มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 182 สายตาของหรูซุ่ย กระบี่ชิงซาน
สมณะแก่ที่ทำให้กิเลนฉีหลินบาดเจ็บจนหลบหนีไปได้ย่อมต้องเป็นปรมาจารย์สำนักเสวียนอินที่ฟังธรรมอยู่ในวัดกั่วเฉิงมาเป็นเวลาหลายปี
เมื่อได้ยินคำพูดของจัวหรูซุ่ย ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินมิได้รู้สึกโกรธ เขาเพียงแต่ทอดถอนใจ
ไม่ว่าในอดีตเจ้าจะหน้าตาหล่อเหลาเพียงใด เมื่อต้องอยู่ใต้ดินไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันเป็นเวลาสี่ร้อยปี สุดท้ายก็จะต้องอัปลักษณ์เหมือนอย่างเขา
ไม่ว่าในอดีตเจ้าจะยิ่งใหญ่เกรียงไกรจนเกือบจะรวมวิถีมารให้เป็นหนึ่งอย่างไร แต่เมื่อถูกชิงซานคอยจับตามอง สุดท้ายเจ้าก็จะกลายเป็นหมาตัวหนึ่ง
ยักษ์แห่งวิถีมารในอดีตที่ไม่มีผู้บำเพ็ญพรตแห่งวิถีมารคนไหนกล้าไม่เชื่อฟังผู้นั้นหนีหายไปจากโลกนี้เป็นเวลานานแสนนาน หลังผ่านไปสี่ร้อยปีเขากลับมาปรากฏตัวบนโลกมนุษย์อีกครั้ง ทว่ากลับไม่มีใครจำเขาได้
แต่สุดท้ายเขาก็ยังเป็นปรมาจารย์สำนักเสวียนอิน
หลายปีมานี้เขาอยู่ข้างกายอินซาน ทำตัวเป็นเหมือนสุนัขที่เชื่อฟัง แต่นั้นมิใช่เรื่องจริง
ในตอนที่เขาปรากฏตัวขึ้นมาบนโลกอีกครั้ง ผู้คนอาจจะจำเขาไม่ได้ แต่ยังไงฟ้าดินก็ต้องจำเขาได้
ลมพัดกระโชกรุนแรงขึ้นมาในสวน
ข่ายพลังเพลิงแห่งพระอริยะเคลื่อนตัวลงมาด้านล่าง พยายามจะสะกดเขาเอาไว้ แต่กลับทำได้เพียงพัดเส้นผมที่เบาบางของเขาให้พลิ้วไหว มิอาจทำอะไรเขาได้แม้เพียงนิดเดียว
เขายืนอยู่บนท้องฟ้าเหนือสวนจิ้งหยวน เป็นเหมือนกับเทพมารที่แท้จริง
……
……
事实上,静园里至少有一个人认识玄阴老祖。
ความจริงแล้ว อย่างน้อยก็มีอยู่คนหนึ่งภายในสวนจิ้งหยวนที่จำปรมาจารย์สำนักเสวียนอินได้
“玄阴子?”
“เสวียนอินจึ?”
井九有些意外,他本以为今日出现的应该是那个背着龟壳生活的家伙。
จิ๋งจิ่วค่อนข้างประหลาดใจ เดิมเขาคิดว่าคนที่จะปรากฏตัวขึ้นมาในวันนี้น่าจะเป็นผู้ใช้ชีวิตโดยแบกกระดองเต่าเอาไว้ผู้นั้น
ในส่วนที่ลึกที่สุดของความทรงจำอันแสนยาวนาน เขาจำได้ว่าความสัมพันธ์คนผู้นั้นและศิษย์พี่มีปัญหาอยู่เล็กน้อย
เมื่อได้ยินคำพูดของจิ๋งจิ่ว สีหน้าของสมณะตู้ไห่และสมณะต้าฉางเปลี่ยนไปทันที ซีอี้อวิ๋นกับไป๋เชียนจวินเองก็งุนงงอยู่ครู่ ก่อนจะรู้ตัวขึ้นมา สีหน้าขาวซีด
จัวหรูซุ่ยจ้องมองดูสมณะแก่ผู้นั้น คิดอย่างตกตะลึงว่าเป็นคนผู้นี้อย่างนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นตนเองก็มิได้มองผิด!
เจ้าล่าเยวี่ยมายืนขวางอยู่หน้าจิ๋งจิ่ว กระบี่มิคำนึงลอยนิ่งๆ อยู่ด้านข้าง
จิ๋งจิ่วยื่นมือออกไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า คว้าจับสายรัดเอวของนางเอาไว้ ปราณกระบี่พวยพุ่งอย่างรวดเร็ว กลายเป็นพละกำลังอย่างที่ยากจะจินตนาการได้ เขาโยนนางออกไปด้านนอกข่ายพลัง
ไม่รู้เพราะเหตุใด ข่ายพลังเพลิงแห่งพระอริยะในวันนี้จึงดูแปลกไป มันยังคงสกัดกั้นศัตรูจากภายนอกได้อย่างแน่นหนา แต่กลับปล่อยให้คนที่อยู่ในข่ายพลังออกไปได้โดยไม่ขัดขวาง
เจ้าล่าเยวี่ยกลอยตกไปในป่าที่อยู่ด้านข้างตำหนักแห่งหนึ่ง
เมื่อได้ยินความเคลื่อนไหวภายในป่าและมองเห็นภาพที่อยู่ในสวนจิ้งหยวน ดวงตาที่ชั่วร้ายของแมวขาวก็หดเล็กลงอีกครั้ง คิดอยากจะแอบหนีไป
จิ่งจิ่วตกอยู่อันตรายจริงๆ
แต่มือข้างนั้นก็วางลงมาบนลำคอของมันอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้ฝ่ามือของเขาเหมือนกจะออกแรงเล็กน้อย
“ข้าบอกเจ้าแล้วไง วันนี้แค่ดูเรื่องสนุกก็พอ”
อินซานมองไปทางสวนจิ้งหยวน กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
……
……
ปรมาจารย์สำนักเสวียนพุ่งลงมายังสวนจิ้งหยวน ข่ายพลังเพลิงแห่งพระอริยะพุ่งตามลงมา
ภายในสวนจิ้งหยวนเกิดลมคลุ้มคลั่ง สมณะต้าฉางและสมณะตู้ไห่สีหน้าคร่ำเคร่ง ยืนอยู่ด้านหน้าจิ๋งจิ่ว
ลู่กั๋วกง ซีอี้อวิ๋นและไป๋เชียนจวินนั้นไม่สามารถยืนอย่างมั่นคงได้ จึงบินฉากหลบออกไป จัวหรูซุ่ยกอดเจดีย์หินที่อยู่ตรงกลางสวนจิ้งหยวนเอาไว้แน่น คล้ายกับสัตว์ตัวน้อยๆ ที่กอดต้นไม้เอาไว้ท่ามกลางน้ำที่กำลังไหลหลาก ถึงตายอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยมือ ไม่ว่าเศษฝุ่นจะเข้าตาอย่างไร เขาก็พยายามลืมตาให้กว้าง มองดูร่างที่กำลังพุ่งลงมาด้วยความเร็วสูงร่างนั้น
มือขวาของสมณะต้าฉางแหวกอากาศออกไป รับมือปรมาจารย์สำนักเสวียนอิน
ข่ายพลังเพลิงแห่งพระอริยะเกิดการตอบสนอง เร่งความเร็วตามลงมา ประกบปรมาจารย์สำนักเสวียนอินจากด้านบนและด้านล่าง
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินสีหน้าเรียบเฉย สะบัดแขนเสื้อแผ่วเบา ไม่รู้ว่าเขาใช้วิชาอะไร พลังธรรมะที่อยู่ในข่ายพลังเพลิงแห่งพระอริยะถึงได้ถูกเขาช่วงชิงเอาไป!
มือที่ซูบผอมข้างหนึ่งโผล่ออกมาจากแขนเสื้อ แฝงเอาไว้ด้วยพลังฌานที่เต็มไปด้วยแรงกดดันและความกว้างใหญ่ไพศาล ฟาดลงมายังพื้นสวนจิ้งหยวนด้านล่าง
สมณะต้าฉางส่งเสียงอึกเบาๆ กระอึกเลือดถอยออกไป ก่อนจะล้มลงไปกับพื้น ในฐานะที่เป็นคนสนิทของฮ่องเต้พระองค์ก่อน เขาบำเพ็ญเพียรอยู่ที่วัดกั่วเฉิงมาเป็นเวลาสามร้อยปี เรียกได้ว่าความรู้ทางธรรมลึกซึ้ง ใครจะไปคิดบ้างว่าเขารับหนึ่งฝ่ามือของปรมาจารย์สำนักเสวียนอินไม่ได้ ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือความเข้าใจในวิชาฌานของปรมาจารย์สำนักเสวียนอินเหมือนจะเหนือกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ!
สมณะตู้ไห่สีหน้าเคร่งเครียด ในเวลานี้เขาถึงได้รู้ว่าเหตุใดวันนี้ข่ายพลังจึงดูแปลกไป
มือที่ซูบผอมข้างนั้นปกคลุมทั้งสวนจิ้งหยวนเอาไว้
แรงกดดันที่มาจากยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์นั้นไม่สามารถต้านทานได้ แล้วก็ไม่สามารถหลบได้
จิ๋งจิ่วใบหน้าขาวซีด แต่แววตายังคงใสกระจ่าง
สมณะตู้ไห่เข้ามายืนขวางอยู่ด้านหน้าเขาอย่างไม่ลังเล หากปล่อยให้ศิษย์อัจฉริยะที่สำนักชิงซานฟูมฟักเลี้ยงดูขึ้นมาต้องมาตายอยู่ในวัดกั่วเฉิง วันหน้าจะอธิบายกับนักพรตหลิ่วฉืออย่างไร แล้วเขาจะไปอธิบายกับฉานจึอย่างไร?
เขาเป็นหัวหน้าอารามหลี่ว์ถังของวัดกั่วเฉิง สภาวะสูงส่งลึกล้ำเหนือกว่าสมณะต้าฉาง เขาเชื่อว่าตัวเองจะสามารถสกัดอีกฝ่ายเอาไว้ได้ครู่หนึ่ง เพื่อให้จิ๋งจิ่วหนีไป
เมื่อเห็นฝ่ามือใหญ่ยักษ์ข้างนั้นฟาดลงมาจากบนท้องฟ้า บนใบหน้าเขาก็เต็มไปด้วยสีหน้าแน่วแน่ เตรียมพร้อมที่จะสละร่าง
ทันใดนั้นพลันมีคนผู้หนึ่งมายืนอยู่ตรงหน้าเขา
สมณะตู้ไห่ตกใจ เจ้าล่าเยวี่ยได้ถูกจิ๋งจิ่วโยนออกไปแล้ว ลู่กั๋วกง ไป๋เชียนจวิน ซีอี้อวิ๋นต่างก็ถูกกระแทกจนลอยออกไปด้านนอกสวนจิ้งหยวน สมณะต้าฉางบาดเจ็บสาหัสอยู่บนพื้น จัวหรูซุ่ยกอดเจดีย์หินเอาไว้แน่น ภายในสวนจิ้งหยวนยังเหลือใคร? คนผู้นี้โผล่ออกมาจากไหน?
เมื่อเห็นชุดขุนนางสีเขียวที่คนผู้นั้นสวมใส่ สมณะตู้ไห่พลันนึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้คนที่ตามลู่กั๋วกงเข้ามาในสวนจิ้งหยวนเพื่อสักการะเจดีย์ยังมีขุนนางวัยกลางคนอยู่อีกคนหนึ่ง
ขุนนางผู้นั้นดูธรรมดา ตั้งแต่ต้นจนจบมิได้กล่าวอะไรเลย
เขานึกว่าคนผู้นี้สลบไปตั้งนานแล้ว คิดไม่ถึงว่าเขาจะยังอยู่จนถึงตอนนี้ อีกทั้งยังมายืนอยู่ตรงหน้าตนเองด้วย
สามารถเดินไปมาภายใต้แรงกดดันของยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์ได้ย่อมต้องมิใช่คนธรรมดา ดูแล้วน่าจะเป็นราชองครักษ์คนไหนสักคนภายในราชสำนัก เพียงแต่ว่า…
ต่อให้เจ้าจะเป็นจินหมิงเฉิง แล้วจะรับมือมารผู้นี้ได้อย่างไร?
สมณะตู้ไห่คิดอยากจะดึงขุนนางผู้นั้นกลับมา แต่กลับไม่ทันการเสียแล้ว
ขุนนางผู้นั้นฟาดฝ่ามือขึ้นไปบนฟ้า
ฝ่ามือของเขาค่อนข้างใหญ่ ดูค่อนข้างนุ่มนวล มิคล้ายว่าเป็นมือที่เคยชินกับการจับกระบี่ แล้วก็น่าจะไม่เคยทำงานหนักมาก่อน เพียงแต่ขอบของนิ้วมือมีรอยด้าน ดูแล้วน่าจะจับพู่กันค่อนข้างบ่อย ดูค่อนข้างบอบบางเมื่อเทียบกับมืออันซูบผอมของปรมาจารย์สำนักเสวียนอิน
แต่หลังจากนั้นทุกอย่างก็เกิดการเปลี่ยนแปลง
ร่างกายของขุนนางผู้นั้นพลันขยายใหญ่ขึ้นมา คล้ายกับชาวนาที่ยืนอยู่ริมนาแล้วก้มลงมองดูฟางข้าว แล้วก็คล้ายขุนนางระดับสูงของกรมชิงเทียนที่ยืนอยู่บนรถบินแล้วก้มลงมองดูแผ่นดิน
พลังที่ยิ่งใหญ่สายหนึ่งไหลออกมาจากในร่างกายของขุนนางผู้นั้น ก่อนจะหลอมรวมเข้าด้วยกันจนคล้ายจะจับต้องได้จริง
ความยิ่งใหญ่ทรงอำนาจนี้มิใช่ความยิ่งใหญ่ของขุนนาง หากแต่เป็น…ความยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิ!
เปลวเพลิงสีแดงเข้มที่ไร้รูปร่างสายหนึ่งได้พวยพุ่งออกมาจากขอบของฝ่ามือของขุนนางผู้นั้น จากนั้นแปรเปลี่ยนเป็นปีกสองข้างขึ้นมาอย่างรวดเร็ว โบยบินขึ้นไปในท้องฟ้า กระแทกเข้าใส่ฝ่ามือของปรมาจารย์แห่งสำนักเสวียนอินอย่างแรง!
ในฝ่ามือของปรมาจารย์สำนักเสวียนอินมีเพลิงดอกบัวสีดำจำนวนนับไม่ถ้วน เมื่อปะทะกับปีกเพลิงสองข้างนั้นก็เกิดเสียงเผาไหม้จำนวนนับไม่ถ้วนดังขึ้นมา
ปีกเพลิงสองข้างและเพลิงดอกบัวจำนวนนับไม่ถ้วนหายไปในอากาศพร้อมกัน
สุดท้ายฝ่ามือทั้งสองข้างก็ปะทะกันจริงๆ
ต่อให้ควบคุมพละกำลังได้อย่างสมบูรณ์แค่ไหน ก็ไม่มีทางที่จะหยุดยั้งไม่ให้พลังเล็ดรอดออกไปข้างนอกได้ เพราะว่ามันได้ก้าวข้ามคำว่าพละกำลัง เข้าสู่ขอบเขตของอิทธิฤทธิ์ไปแล้ว
เสียงตู้มดังสนั่น! ชายหลังคาและตัวเรือนภายในสวนจิ้งหยวนที่พังเสียหายถูกบดขยี้จนราบเป็นหน้ากลอง แต่กลับไม่มีฝุ่นควันฟุ้งขึ้นมา ทัศนวิสัยชัดเจนเป็นอย่างมาก
คลื่นอากาศที่น่ากลัวม้วนตัวไปรอบด้าน บดขยี้สิ่งก่อสร้างทั้งหมดที่อยู่ระหว่างทาง ระเหยน้ำในสระและเผาไหม้ใบบัวที่เหี่ยวแห้งทั้งหมด
คลื่นอากาศกระจายตัวออกไปหลายร้อยจ้างกว่าจะถูกข่ายพลังหยุดเอาไว้ จากนั้นมันม้วนวกกลับมา บดขยี้เศษซากอีกครั้ง
พลังจากการปะทะของทั้งสองฝ่ามือน่าหวาดกลัวถึงเพียงนี้ ขุนนางผู้นั้นเป็นใครกันแน่?
“ฮ่องเต้!”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินมองดูขุนนางผู้นั้น บนใบหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์ตกตะลึง
ถูกต้อง ขุนนางที่ติดตามลู่กั๋วกงมาสักการะสถูปผู้นี้ก็คือฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน!
ไม่มีใครคิดถึงว่าฮ่องเต้ที่เดิมควรจะดูแลบ้านเมืองอยู่ในเมืองเจาเกอกลับแอบเดินทางมายังวัดกั่วเฉิงอย่างเงียบๆ
เขาคิดถึงเสด็จพ่อ จึงอยากจะมานั่งอยู่ตรงหน้าสถูปในวัดกั่วเฉิงเสียหน่อย แต่ก็กลัวว่าคนภายนอกจะล่วงรู้ ก็เลยปิดบังตัวตนอย่างนั้นอย่างนั้นหรือ?
แน่นอนว่ามันมิได้ง่ายดายเช่นนั้นอย่างแน่นอน!
หรือว่าแผนการของนักพรตจะถูกคนอื่นรู้เข้า?
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินใช้หางตาเหลือบมองจิ๋งจิ่ว เกิดความรู้สึกอันตรายขึ้นมา
ก็เหมือนกับความรู้สึกของฉีหลินก่อนหน้านี้
เขาไม่ค่อยเข้าใจ สภาวะของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันย่อมต้องลึกล้ำ แต่ตัวเองมีอะไรให้ต้องหวาดกลัว เหตุใดความไม่สบายใจภายในใจกลับยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ?
เขาตัดสินใจว่าจะไม่รั้งอยู่ที่นี่อีก ถึงแม้จะถูกนักพรตต่อว่า เขาก็ต้องออกไปจากที่นี่
ฮ่องเต้ดึงฝ่ามือกลับมา มิได้มีทีท่าว่าจะบีบให้เขาอยู่ที่นี่
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินหมุนตัวบินขึ้นไปบนท้องฟ้า ทันใดนั้นพลันรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาเหลียวหน้ากลับไปมองดูพื้นดิน
ภายในสวนจิ้งหยวนกลายเป็นเศษซาก มีเพียงเจดีย์ที่บรรจุกระดูกของฮ่องเต้องค์ก่อนที่ยังอยู่ในสภาพดี เนื่องจากวัสดุที่ใช้ก่อสร้างมีความพิเศษแล้วมีอักขระคอยปกป้อง
จัวหรูซุ่ยกอดเจดีย์องค์นั้นไว้แน่น เงยหน้ามองดูท้องฟ้า
เมื่อยิ่งลอยห่างจากพื้นดิน ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินไม่สามารถมองเห็นแววตาเขาได้ชัด แต่สายตาของทั้งคู่ยังคงประสานกันอยู่
เขามิได้สนใจศิษย์ชิงซานผู้นี้ ถึงแม้จะเล่าลือกันว่าคนผู้นี้มีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา เพราะสำหรับเขาแล้วมันไม่มีความหมายใดๆ จนกระทั่งในเวลานี้เขาถึงได้พบเห็นปัญหา ความไม่สบายใจอย่างรุนแรงเอ่อล้นขึ้นมา รวบรวมพลังมารสะกดความรู้สึกนั้นเอาไว้พลางรีบจากไป
จัวหรูซุ่ยกอดเจดีย์เอาไว้ มองดูจุดสีดำเล็กๆ ที่อยู่บนท้องฟ้า ในดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดเล็กๆ
นับตั้งแต่ที่มองดูปรมาจารย์แห่งสำนักเสวียนอิน เขาก็มิได้ละสายตาออกจากอีกฝ่ายเลย
เมื่อเจอกับแรงกดดันอย่างเต็มที่จากปรมาจารย์สำนักเสวียนอิน เขาก็ทนไม่ได้อีกต่อไปได้ เขาส่งเสียงอึกออกมาก่อนจะเป็นลมสลบไป มือขวาคลายออก เผยให้เห็นยันต์กระบี่ที่ถูกบีบจนแตก
ภายในท้องฟ้าพลันมีเจตน์กระบี่พุ่งมาแต่ไกล
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินทั้งโกรธแค้นปนตกใจ เขาสบถออกมาว่า “ชิงซานบัดซบ!”
เจตน์กระบี่สายหนึ่งแหวกอากาศเข้ามา พลังกล้าแกร่งอย่างที่ยากจะจินตนาการได้ อีกทั้งยังมีความรู้สึกที่แข็งแกร่งยิ่งกว่านั้นบางอย่างที่กระทั่งเขาก็ไม่สามารถหลบได้ พลังแข็งแกร่งสายนั้นแทงทะลุหน้าอกของเขา!
……
……
ดวงอาทิตย์ในฤดูหนาวส่องสว่างยอดเขาเทียนกวง
หยวนกุยหลับตา นอนหลับอย่างเงียบๆ ป้ายหินที่อยู่บนกระดองนิ่งเงียบ เงาของกระบี่แบกสวรรค์ที่ปักอยู่ในแผ่นหินทอดยาวออกไปเรื่อยๆ
นักพรตหลิ่วฉือนั่งขัดสมาธิอยู่ริมผา ดวงตาปิดสนิท เจตน์กระบี่ลอยอยู่รอบกาย สะสมพลังกระบี่มาเป็นเวลาสามวัน อยู่ในช่วงเวลาที่พลังมหาศาลที่สุด
ตอนที่จัวหรูซุ่ยจะไปจากชิงซาน เขาเคยสั่งกำชับอีกฝ่ายเอาไว้อย่างจริงจัง
“ไปวัดกั่วเฉิงครั้งนี้ ตอนที่ควรดูเจ้าก็ต้องดู อย่าดูผิด แล้วก็อย่าดูพลาด”
เมื่อรับรู้ได้ถึงข่าวที่ส่งมาแต่ไกล หลิ่วฉือลืมตา ในใจครุ่นคิดว่าในที่สุดเจ้าศิษย์บื้อก็ไม่ได้ทำพลาด
จากนั้น ในม่านตาอันสงบเยือกเย็นของเขาก็มีความโกรธเกรี้ยววิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว กล่าวว่า “เสวียนอินจึอย่างนั้นรึ…ไป!”
สิ้นเสียงของเขา ยอดเขาเทียนกวงก็มีลมกระโชกขึ้นมา
หยวนกุยค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
เงาที่อยู่บนป้ายหินพลันหายไป
ขณะเดียวกันสิ่งที่หายไปในพริบตายังมีเมฆหมอกที่ปกคลุมอยู่บนยอดเขาอวิ๋นสิงอยู่ตลอดทั้งปี
ผาหินสีดำที่สูงชันและเต็มไปด้วยเจตน์กระบี่ที่รุนแรงเหล่านั้นปรากฏขึ้นท่ามกลางสายตาผู้คนภายใต้แสงอาทิตย์
เหล่าผู้อาวุโสและเหล่าศิษย์ที่อยู่ในยอดเขาต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ใบไม้บนยอดเขาเสินม่อแดงฉานเหมือนดั่งเปลวไฟ กู้ชิงและหยวนฉวี่เดินออกมาจากถ้ำมายังริมผา ทอดตามองไปทางยอดเขาอวิ๋นสิง
ทั้งสองคนรับรู้ได้ถึงเจตน์กระบี่อันรุนแรง คิดอย่างตกตะลึงว่านี่คือหน้าตาที่แท้จริงของยอดเขากระบี่สินะ
“เกิดอะไรขึ้นหรือ?” หยวนฉวี่ถามอย่างไม่สบายใจ
“มองไม่เห็น”
กู้ชิงส่ายศีรษะ ทันใดนั้นพลันเกิดความรู้สึกเป็นห่วงอาจารย์
ยอดเขากระบี่พลันปรากฏตัว น่าจะเกิดเรื่องใหญ่อะไรบางอย่างบนแผ่นดินเฉาเทียน
ตามหลักแล้ว ด้วยสถานะและสภาวะของจิ๋งจิ่วในตอนนี้ เรื่องใหญ่ที่ว่าน่าจะไม่เกี่ยวข้องกับเขา แต่กู้ชิงกลับรู้สึกไม่สบายใจ
บนยอดเขาเทียนกวง
หลิ่วฉือนั่งขัดสมาธิอยู่ริมหน้าผา มองไปทางวัดกั่วเฉิง นิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน
“กระทั่งมารชั่วอย่างเสวียนอินจึท่านก็ยังกล้าใช้หรือ อาจารย์ ชิงซานเป็นอะไรสำหรับท่านกันแน่?”