มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 81.1 น้ำขึ้นแล้วก็ลง (1)
……
……
คลื่นทะเลที่ปั่นป่วนทำให้เกิดน้ำกระเซ็นแตกกระจายเป็นฝอยจำนวนนับไม่ถ้วน แปรเปลี่ยนกลายเป็นไอหมอกปกคลุมผิวทะเล สายลมอันรุนแรงโหมกระหน่ำ ทำให้อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว
ตะไคร่น้ำที่อยู่บนหินโสโครกถูกคลื่นกระแทกจนหลุดลอก อสูรทะเลตัวอ้วนหลบลงไปอยู่ในใต้ทะเล
กระบี่เหล็กมุ่งหน้าเข้าไปยังส่วนลึกของทะเลตะวันตก
หมอกหนาขึ้นทุกขณะ ค่อยๆ เชื่อมต่อกับเมฆที่อยู่บนท้องฟ้า แสงอาทิตย์ถูกกันเอาไว้ด้านหลัง ฟ้าดินมืดครึ้ม
กระบี่เหล็กที่ทะยานไปในคลื่นลมอันรุนแรงด้วยความเร็วสูงยากที่จะถูกพบเห็นได้
จิ๋งจิ่วมองดูส่วนลึกของทะเลตะวันตก กล่าวกับกู้ชิงว่า “หากเกิดอะไรขึ้นให้โยนแมวออกไป”
แมวขาวมองดูจิ๋งจิ่ว ส่งเสียงร้องเหมียวออกมา
มันไม่ได้กำลังแสดงความไม่พอใจ หากแต่กำลังเตือนจิ๋งจิ่ว
ต่อให้มีไอน้ำและคลื่นทะเลคอยบดบัง แต่ถ้าหากเดินหน้าไปอย่างนี้ สุดท้ายก็จะต้องถูกอีกฝ่ายพบเห็นอย่างแน่นอน
เรื่องเล่นซ่อนแอบ แมวย่อมต้องถนัดที่สุด
จิ๋งจิ่วรู้ว่ามันพูดมีเหตุผล จึงบอกให้กู้ชิงนั่งดีๆ
กระบี่เหล็กพุ่งลงไปข้างล่างอย่างฉับพลัน มุดลงไปในน้ำทะเลที่มีคลื่นปั่นป่วน
ในทะเลล้วนแต่เป็นน้ำ แรงต้านมหาศาล
จิ๋งจิ่วนั่งอยู่หน้ากระบี่เหล็ก ยกนิ้วมือขวาชี้ไปข้างหน้า เจตน์กระบี่อันอ่อนโยนและชัดเจนสายหนึ่งพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว
น้ำทะเลที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงเป็นเหมือนกำแพงอันแข็งแกร่ง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อเจอกับเจตน์กระบี่สายนั้นพลันแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนนุ่มขึ้นมา เสียงระเบิดที่คล้ายเสียงฟ้าคำรามจำนวนนับไม่ถ้วนดังขึ้น น้ำทะเลเปิดออกเป็นทางเส้นหนึ่ง
ในอดีตตอนที่เข้าไปในที่ราบหิมะอันเงียบสงัดวังเวงแห่งนั้น จิ๋งจิ่วเองก็ทำท่าแบบนี้
เพียงแต่วิชาที่เขาใช้ตอนนั้นคือเพลงกระบี่สุริยันของยอดเขาซื่อเยวี่ย แต่วันนี้เขาใช้อีกวิชาหนึ่ง
เมื่อเห็นภาพนี้ กู้ชิงตกใจเป็นอย่างมาก
กระทั่งกระบี่แบกสวรรค์ของยอดเขาเทียนกวงอาจารย์ก็ยังใช้ได้ อีกทั้งยังถ่ายทอดให้แก่ตนเองด้วย ดังนั้นเขาย่อมต้องยอมรับเรื่องที่อาจารย์ใช้เพลงกระบี่น้ำขึ้นของยอดเขาปี้หูได้เช่นกัน เพียงแต่อาจารย์ใช้เพลงกระบี่น้ำขึ้นได้ดีเกินไปหน่อยหรือเปล่า เกรงว่ากระทั่งเจ้าแห่งยอดเขาปี้หูในตอนนี้ก็ยังไม่อาจเทียบอาจารย์ได้ด้วยซ้ำ….
มีน้ำขึ้นย่อมต้องมีน้ำลง เสียงครืนๆ ดังสนั่น น้ำทะเลแยกตัวออกเหมือนกระแสน้ำ เกิดเป็นกำแพงน้ำที่โปร่งใสอยู่รอบด้านกระบี่เหล็ก
ปลาและสาหร่ายทะเลชนิดต่างๆถอยไปด้านหลังด้วยความเร็วสูง กลายเป็นเส้นที่มีสีสันต่างๆจำนวนนับไม่ถ้วน บางครั้งสามารถมองเห็นดวงตาขนาดใหญ่และงุนงงของอสูรทะเลที่อยู่ห่างออกไปได้
กระบี่เหล็กสีดำบรรทุกสองคนหนึ่งแมวทะยานไปข้างหน้าในใต้ทะเลด้วยความเร็วสูง ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ความเร็วกระบี่เหล็กค่อยๆ ช้าลง เสียงดังกัมปนาทราวสายฟ้าก็เงียบสงบลง
ภายในน้ำทะเลที่อยู่ห่างออกไปมีเสาหินสีดำขนาดใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา มองดูคล้ายปลาวาฬที่ตั้งตรง
เสาหินสีดำเหล่านั้นความจริงแล้วคือส่วนที่จมอยู่ในน้ำทะเลของเกาะที่อยู่ด้านบน
ที่นี่ไม่ใช่เกาะเทพเผิงไหล หากแต่เป็นหมู่เกาะซีไห่
จนกระทั่งถึงตอนนี้ หมู่เกาะที่อยู่ในส่วนลึกของทะเลตะวันตกแห่งนี้ยังคงถือเป็นของมนุษย์เงือกอยู่ เพียงแต่เมื่อหลายปีก่อนได้ถูกเทพกระบี่ซีไห่แย่งเอาไปเป็นที่ตั้งสำนัก
กระบี่เหล็กหยุดอยู่ด้านนอกหมู่เกาะซีไห่ ไม่มีเสียงใดๆ จมลงไปด้านล่างเหมือนท่อนซุง กระทั่งมาถึงจุดที่ลึกที่สุดในใต้ทะเลจึงหยุดลง
ที่นี่ดำมืด มองไม่เห็นสิ่งใดๆ
จิ๋งจิ่วมองขึ้นไปด้านบน ในม่านตามีเพลิงกระบี่ลุกโชนขึ้นมา จากนั้นมองเห็นท้องฟ้าสีคราม
สภาวะของกู้ชิงในตอนนี้ก็ค่อนข้างสูงส่งเช่นกัน เขาใช้เพลิงกระบี่ชะล้างดวงตาเหมือนผู้เป็นอาจารย์ ในที่สุดสายตาก็มองทะลุความดำมืดที่อยู่เบื้องหน้าจนเห็นผิวน้ำทะเลที่อยู่ห่างไกลออกไป
จากใต้ทะเลอันดำมืดมองขึ้นไป ผิวน้ำทะเลที่อยู่ห่างไกลเป็นเหมือนอัญมณีสีน้ำเงิน สวยงามเป็นอย่างมาก
แต่แน่นอน อัญมณีสีน้ำเงินก้อนนั้นก็อาจจะเป็นท้องฟ้าเช่นกัน
ผิวของอัญมณีสีน้ำเงินมีรอยแตกจำนวนนับไม่ถ้วน
นั่นคือกระแสอากาศสีขาวจำนวนหลายร้อยสายที่อยู่บนท้องฟ้า แล้วก็เป็นเส้นที่อยู่ในน้ำทะเล
เส้นเหล่านั้นก่อตัวขึ้นมาจากฟองอากาศ เชื่อมต่อกันจนมีความยาวหลายลี้ กำลังจะสลายหายไปอย่างช้าๆ
กู้ชิงแหงนหน้ามองดูภาพที่มหัศจรรย์และสวยงามนี้ ตกตะลึงจนไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ กระทั่งลืมไปว่าตนเองอยู่ใต้ทะเล
นี่คือร่องรอยที่ยอดฝีมือทางวิถีกระบี่สองคนทิ้งเอาไว้ในฟ้าดินอย่างนั้นหรือ?
หลังจากนั้นก็มีลำแสงกระบี่ตกจากบนท้องฟ้าลงมาข้างล่าง ไม่มีเสียงใดๆ
ผิวทะเลมีรอยแตกที่ลึกอย่างมากจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา รอยแตกที่ลึกที่สุดมีความยาวหลายร้อยจ้าง อยู่ห่างจากตำแหน่งของกระบี่เหล็กไม่ไกล
น้ำทะเลที่อ่อนนุ่มถึงเพียงนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าลำแสงกระบี่เหล่านี้ก็คล้ายจะเปลี่ยนสภาพไปจากเดิม ราวกับว่ามีความเหนียวหนืดขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวของลำแสงกระบี่ที่กระเด็นออกมาด้านนอกเท่านั้น สามารถจินตนาการได้เลยว่าอานุภาพที่แท้จริงของลำแสงกระบี่เหล่านั้นมันน่ากลัวเพียงใด
ตอนที่อยู่ในวังภายในเมืองเจาเกอ กู้ชิงเคยเห็นการต่อสู้กันของจักรพรรดิแห่งหมิงและมังกรชางหลง
แต่การต่อสู้นั้นเป็นการต่อสู้ของดวงจิต แม้นจะดูมหัศจรรย์ลึกลับ แต่กลับไม่อาจเทียบอานุภาพของกระบี่บินสองเล่มที่อยู่บนท้องฟ้าในเวลานี้ได้
ลำแสงกระบี่สะบั้นก้อนเมฆ คลื่นทะเลซัดสาด ดวงอาทิตย์ดวงหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปลอยขึ้นลงไม่นิ่ง ส่องน้ำทะเลจนดูสว่างขึ้นมาเล็กน้อย
กู้ชิงมองเห็นปลาตายจำนวนนับไม่ถ้วน แล้วก็มองเห็นศพของปลาวาฬตัวเล็กสองสามตัวที่อยู่ห่างออกไปกำลังจมลงไปข้างล่างอย่างช้าๆ
เขาอดมองไปทางจิ๋งจิ่วไม่ได้ สีหน้าดูหวาดวิตก
เขาพอจะคาดเดาได้แล้วว่ายอดฝีมือสองคนนี้น่าจะเป็นเทพกระบี่ซีไห่และเผยไป๋ฟ่าแห่งสำนักอู๋เอินเหมิน
แต่ปัญหาก็คือ อาจารย์พาตนเองมาที่นี่ทำไม?
การต่อสู้กันระหว่างยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์มิใช่ว่าใครก็จะมีโอกาสได้เห็น สำหรับผู้บำเพ็ญพรตแล้ว นี่ถือเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง
แต่ปัญหาก็คือที่นี่อยู่ใต้ทะเล อยู่ห่างจากสถานที่ต่อสู้ของยอดคนแห่งวิถีกระบี่ใกล้ขนาดนี้ ถ้าเกิดลำแสงกระบี่สายหนึ่งตกลงมาใส่พวกตนจะทำอย่างไร?
หากบอกว่าอาจารย์อยากจะช่วยท่านเผย แต่ด้วยความสามารถของพวกเราจะช่วยอย่างไร?
ทันใดนั้นกู้ชิงพลันก้มหน้าลงไปมองดูแมวขาวที่อยู่ในอ้อมอก
ในเวลานี้ ผิวน้ำทะเลพลันเงียบสงบลง
สิ่งที่ดูเหมือนเศษหินจำนวนนับไม่ถ้วนตกจากบนท้องฟ้าลงมาในทะเลคล้ายห่าฝน เกิดเป็นเส้นเล็กๆจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ในน้ำทะเล
จากนั้นก็มีคนตกลงมาในทะเล
คนผู้นั้นไม่ขยับเขยื้อน ผมสีเทาขาวลอยกระเพื่อมขึ้นลงตามกระแสน้ำ คล้ายสาหร่ายอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นค่อยๆ ถูกโลหิตย้อมจนเป็นสีแดง
……
……
ทุกคนต่างเป็นตัวเอกในเรื่องเล่าชีวิตของตน
เพียงแต่เรื่องเล่าบางเรื่องก็เป็นเรื่องตลก บางเรื่องเป็นเรื่องเศร้า บางเรื่องก็มีความเป็นศิลปะ บางเรื่องก็เป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก บางเรื่องก็เลือดลมพลุ่งพล่าน บางเรื่องก็เป็นตำนาน หากมีคนคิดว่าตัวเองเป็นตัวเอกในเรื่องเล่าที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น เช่นนั้นเขาจะต้องมีอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนคนอื่นๆ อย่างแน่นอน อย่างเช่นเกิดมาหน้าตางดงามหล่อเหลา ชาติตระกูลดีเป็นอย่างมาก หรือไม่ก็มีพรสวรรค์เป็นเลิศ หรือไม่ก็มีประสบการณ์ที่ไม่เหมือนคนอื่น
หวังเสี่ยวหมิงคิดว่าตนเองคือตัวเอกก็เนื่องเพราะเหตุผลเหล่านี้
เหอจานเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน
ในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต เขามีชื่อเสียงเรื่องความโชคดี ถึงแม้ตอนนี้เขาจะรู้ถึงความจริงที่แอบซ่อนอยู่เบื้องหลังความโชคดีเหล่านั้นแล้ว แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความคิดของเขา
เมื่อมีป้าเช่นนี้ หากเขาไม่ใช่ตัวเอก แล้วจะเป็นใครได้?
ในเมื่อเป็นตัวเอก ก็ต้องมีส่วนร่วมกับเรื่องเล่า จะไปเป็นผู้ชมไม่ได้ แล้วก็จะออกห่างจากสถานที่ที่เกิดเรื่องราวเพื่อไปทำเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวไม่ได้
เขาไม่เชื่อฟังความต้องการของกั้วตง ไม่ได้เดินทางจากสำนักฌานเป่าทงไปยังวัดกั่วเฉิง หากแต่แอบมุ่งหน้าไปยังไห่โจว ปลอมตัวเป็นชาวประมงคนหนึ่ง โดยสารเรือเข้าไปยังทะเลตะวันตก รอคอยที่จะปรากฏตัวขึ้นในเรื่องใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น
เขาไม่ใช่ว่าอยากจะมีชื่อเสียง แล้วก็มิใช่ว่าชอบความสนุกสนานวุ่นวาย หากแต่เป็นเพราะจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้เกิดขึ้นที่สำนักฌานเป่าทง เพื่อนของเขาสองคนรู้จักกันเพราะเขา อีกทั้งนี่ยังเป็นแผนการที่ผู้อาวุโสที่เป็นญาติตัวเองเป็นคนวางขึ้นมา เรื่องที่อันตรายเช่นนี้ เขาจะไม่สนใจได้อย่างไร?
เขาโดยสารเรือประมง ล่องอยู่บนทะเลตะวันตกเป็นเวลานาน ไม่กล้าเข้าไปใกล้หมู่เกาะซีไห่ แล้วก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้สถานที่สำหรับต่อสู้ที่ถงเหยียนเลือกเอาไว้ เพื่อจะได้ไม่ทำให้ใครบางคนสงสัย
………………………………………………