มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 187 ผู้หลบหนีกระบี่คนที่สอง (2)
หลิ่วสือซุ่ยรู้สึกไม่เข้าใจ ในใจครุ่นคิดว่าแต่ไหนแต่ไรมาต้าเจ๋อกับชิงซานเป็นมิตรที่ดีต่อกัน เหตุใดถึงไม่ขอให้พวกเขาช่วย? หรือเรื่องภายในของชิงซานไม่สะดวกให้คนภายนอกรู้?
เจ้าล่าเยวี่ยมองไปยังเมืองเล็กๆ ที่ดูปกติ กล่าวว่า “ที่นี่คนคอยช่วยเขาอยู่”
หลิ่วสือซุ่ยคิดถึงข่าวลือเรื่องผู้หลบหนีกระบี่คนนั้น จึงรู้สึกตกใจ ที่แท้เมืองเล็กๆ ที่อยู่ริมต้าเจ๋อที่เล่าลือกันแห่งนั้นก็คือที่นี่อย่างนั้นหรือ?
ผู้หลบหนีกระบี่คนนั้นสามารถอยู่ในกระดองเต่าหลบการค้นหาของข่ายพลังกระบี่ชิงซานมาเป็นเวลาหลายร้อยปี หากเขาช่วยปรมาจารย์หลบหนี เช่นนั้นก็ไม่มีใครที่จะหาเขาพบได้จริงๆ
……
……
สถานที่ที่อินซานเดินเข้าไปคือร้านตีเหล็กแห่งหนึ่ง แต่เมื่อดูจากภายนอกแล้วอาจจะเป็นเหลาสุราแห่งหนึ่ง แล้วก็อาจจะเป็นบ้านธรรมดาหลังหนึ่ง หรืออาจจะเป็นเพียงก้อนหินก้อนหนึ่ง
สรรพสิ่งจะมีรูปร่างเป็นแบบไหน ส่วนใหญ่มันก็ขึ้นอยู่กับว่าคนที่มองมองเห็นอะไรและประสบการณ์ที่ผ่านมาของคนที่มองเป็นอย่างไร แต่ภายใต้สถานการณ์บางอย่าง มันก็ขึ้นอยู่กับความปรารถนาของผู้ที่แสดงวัตถุชิ้นนั้นว่าอยากจะให้คนที่มอง มองเห็นเป็นอะไร ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเจ้าล่าเยวี่ยหรือว่าหลิ่วสือซุ่ยก็ล้วนแต่ไม่สามารถหาสถานที่นั้นพบได้ ต่อให้หลิ่วฉือมาที่นี่เองก็เปล่าประโยชน์
ในอดีตพันธมิตรพรรคมารของหลานฮ่องเต้ราชวงศ์ก่อนคนนั้นเกือบจะทำลายสำนักอู๋เอินเหมินได้สำเร็จ แต่หลังจากถูกสำนักชิงซานบดขยี้ หลิ่วฉือก็เคยมาที่นี่ ทว่าผลสุดท้ายก็ไม่ได้อะไรกลับไป
ที่อินซานสามารถหาที่นี่ได้พบ ก็เป็นเพราะเจ้าของสถานที่นั้นเปิดประตูต้อนรับเขาอยู่ตลอดเวลา
ความทรงจำของจิ๋งจิ่วนั้นไม่ผิด ในอดีตคนผู้นั้นก่อความวุ่นวายขึ้นมามากมายขนาดนั้น เขาย่อมต้องมีความเกี่ยวพันกับนักพรตไท่ผิงอย่างแน่นอน
เมื่อเดินเข้าไปในร้านตีเหล็ก ร้านตีเหล็กก็กลายเป็นสวนสี่เหลี่ยม
หินรูปทรงประหลาดนอนหมอบอยู่ข้างสระน้ำ ต้นไผ่ซ่อนตัวอยู่หลังกำแพงสีขาว
ที่นี่ไม่มีเสียงไผ่ลู่ลมที่ฟังเสนาะหู ไม่มีเสียงอ่านหนังสือที่น่ารำคาญ ในความเงียบสงบมีความสุขสบายแฝงเอาไว้อยู่
อินซานเคยมาที่นี่สองสามครั้ง ทุกครั้งล้วนแต่รู้สึกว่าทิวทัศน์ที่นี่งดงาม ทว่าเขาไม่เคยรู้สึกอิจฉาอีกฝ่ายมาก่อน
ต่อให้ทิวทัศน์จะงดงามแค่ไหน หรือสามารถเปลี่ยนแปลงตามใจชอบอย่างไร แต่การอยู่ที่นี่มาเป็นเวลาสี่ร้อยกว่าปีมันจะต้องเป็นเรื่องที่น่าเบื่ออย่างแน่นอน เพราะเจ้าออกไปไหนไม่ได้
หากมองขึ้นไปด้านบนสวนก็จะเห็นได้ว่าที่นี่ไม่มีท้องฟ้าที่แท้จริง
ท้องฟ้าที่ดูอึมครึมความจริงแล้วเป็นผนังอะไรบางอย่าง บนผนังแบ่งออกเป็นช่องๆ ดูคล้ายกระดองของเต่ายักษ์
แต่แน่นอน ที่นี่ย่อมต้องดีกว่าห้องขังที่เขาอยู่ภายในคุกกระบี่
ในส่วนที่ลึกที่สุดของสวน มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังยืนรออินซานอยู่
ชายวัยกลางคนผู้นั้นหน้าตาสะอาดสะอ้าน ท่าทีไม่ธรรมดา สวมชุดฉลองพระองค์สีเหลือง แผ่กระจายบารมีและราศีของจักรพรรดิออกมา
เขาก็คือผู้หลบหนีกระบี่คนนั้น
เขาคือสายเลือดของราชวงศ์ก่อน
เขาเรียกตนเองว่าฮ่องเต้เซียว
……
……
เสื้อผ้าที่ฉีกขาดถูกทำให้กลายเป็นเถ้าถ่านแล้วถูกทำให้จมลงไปในบึง จากนั้นก็จะผ่านการย่อยสลายอีกเป็นเวลาหลายปี ก่อนจะไหลผ่านอุโมงค์ที่อยู่ใต้ดินเข้าไปในทะเลสาบต้าเจ๋อ ไม่มีทางที่จะทิ้งกลิ่นและพลังใดๆ เอาไว้ มั่นใจได้ว่าไม่มีทางถูกข่ายพลังกระบี่ของชิงซานพบเห็นอย่างแน่นอน
ฮ่องเต้เซียวมองดูรอยบาดแผลบนร่างกายของชิงซาน ก่อนกล่าวถามอย่างไม่เข้าใจว่า “นักพรตทำไมถึงบาดเจ็บมากขนาดนี้?”
อินซานคิดถึงเด็กที่ไม่กลัวตายสองคนนั้น ในดวงตามีอารมณ์สับสนปรากฏขึ้นมา เขากล่าวว่า “มีหลายๆ เรื่องเกิดการเปลี่ยนแปลง เรียกได้ว่าเหนือไปจากการคาดการณ์ของข้า”
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวัดกั่วเฉิงครั้งนี้ เขาคาดการณ์ได้หลายๆ เรื่อง แต่กลับคำนวณเรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดพลาดไป
เขามองว่าจิ๋งจิ่วสืบทอดทุกอย่างมาจากจิ่งหยาง เช่นนั้นก็ย่อมมีนิสัยคล้ายคลึงกันและใช้ชีวิตเหมือนอย่างจิ่งหยาง แต่เขากลับคิดไม่ถึงเลยว่าจิ๋งจิ่วจะกล้าเสี่ยงอันตราย กล้าให้ศิษย์ที่มีสภาวะต่ำต้อยเหมือนอย่างเจ้าล่าเยวี่ยมาไล่สังหารตน อีกทั้งเขายังคิดไม่ถึงด้วยว่าเจ้าล่าเยวี่ยและหลิ่วสือซุ่ยจะบ้าคลั่งถึงเพียงนี้
การบ้าคลั่งเช่นนี้มันไม่เหมือนจิ่งหยางเลย หากแต่เหมือนตัวเขามากกว่า
ฮ่องเต้เซียวเอามีดหินผลึกเล่มเล็กเล่มหนึ่งฟันไปมาบนร่างกายของอินซานไม่หยุด สีหน้าดูตั้งใจแน่วแน่
จริงอยู่ที่อาการบาดเจ็บของอินซานนั้นไม่รุนแรงอะไร แต่ร่างกายของเขามีปัญหา ในเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ บริเวณรอบๆ ปากแผลกลับเริ่มเน่าเปื่อย ในส่วนลึกของบาดแผลถึงขนาดมีกลิ่นเหม็นเน่าลอยออกมา หากไม่ตัดเนื้อเน่าเหล่านั้นออกให้สะอาด เนื้อเน่าจะลุกลามออกไปอย่างรวดเร็ว และอาจจะทำให้ร่างนี้พังทลายลง
ดังนั้นถึงแม้ฮ่องเต้เซียวจะจัดการอย่างเบามือ แต่ขอบเขตเนื้อที่ถูกตัดออกไปกลับทั้งกว้างและลึก บางตำแหน่งถึงขนาดตัดเข้าไปในร่างกายของเขา
อินซานไม่ได้ปิดกั้นการรับรู้ของตนเอง เพราะในตอนที่ฮ่องเต้เซียวไม่มั่นใจว่าสถานการณ์ภายในร่างกายเป็นอย่างไร เขาต้องทำการดูด้านในด้วยตัวเอง แล้วบอกอีกฝ่ายว่าควรใช้มีดหินผลึกตัดไปทางไหน ควรจะตัดอะไรทิ้ง ซึ่งการทำเช่นนั้นมันย่อมต้องเจ็บปวดอย่างมาก สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีด แต่สายตายังคงสงบนิ่ง คล้ายกับว่าสิ่งที่มีดหินผลึกตัดออกไปมิใช่ร่างกายของตน
ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฮ่องเต้เซียวก็ตัดเนื้อเน่าในร่างกายเขาออกจนหมด จากนั้นใช้เส้นเอ็นที่ทำจากเอ็นมังกรเจียวเก็บบาดแผลที่บ้างใหญ่บ้างเล็กเหล่านั้นจนหมด
อินซานลุกขึ้นยืนส่องกระจก มองดูรอยแผลที่ดูเหมือนใยแมงมุมบนร่างกายของตนเอง คิ้วขมวดขึ้นเล็กน้อย
มิใช่เพราะรักสวยรักงาม หากแต่เป็นเพราะเหตุผลอื่น
นี่เป็นร่างที่สามารถเข้ากับดวงจิตได้ดีที่สุดเท่าที่เขาจะหาได้แล้ว เดิมทีหวังว่ามันจะสามารถใช้ไปได้อีกหลายปี แต่ใครจะไปบ้างว่าเขาต้องมาทิ้งร่างนี้เพราะเด็กสองคน
ฮ่องเต้เซียวกล่าวว่า “ร่างนี้อย่างมากก็อยู่ได้อีกสามปี ท่านต้องเตรียมตัวให้พร้อม”
หากในสามปีนี้อินซานไม่สามารถหาร่างใหม่ได้ เขาก็มีโอกาสอย่างมากที่ดวงจิตจะแตกสลาย
“มันก็มิใช่เรื่องร้ายไปเสียทั้งหมด ที่ผ่านมาข้ากังวลว่าร่างกายจะเสียหาย ดังนั้นจึงระมัดระวังเป็นอย่างมาก ตอนนี้มาคิดดูแล้ว ทำเช่นนั้นกลับจะไม่ถูกต้อง นั่นเท่าเป็นการใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือเครื่องใช้”
อินซานกล่าวว่า “ครั้งนี้ได้รับบาดเจ็บ ข้ากลับรู้สึกว่าใช้ร่างกายได้ดั่งใจขึ้นไม่น้อย เชื่อว่าคงจะมีประโยชน์ต่ออนาคตหลังจากนี้เช่นกัน”
ฮ่องเต้เซียวกล่าวว่า “ขอแสดงความยินดีกับท่านนักพรต”
อินซานกล่าวว่า “ถูกศิษย์รุ่นหลังสองคนไล่ล่าจนอยู่ในสภาพเช่นนี้ มีอะไรให้น่ายินดี?”
ฮ่องเต้เซียวได้ยินเช่นนี้จึงตกใจเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดว่านี่ถูกศิษย์ชิงซานไล่ฆ่ามาอย่างนั้นหรือ?
อินซานคิดถึงการประสานงานกันอย่างรู้ใจของเจ้าล่าเยวี่ยและหลิ่วสือซุ่ย ในใจครุ่นคิดว่าเจ้าเด็กสองคนนี้ช่างเหมาะจะเข้ามาอยู่ในปู้เหล่าหลินจริงๆ
เมื่อคิดถึงปัญหาเหล่านี้ เขาก็เดินอ้อมฉากกั้นภายในห้อง มาถึงอีกด้านหนึ่ง
ตรงนั้นมีถังไม้ใบใหญ่อยู่ใบหนึ่ง ภายในถังไม้ใส่น้ำแข็งวิญญาณหมื่นปีเอาไว้ ควันบางๆ ลอยออกมา
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินนั่งอยู่ด้านใน ใบหน้าขาวซีด ผมบางๆ ของเขาห้อยตกลงมาอย่างไร้เรี่ยวแรง คล้ายไม่หายใจแล้ว
“เจตน์กระบี่ฝังลึกเข้าไปในร่างกาย กระทั่งในเลือดก็มีเจตน์กระบี่อยู่ ได้แต่ต้องเปลี่ยนเลือดให้เขา ตอนนี้เปลี่ยนไปสามถังแล้ว เกรงว่ายังต้องเปลี่ยนอีกสามถัง”
ฮ่องเต้เซียวมองปรมาจารย์สำนักเสวียนอิน บนใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกเห็นใจและสงสาร เขากล่าวว่า “ไม่รู้ว่าเขาจะทนไหวไหม”
เมื่อสามวันก่อนปรมาจารย์สำนักเสวียนอินถูกกระบี่ของหลิ่วฉือแทงทะลุ ได้รับบาดเจ็บสาหัส
ข่ายพลังกระบี่ของชิงซานเองก็ทำงาน
หากมิเป็นเพราะอินซานเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า ให้ฮ่องเต้เซียวพาเขาเข้ามาหลบอยู่ในกระดองเต่า เกรงว่าเขาคงต้องตายอย่างแน่นอน
ฮ่องเต้เซียวและปรมาจารย์สำนักเสวียนอินล้วนแต่เป็นผู้หลบหนีกระบี่ ถูกข่ายพลังกระบี่ชิงซานไล่ล่าจนไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน ในเวลานี้มองเห็นเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ จึงรู้สึกปวดใจขึ้นมาอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยงได้
อินซานมองดูปรมาจารย์สำนักเสวียนอินอย่างเงียบๆ เป็นเวลาครู่ใหญ่ สายตาเย็นยะเยือก ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่