๋งจิ่วเสียดสีกับหินที่แข็งแกร่งด้วยความเร็วสูงเป็นระยะเวลานานขนาดนี้ ทำให้มันร้อนระอุเป็นอย่างมาก ในเวลานี้เมื่อเจอกับอากาศ มันจึงเปล่งแสงสว่างออกมาในทันที เจิดจ้ายิ่งกว่าลาวาเหล่านั้นเสียอีก
ในใต้ดินที่มืดสลัว เขาดูสะดุดตาเหมือนหิ่งห้อยที่อยู่ในค่ำคืนอันมืดมิด
เขาเดินไปถึงตรงหน้าสิ่งที่ตนเองบินไปชนเข้า
นั่นคืออาวุธวิเศษที่ระดับชั้นค่อนข้างสูง พลังชั่วร้ายรุนแรง แล้วก็ยังมีกลิ่นคาวเลือดที่ทำให้ใจแห่งเต๋าไม่สงบ ไม่รู้ว่าต้องสังหารผู้บริสุทธิ์ไปมากน้อยเท่าไหร่ถึงจะหลอมมันขึ้นมาได้
จิ๋งจิ่วเลิกคิ้วเล็กน้อย เก็บเอาอาวุธวิเศษของพรรคมารชิ้นนั้นขึ้นมา
เสียงซู่วดังขึ้น อาวุธวิเศษชิ้นนั้นถูกมือขวาของเขาลวกจนเป็นควันลอยขึ้นมา เสียหายไปไม่น้อย
วัตถุที่แข็งแกร่งมิได้หมายความว่าจะสามารถทนรับอุณหภูมิที่สูงได้ อย่างเช่นเพชร
เห็นได้ชัดว่าอาวุธวิเศษชิ้นนี้จัดอยู่ในประเภทนั้น
ห่างออกไปไม่ไกลมีเสียงคำรามด้วยความตกใจและโกรธเกรี้ยว แล้วก็มีความรู้สึกเย้ยหยันแฝงอยู่ด้วย
“หัวขโมยที่ไหนกัน ถึงขนาดกล้าขโมย… ไม่! กล้าทำลายอาวุธวิเศษของข้า!”
……………………………………………………………….