มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 83 ทำให้พวกเราลืมท้องทะเลแห่งนั้น (1)
เทพกระบี่ซีไห่ยืดตัวตรงขึ้นมาในน้ำทะเล มองไปยังกั้วตงที่ถอยไปทางด้านหลังไม่หยุดในน้ำทะเล สายตาดูเฉยเมย
การเคลื่อนไหวนี้ทำให้เลือดสดๆ ไหลออกมาจากร่างกายของเขา ย้อมน้ำทะเลที่อยู่รอบด้านจนเป็นสีแดง
ตัวเขาในเวลานี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ความแข็งแกร่งไม่เท่าเวลาปกติ
ในอดีตเผยไป๋ฟ่าเคยพ่ายให้แก่เขา แต่เก็บตัวบำเพ็ญเพียรอยู่ที่เขาว่านโซ่วมาเป็นเวลาหลายปี สภาวะมีความรุดหน้า
ถึงแม้วันนี้จะพ่ายให้เขาอีกครั้ง แต่ก็ทำให้เขาบาดเจ็บได้ไม่น้อย
แต่เขารู้ดีว่า เผยไป๋ฟ่ามิใช่มีดสังหารเล่มสุดท้ายในแผนการลอบสังหารในวันนี้
ถ้าจะฆ่าเขา เผยไป๋ฟ่าทำไม่ได้
นี่คือการวิเคราะห์ที่เขามีต่อตนเอง เขาเชื่อว่าคนที่วางแผนลอบสังหารเขาเหล่านั้นก็ต้องคิดเช่นนี้เหมือนกัน
ในการวิเคราะห์นี้มีความเชื่อมั่นในตนเองอย่างที่ยากจะจินตนาการได้
เขาไม่ได้สะกดอาการบาดเจ็บเอาไว้ ปล่อยร่างกายร่วงตกลงไปในทะเล แสร้งทำเป็นสลบไสลไม่ได้สติ ก็เพื่อจะรอให้การสังหารที่แท้จริงปรากฏออกมา
แม้แต่ในตอนที่ถงหลูเตรียมจะลงมือ เขาก็ยังไม่ลืมตา
เขาคิดไม่ถึงว่าถงหลูจะลังเล แล้วคนที่เป็นคนลงมือจริงๆ กลับเป็นหญิงสาวที่ดูธรรมดาแบบนี้
เจตน์กระบี่ที่รุนแรงและดุดันพุ่งออกมาจากร่างกายของเทพกระบี่ซีไห่พร้อมกับโลหิตเหล่านั้น สะบั้นออกไปยังเบื้องหน้า
กั้วตงถอยไปยังส่วนลึกของทะเล ร่างกายค่อยๆ หายไปในความมืด
ผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนหนึ่งปรากฏขึ้นมาในมือของนาง
เสียงฉึบเสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆ
บนผ้าเช็ดหน้ามีรอยฉีก แยกขาดออกจากกัน เผยให้เห็นรอยขาดที่มีเส้นไหมพริ้วไหว ดูสวยงาม
ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ทอขึ้นมาจากไหมฟ้าอันล้ำค่า
เจตน์กระบี่มาถึงอีกครั้ง
ในมือกั้วตงมีผ้าเช็ดหน้าปรากฏขึ้นมาอีกผืน
บนผ้าเช็ดหน้ามีรอยฉีกปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นแยกออกจากกัน
ฉึบๆๆๆๆ
ในน้ำทะเลมีเสียงดังขึ้นมาต่อเนื่อง
ผ้าเช็ดหน้าหลายสิบผืนฉีกขาด โบยบินคล้ายผีเสื้อ
ไม่มีอะไรที่จะป้องกันเจตน์กระบี่สายนั้นได้
เสื้อผ้าของกั้วตงฉีกขาดเล็กน้อย
แสงสว่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นมา จากนั้นแตกกระจายเป็นจุดแสงเล็กๆ
อาวุธวิเศษที่ใช้ปกป้องร่างกายก็แตกสลายไปแล้ว
กั้วตงเงยหน้าเล็กน้อย หยดเลือดไหลออกมาจากมุมปากของนาง ลอยค้างนิ่งๆ ในน้ำทะเล
ร่างกายของนางเองก็ลอยนิ่งอยู่ในน้ำทะเล ไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ
สายตาของนางยังคงเรียบเฉย มิได้มีความหวาดกลัวต่อความตายปรากฏขึ้นมาให้เห็น
……
……
เทพกระบี่ซีไห่มองดูหญิงสาวที่อยู่ในน้ำทะเล ในใจรู้สึกค่อนข้างแปลก
ถ้าว่ากันจากอายุของนางแล้ว สภาวะของนางถือว่าค่อนข้างสูงส่ง แต่สำหรับเขาแล้ว สภาวะเช่นนี้ไม่มีค่าให้พูดถึง
แต่เขารับรู้ได้อย่างชัดเจน ถ้าเมื่อครู่เขาสลบไปจริงๆ ฝ่ามือของหญิงสาวผู้นั้นจะต้องสังหารเขาได้อย่างแน่นอน
นี่ไม่เกี่ยวข้องกับสภาวะ หากแต่เกี่ยวข้องกับสายตาและประสบการณ์
ไม่ว่าจะเป็นพลังหรือว่าอย่างอื่น ก็ล้วนแต่แสดงให้เห็นว่านางอายุยังน้อย แต่เขาไม่เคยเห็นการลงมือที่ช่ำชอง หรือเรียกได้ว่าเย็นชาขนาดนี้มาก่อน
เขาดึงสายตากลับมาจากผ้าเช็ดหน้าที่ปลิวกระจายอยู่ในน้ำ จากนั้นแผ่จิตจำแนกสายหนึ่งออกไป
“เจ้าเป็นใครในสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย?”
กั้วตงไม่ได้ตอบคำถามนี้
ในแผนการที่ถงเหยียนวางเอาไว้ไม่มีนางอยู่
แต่นางเข้าใจความหมายของถงเหยียน
สภาวะของนางยังไม่ฟื้นฟูกลับมา แต่นางยังคงมาที่ซีไห่
เผยไป๋ฟ่ามิใช่มือสังหาร ถงหลูมิใช่ ซูจึเย่เองก็ไม่ใช่ หากแต่เป็นนาง
แต่ที่น่าเสียดายก็คือสุดท้ายนางก็ไม่สามารถสังหารเจี้ยนซีไหลได้
การลงมือตอนนี้มันค่อนข้างฝืนไปหน่อยจริงๆ
นางครุ่นคิดในใจ
เทพกระบี่ซีไห่ไม่ได้โกรธเกรี้ยวเพราะความเงียบของนาง
เขาหมุนตัวมองไปทางเรือสีเขียวที่กำลังบินหนีไปลำนั้น
ทั่วทั้งทะเลตะวันตกต่างรับรู้ได้ถึงความคิดอันยิ่งใหญ่ของเขา
“นี่คือแผนการของพวกเจ้า ข้าเข้ามาอยู่ในแผนการ แต่สุดท้ายพวกเจ้าก็ยังพ่ายแพ้”
……
……
เรือบินสีเขียวเป็นของวิเศษของสำนักเสวียนอิน บินได้รวดเร็วเป็นอย่างมาก เวลานี้ออกห่างจากหมู่เกาะซีไห่ไปไกลสองร้อยกว่าลี้แล้ว
แต่ไม่มีสิ่งใดจะเร็วไปกว่าความคิด
ฟ้าดินอันเงียบสงบมีเสียงฟ้าร้องขึ้นมา
นั่นคือคำพูดของเทพกระบี่ซีไห่
ซูจึเย่ก้มหน้า พลันกล่าวขึ้นมาว่า “ไม่ต้องแสร้งแล้ว ทางนั้นล้มเหลวแล้ว”
เผยไป๋ฟ่าค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา กล่าวว่า “ต่อให้ข้าลืมตา ข้าก็ยังตาบอดอยู่ดี”
ในม่านตาสีเทาหม่นสะท้อนภาพท้องฟ้าสีเทาหม่น ไม่มีสีสันใดๆ
คำพูดประโยคนี้คล้ายมีความหมายลึกซึ้ง แต่ก็คล้ายไม่มีความหมายอะไร
ซูจึเย่มองดูเขา สีหน้าค่อนข้างแปลกประหลาด กล่าวว่า “เขาแข็งแกร่งเกินไป ฆ่าไม่ตาย”
เผยไป๋ฟ่ากล่าวว่า “ใช่ ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว”
ซูจึเย่กล่าวว่า “ท่านก็ยังจะฆ่าเขา”
เผยไป๋ฟ่ากล่าวว่า “ยังไงก็ต้องมีคนฆ่าเขา”
ซูจึเย่จ้องมองดวงตาเขาพลางกล่าวว่า “แต่ท่านใกล้จะตายแล้ว”
“ก็เพราะว่าข้าใกล้จะตายแล้ว”
เผยไป๋ฟ่าชะงักไปเล็กน้อย กล่าวว่า “ยิ่งไปกว่านั้นข้าใกล้จะตายแล้วจริงๆ”
ซูจึเย่นิ่งเงียบไปครู่ จู่ๆ พลันลงมือปานสายฟ้าฟาด
เสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆ
มือขวาของเขาแทงลึกลงไปในหน้าอกของเผยไป๋ฟ่า
แทบจะในเวลาเดียวกัน ฝ่ามือของเผยไป๋ฟ่าก็ฟาดลงมา
แม้จะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เขาก็ยังเป็นยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์
ฝ่ามือนี้เหมือนหมู่เมฆาหวนกลับคืนภูเขา คล่องแคล่วรวดเร็ว ไม่สามารถหลบได้
เสียงผัวะเบาๆ ดังขึ้น ฝ่ามือของเผยไป๋ฟ่าฟาดไปที่กลางศีรษะของซูจึเย่
บนแขนของซูจึเย่มีเกล็ดจางๆ ปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง โลหิตไหลออกมาจากเกล็ด
บนหลังมือของเผยไป๋ฟ่าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น มีไอสีขาวลอยออกมา
ใบหน้าของซูจึเย่ซีดขาว ร่างกายสั่นเทา ดูเจ็บปวดอย่างมาก เหงื่อไหลเป็นสายน้ำ
เผยไป๋ฟ่าสีหน้าเฉยชา เขาหันมองไปยังที่อื่น
“อย่า!”
บนผิวน้ำทะเลพลันมีเสียงตะโกนที่ดูตกตะลึงและตกใจเป็นอย่างมาก
สายไปเสียแล้ว
ซูจึเย่ดึงมือออกมาจากในหน้าอกของเผยไป๋ฟ่า ในมือมีหัวใจที่แหลกละเอียดอยู่ดวงหนึ่ง
มือของเผยไป๋ฟ่าไหลร่วงลงมาอย่างอ่อนแรง คล้ายกำลังลูบไล้ใบหน้าของซูจึเย่อย่างแผ่วเบา
บนใบหน้าของซูจึเย่ยิ่งขาวซีดกว่าตอนแรก เหมือนดั่งหิมะ
เผยไป๋ฟ่ากล่าวเสียงอ่อนแรง “ข้าไปก่อนละ”
ซูจึเย่กล่าวเสียงเบาๆ “ลาก่อน”
ดวงตาเผยไป๋ฟ่าปิดลง ไม่มีลมหายใจ
บนผิวทะเลมีเสียงตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยวดังขึ้นมา
“ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ลมรุนแรงพลันโหมกระหน่ำ อาวุธวิเศษที่เบาบางเหมือนหมอกสายหนึ่งตกลงมาพร้อมกับไอน้ำ ปกคลุมเรือสีเขียวเอาไว้
ผ้าธารชำระของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย
เหอจานตัวเปียกโชกไปด้วยน้ำ พุ่งเข้าไปราวกับคนบ้า
……
……
การจากไปของยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์มักจะทำให้เกิดการตอบสนองบางอย่างจากฟ้าดิน
บนท้องฟ้าสีครามพลันมีเมฆก้อนหนึ่งปรากฏขึ้นมา
ในโลกอันกว้างใหญ่ เมฆก้อนนี้บดบังดวงอาทิตย์เอาไว้พอดี ไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย
ทั่วทั้งทะเลตะวันตกแปรเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม
เทพกระบี่ซีไห่รับรู้ได้ถึงการตายของเผยไป๋ฟ่าเป็นคนแรก
เขานิ่งเงียบไปครู่ จากนั้นสะบัดแขนเสื้อเบาๆ
ใต้ทะเลนั้นมองไม่เห็นการไหลของน้ำทะเล แต่ความจริงแล้วน้ำทะเลที่ซัดสาดขึ้นมาพร้อมกับแขนเสื้อกลับรุนแรงเป็นอย่างมาก
ก็เหมือนกับกระบี่นี้ของเขา สะบั้นออกไปตามใจ ยิ่งไปกว่านั้นยังมองไม่เห็น แต่กลับน่ากลัวเป็นอย่างมาก
กั้วตงไม่สามารถหลบกระบี่นี้ได้ แล้วก็ยิ่งไม่สามารถหนีไปได้
ตายกันหมดแล้ว นางเองก็น่าจะต้องตายแล้ว
เทพกระบี่ซีไห่รู้ว่าหญิงสาวที่ไม่ธรรมดาผู้นี้จะต้องมีเรื่องราวของนางอยู่เป็นแน่ แต่เขาไม่อยากฟัง
การรู้ มันก็คือกรรมอย่างหนึ่ง
……
……
ลำแสงกระบี่ฟันลง
น้ำทะเลแยกออก
มีเพียงความว่างเปล่า