มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 179 กระบี่เหล็กยังอยู่
เบื้องบนเบื้องล่างและทิศทั้งสี่เรียกว่าอวี่ กาลเวลานับแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันเรียกโจ้ว[1]
กระบี่ที่สามารถสะบั้นเวลาและความว่างเปล่า มันจึงมีนามว่าคมจักรวาล
ชื่อนี้ช่างอหังการยิ่งนัก
ทุกคนที่อยู่ในสวนจิ้งหยวนต่างตกใจ จัวหรูซุ่ยยิ่งตกตะลึงจนพูดไม่ออก
ศิษย์ชิงซานทุกคนล้วนแต่ทราบเรื่องราวของกระบี่เหล็กของจิ๋งจิ่วเล่มนี้
ในอดีตตอนนี้อาจารย์เซียนม่อแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ยเดินมาถึงปลายทางของการบำเพ็ญพรต เขาตัดสินใจคืนกระบี่สู่ชิงซาน
เขาคัดลอกหนังสืออยู่บนยอดเขามาเป็นเวลาร้อยกว่าปี สภาวะมิได้สูงส่งอะไร ชื่อเสียงเองก็มิได้โดดเด่น ตามหลักแล้ว เขาทำได้เพียงแค่ทิ้งความโศกเศร้าเล็กๆ น้อยๆ เอาไว้ในชิงซานเท่านั้น จากนั้นก็จะค่อยๆ ถูกคนลืมเลือนไป แต่ในตอนที่เขามาถึงด้านนอกยอดเขาซื่อเยวี่ย เขาบังเอิญเจอกับศิษย์ที่เพิ่งเข้าสำนักมาใหม่ ซึ่งจิ๋งจิ่วก็อยู่ในนั้นด้วย
ตอนนั้นไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ จิ๋งจิ่วก็ถามออกไปว่า “กระบี่ของท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
อาจารย์เซียนม่อบอกว่าตัวเองไม่ได้ใช้มันมานานมากแล้ว ในน้ำเสียงแฝงเอาไว้ด้วยความเสียใจ
จิ๋งจิ่วบอกว่าถ้าอย่างนั้นให้ข้าลองดูได้ไหม?
……
……
จิ๋งจิ่วตัดสินใจสืบทอดกระบี่เล่มนั้น
หลายคนในชิงซานต่างคิดว่านี่เป็นเรื่องที่เพ้อฝันสิ้นดี เพราะอาจารย์ม่อเอากระบี่เหล็กเล่มนี้ไปวางไว้ในจุดที่สูงมากบนยอดเขากระบี่
ยิ่งไปกว่านั้นกระบี่เหล็กเล่มนี้ก็ธรรมดา มิได้มีอะไรพิเศษ
ที่จิ๋งจิ่วตัดสินใจใช้กระบี่เล่มนี้ เป็นเพราะกระบี่เหล็กเล่มนี้มีความกว้าง สามารถนั่งอยู่บนกระบี่ได้อย่างสบายๆ ยิ่งไปกว่านั้นเขารู้สึกว่าในเมื่อกระบี่เล่มนี้รับใช้ชิงซานมาชั่วชีวิตอย่างเงียบๆ เหมือนอย่างศิษย์หลานม่อ เช่นนั้นมันก็น่าจะมีวันที่ได้ฉายแสงเจิดจ้า
เพื่อกระบี่เหล็กเล่มนี้ จิ๋งจิ่วเดินขึ้นไปบนยอดเขากระบี่ พบเจอเรื่องราวมากมายที่นั่น อย่างเช่นเจ้าล่าเยวี่ยและกระบี่เหล็กเล่มนี้ จากนั้นก็มาถึงวันนี้
กระบี่เหล็กเล่มนี้ไม่มีอะไรพิเศษเลยแม้แต่นิดเดียว อย่าว่าแต่จะไปเทียบกับกระบี่ของเจ้าแห่งยอดเขาเลย กระทั่งกระบี่ของเหล่าศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างก็ยังเหนือกว่ามันด้วยซ้ำ
ไม่มีใครรู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับกระบี่เล่มนี้ในภายหลัง
ในงานประลองวิถีพรตของงานชุมนุมเหมยฮุ่ย เขาถูกขังอยู่ในที่ราบหิมะ หนาวเย็นเสียดกระดูก จิ๋งจิ่วเผาผลาญปราณกระบี่ ใช้กระบี่เหล็กเล่มนี้เป็นเหมือนคบเพลิง ส่องสว่างภายในถ้ำ แล้วก็ให้ความอบอุ่นแก่ไป๋เจ่าที่อยู่ในรังไหมฟ้า เท่ากับว่ามันถูกชุบแข็งมาเป็นเวลาหกปี ตอนที่อยู่ในคุกสะกดมาร กระบี่เหล็กจมอยู่ในใต้บึงสีเขียวซึ่งเป็นกระเพาะของชางหลง แช่อยู่ในน้ำที่เป็นพิษอย่างรุนแรงเป็นเวลาสามปีเต็ม
ที่สำคัญที่สุดก็คือเวลาส่วนใหญ่กระบี่เหล็กจะถูกจิ๋งจิ่วสะพายเอาไว้ด้านหลัง มันจึงได้ดูดซับปราณกระบี่ของเขาอยู่ตลอดเวลา จนเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบถอดรูปเปลี่ยนร่าง เพียงแต่ตัวกระบี่ที่ถูกเผาและร่องรอยที่เกิดขึ้นจากการถูกพิษกัดกร่อนนั้นเป็นเหมือนโคลนที่ห่อหุ้มตัวร่างที่แท้จริงของกระบี่เหล็กเอาไว้ มันยังต้องการเวลาที่เหมาะสม ถึงจะสามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาได้
และในวันนี้ การโจมตีอันรุนแรงของฉีหลินได้กระแทกไปบนตัวกระบี่เหล็ก
พลังอันรุนแรงที่มาจากบรรพกาลและบริสุทธิ์ที่สุดสายนั้นได้ทำให้คราบสนิมบนตัวกระบี่แตกออก เป็นเหมือนลายเส้นสุดท้ายที่แต่งแต้มให้ภาพวาดสมบูรณ์ ทำให้มันตื่นขึ้นมา
คมจักรวาลที่ว่างเปล่าและเยือกเย็นจึงปรากฏขึ้นมาบนโลก
……
……
จัวหรูซุ่ยมองดูพื้น ยังมิอาจสงบสติอารมณ์ได้ คมจักรวาลสามารถทำลายร่างศักดิ์สิทธิ์ของฉีหลินได้ สามารถรับการโจมตีของฉีหลินได้อย่างซึ่งๆ หน้า นี่แสดงว่ามันจะต้องเป็นกระบี่ชั้นเซียนอย่างแน่นอน ต่อไปเมื่อจิ๋งจิ่วยิ่งมีชื่อเสียงในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต เผลอๆ มันอาจจะกลายเป็นหนึ่งในกระบี่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกก็เป็นได้!
ตอนนั้นตนเองบอกว่าอย่างไรนะ? …กระบี่เล่มนี้ใช้ไม่ได้…กระบี่อักลักษณ์…มีประโยชน์อะไร…
อาจารย์อาเล็กพูดถูก มิใช่กระบี่ที่ใช้ไม่ได้ สายตาของตัวเองต่างหากที่ใช้ไม่ได้
ในเวลานี้ เขาได้ยินเสียงของฉีหลินอีกครั้ง
“กระบี่นี่…ไม่เลวจริงๆ”
ฉีหลินมองดูคมจักรวาลที่อยู่ในมือจิ๋งจิ่ว พลางกล่าวด้วยสีหน้าเฉยชาว่า “แต่ถ้าคนตาย ทิ้งกระบี่เอาไว้จะมีประโยชน์อะไร?”
จัวหรูซุ่ยพลันคิดถึงอาจารย์อาม่อแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ยท่านนั้นขึ้นมา ในตอนนี้กระทั่งชื่อของอาจารย์อาผู้นั้นเขาก็ลืมไปแล้ว แต่เขาเชื่อว่าเมื่อกระบี่คมจักรวาลปรากฏขึ้นบนโลก ชื่อของอาจารย์อาท่านนั้นจะต้องถูกหลายๆ คนจำได้อีกครั้งอย่างแน่นอน และจะเป็นเช่นนี้ไปอีกหลายปี
เขามองดูเงาของฉีหลินที่อยู่บนพื้น พลางกล่าวอย่างจริงจังว่า “ไม่ ต่อให้คนตายไปแล้ว แต่ขอเพียงกระบี่ยังอยู่ เช่นนั้นทั้งคนและกระบี่ก็ล้วนแต่ยังอยู่”
ก่อนที่ผู้ฝึกกระบี่ของชิงซานจะตาย พวกเขามักจะเลือกคืนกระบี่สู่ชิงซาน
และหลังจากนั้นก็จะมีศิษย์รุ่นหลังสืบทอดกระบี่ ทำให้กระบี่เล่มนั้นเจิดจรัสขึ้นมาอีกครั้ง
สิ่งที่สืบทอดต่อกันรุ่นสู่รุ่นก็คือกระบี่ ซึ่งนั่นคือรากฐานของชิงซาน แล้วก็เป็นจิตวิญญาณของชิงซาน
กระบี่ก็คือจิตวิญญาณของชิงซาน
ขอเพียงกระบี่ยังอยู่ ชิงซานก็ยังอยู่
……
……
แมวขาวนั่งอยู่บนชายหลังคาของตำหนัก จ้องมองดูภาพที่เกิดขึ้นภายในสวนจิ้งหยวน ในม่านตาที่สงบนิ่งเต็มไปด้วยความรู้สึกอิจฉา ในใจครุ่นคิดว่ากู้ชิงช่างโชคดีจริงๆ
ตอนที่ออกมาจากชิงซาน จิ๋งจิ่วตัดสินใจให้กู้ชิงเป็นเจ้าสำนักในอนาคต นี่ไม่สำคัญเท่าไร ที่สำคัญกว่านั้นก็คือเขาอยากจะเปลี่ยนกระบี่ดีๆ ให้กู้ชิงซักเล่ม ตอนนี้กระบี่มาแล้ว
ฉีหลินและจิ๋งจิ่วต่อสู้กับวุ่นวายขนาดนี้ ย่อมต้องทำให้สมณะหลายๆ คนภายในวัดกั่วเฉิงรู้ตัว เสียงสวดมนต์ภายในตำหนักยังคงดังไม่หยุด ข่ายพลังกำลังจะเปิดออก เพียงแต่ทุกคนต่างกำลังเพ่งความสนใจไปทางสวนจิ้งหยวน ไม่มีใครเห็นมันที่นั่งอยู่บนมุมชายหลังคา
“ถ้าเจ้าอยากจะฆ่าฉีหลินจริงๆ เหตุใดถึงไม่เข้าไปในสวนจิ้งหยวน แต่กลับมานั่งอยู่ที่นี่?”
เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านหลังแมวขาว
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร สมณะหนุ่มที่หน้าตางดงามผู้หนึ่งได้ขึ้นมาบนชายหลังคาของตำหนักเฉิงฉว๋า ก่อนจะนั่งลงข้างมัน
แมวขาวเหลือบมองดูสมณะหนุ่มผู้นี้ ภายในดวงตาเต็มไปด้วยสายตาเย้ยหยัน ในใจครุ่นคิดว่าหากข้าอยู่ที่นั่น วันนี้ทั้งสองคนนั้นจะได้สู้กันหรือ?
สมณะหนุ่มกล่าวอย่างจริงจังว่า “แต่ตอนนี้ฉีหลินรู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่”
“เมี้ยว? เจ้าคิดว่าเจ้ากวางตัวนั้นจะยอมรามืออย่างนั้นหรือ? ไม่มีทาง พวกตัวอัปลักษณ์ที่เขาอวิ๋นเมิ่งเหล่านั้นล้วนแต่ขี้โมโห ต่อให้ไม่กล้าสังหารจิ๋งจิ่วต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ แต่ก็ต้องเล่นงานเขาให้ได้ ข้าคิดว่าเจ้ากวางโง่ตัวนั้นน่าจะต้องการทำให้จิ๋งจิ่วบาดเจ็บสาหัส จากนั้นก็ทำให้เขาถูกยันต์เซียนกลืนกิน แบบนี้ตัวเองจะได้ไม่ต้องแบกความผิดเอาไว้”
“ถ้าเป็นแบบนี้ ก็นับเป็นแผนการที่ดีนะเนี่ย”
“เมี้ยว?” แมวขาวรู้สึกดูถูกเป็นอย่างยิ่ง คิดว่าเจ้าช่างไม่รู้จักคนอย่างจิ๋งจิ่วเอาเสียเลย “เจ้านั่นทั้งชั่วร้ายและเจ้าเล่ห์มากที่สุด จะมีใครที่วางแผนเล่นงานเขาได้? นอกจากตัวข้าแล้ว เขาจะต้องแอบซ่อนแผนสำรองอย่างอื่นเอาไว้แน่ ไม่แน่อาจจะเล่นงานเจ้ากวางตัวนี้จนตายก็เป็นได้”
บนใบหน้าสมณะหนุ่มมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา เขากล่าวถามว่า “อย่างนั้นทำไมเจ้าถึงไม่ไปช่วย?”
“ข้าเป็นใคร มีสถานะเป็นอย่างไร? ผู้พิทักษ์ของชิงซานจะไปร่วมมือโจมตีกับศิษย์รุ่นหลังเหล่านั้นได้อย่างไร หากอีกประเดี๋ยวฉีหลินถูกจิ๋งจิ่วเล่นงานจนได้รับบาดเจ็บจริงๆ ข้าค่อยแอบไปโจมตีก็ได้ ถ้าหากเป็นเหมือนตอนคุกกระบี่อีกล่ะก็ ข้าคงทนไม่ไหวแน่”
แมวขาวคิดถึงภาพมังกรชางหลงที่ตายลงไปต่อหน้าตนเองตัวนั้น พลางร้องเมี้ยวออกมาอย่างรู้สึกเสียดาย
มันพลันรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ทำไมตัวเองถึงต้องคิดอะไรเยอะแยะขนาดนี้ แล้วก็พูดเรื่องเหล่านี้กับเจ้า?
มันหมุนตัวมองไปทางสมณะหนุ่มผู้นั้นอีกครั้ง ครั้งนี้มันหมุนอย่างช้าๆ คล้ายกับว่าถูกลมหนาวแช่แข็งอย่างไรอย่างนั้น
“เจ้าอย่าลงมือจะดีกว่า พวกเราชิงซานจะขายหน้าไม่ได้”
สมณะหนุ่มเดินไปข้างกายมัน จากนั้นนั่งลง มือขวาลูบไปบนศีรษะของมันอย่างเป็นธรรมชาติ จากนั้นก็ลูบตั้งแต่หัวไปจนถึงหาง
การเคลื่อนไหวของเขาดูชำนาญ คล้ายว่าเคยลูบมาเป็นเวลาหลายร้อยปี
ปกติขนแมวที่ถูกลูบมักจะเรียบลื่นขึ้น แต่ครั้งนี้กลับตรงกันข้าม ขนแมวทั่วทั้งตัวชี้พองขึ้นมา ปลิวไหวไม่หยุดท่ามกลางลมหนาว มองดูคล้ายดอกหญ้าที่ถูกลมพัดจนปลิวกระจาย
พองขนก็หมายความว่าโกรธ เป็นสัญญาณของการต่อสู้ แต่ในเวลาส่วนใหญ่นั้นเป็นเพราะว่าหวาดกลัว
ในดวงตาแมวขาวเต็มไปด้วยความรู้สึกหวาดกลัว ม่านตาของมันหดเล็กจนกลายเป็นจุดสีดำเล็กๆ หากไม่สังเกตให้ดีไม่มีทางมองเห็นได้
เห็นๆ อยู่ว่ามันสามารถตะปบสมณะหนุ่มที่อยู่ข้างกายผู้นี้ให้ตายไปได้ แต่…ไหนเลยจะกล้า?
ในอดีตตอนที่อยู่บนยอดเขาปี้หู เห็นๆ อยู่ว่ามันสามารถฆ่าจิ๋งจิ่วให้ตายได้สบายๆ แต่มันก็มิได้ลงมือ
เพียงแค่พริบตา ในหัวสมองของแมวขาวมีคำพูดหยาบคายที่สกปรกที่สุดบนโลกนี้ผุดขึ้นมานับไม่ถ้วน ไม่สามารถใช้ตัวอักษรเขียนออกมาได้
เพราะจิตใจของมันใกล้จะพังทลายแล้ว
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ มันก็เก็บคำพูดหยาบคายเหล่านั้นเอาไว้กับตัวอย่างระมัดระวัง มิกล้ายั่วยุสมณะหนุ่มผู้นั้นแม้แต่นิดเดียว
ผู้พิทักษ์ชิงซานไป๋กุ่ย แต่ไหนแต่ไรมาขึ้นชื่อเรื่องความดุร้าย กระทั่งเจ้าสำนักมันก็มิสนใจ แต่ในโลกนี้ยังไงก็ต้องมีผู้ที่ทำให้มันรู้สึกหวาดกลัวได้อยู่
เมื่อถึงเวลานั้น มันจะขี้ขลาดมากกว่าใคร
คนที่มันกลัวจริงๆ ก็คือศิษย์พี่ศิษย์น้องคู่นั่น
พูดให้ถูกก็คือมันกลัวศิษย์พี่มากกว่า เพราะศิษย์พี่ฆ่าคนเก่งกว่า กล้าฆ่าคนมากกว่า อันตรายมากกว่า จนตรอกมากกว่า โหดเหี้ยมเย็นชามากกว่า ฉลาดมากกว่า วางแผนรอบคอบมากกว่า เฉลียวฉลาดมากกว่า ไร้พ่ายมากกว่า ยิ่งพ่ายแพ้ยิ่งแข็งแกร่งมากกว่า กิริยาท่าทางงดงามมากกว่า ดูมีสง่าราศีมากกว่า…..
“กิริยาท่าทางงดงามคำนี้ไม่เลว ถึงแม้ข้าจะไม่ได้หน้าตาดีเหมือนอย่างเขา แต่ก็ดูมีชีวิตชีวากว่าเขาที่เอาแต่ทำหน้าตาย”
สมณะหนุ่มหนุ่มผู้นี้ย่อมต้องเป็นอินซาน
เขายิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “แต่ว่าเจ้าเองก็ไม่ต้องมาคิดคำพูดมากมายขนาดนี้เพื่อมาประจบข้า ตอนนี้สภาวะของข้าต่ำต้อยมาก เจ้าจะลองฆ่าข้าดูก็ได้”
ถ้าแมวสามารถร้องไห้ออกมาได้ล่ะก็ เวลานี้หลิวอาต้าคงจะหลั่งน้ำตาออกมาเป็นสายน้ำแล้ว
ศิษย์พี่ศิษย์น้องคู่นี้หลังเกิดใหม่ คำพูดที่พูดในตอนที่เจอมันครั้งแรกล้วนแต่เหมือนกัน
ในที่สุดตอนนี้มันก็แน่ใจแล้วว่ากลิ่นที่อยู่บนกระดาษสองสามแผ่นเมื่อสองสามปีก่อน...ที่แท้ก็คือกลิ่นของนักพรต
หอมจริงๆ
มันส่งเสียงร้องเมี้ยวเบา คลอเคลียเท้าของอินซาน สีหน้าประจบประแจง
“นี่ช่างเป็นสถานที่ที่เหมาะจะดูเรื่องสนุกจริงๆ”
อินซานมองดูสวนจิ้งหยวนที่อยู่ห่างออกไป บนใบหน้ามีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา
ลมหนาวพัดพาจีวร พลิ้วไหวไม่หยุด จากนั้นก็มีกลิ่นเนื้อแดดเดียวและประทัดที่ดังมาจากในหมู่บ้าน
เรื่องราวยังไม่จบ
วันนี้เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น
……
……
ภายในสวนจิ้งหยวนตกอยู่ในความเงียบ
ทุกคนต่างกำลังรอการโจมตีครั้งที่สามของฉีหลิน
กระบี่ที่มีชื่อว่าคมจักรวาลถูกจิ๋งจิ่วกุมเอาไว้ในมือ แต่ยังคงไม่มีใครคิดว่าเขาจะรับการโจมตีครั้งที่สามไหว
ความต่างกันระหว่างระดับชั้นของชีวิต มีแต่ต้องใช้สภาวะมาชดเชย ผู้บำเพ็ญพรตของมนุษย์ที่อยู่ในสภาวะขั้นคเนจรระดับกลางไม่มีทางที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของฉีหลินที่อยู่ในขั้นจิตก่อรูปได้
แรงกดดันอันมหาศาลแผ่กระจายออกมาจากตัวของฉีหลิน ปกคลุมทั่งทั้งสวนจิ้งหยวน
ต้นหญ้าที่อยู่ตามซอกพื้นถูกกดจนแนบชิดติดไปกับพื้น ไม่สามารถตั้งตรงขึ้นมาได้ ค่อยๆ ถูกบดขยี้จนแหลกละเอียด
สมณะตู้ไห่สีหน้าคร่ำเคร่ง สะบัดพลังฌานออกมาอีกครั้ง สกัดกั้นแรงกดดันของฉีหลินเอาไว้ด้านนอก เพื่อที่ศิษย์หนุ่มอย่างซีอี้อวิ๋นจะได้ไม่บาดเจ็บสาหัส
คนที่สภาวะลึกล้ำเหมือนอย่างเขา หากคิดอยากจะสกัดแรงกดดันของฉีหลินก็ยังเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากลำบาก แล้วอย่างนี้จิ๋งจิ่วจะจัดการกับแรงกดดันนี้อย่างไร
จิ๋งจิ่วมิได้รอการโจมตีครั้งที่สามของฉีหลิน
เขาเลือกเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตี
คมจักรวาลที่เยือกเย็นและว่างเปล่าแหวกแรงกดดัน ทะลวงผ่านอากาศที่เหนียวหนืดขึ้นกว่าเดิมไม่รู้กี่เท่ามาถึงตรงหน้าฉีหลิน
การเสียดสีด้วยความเร็วสูงทำให้เกิดเส้นแสงที่สว่างเจิดจ้า คล้ายกำลังลุกไหม้อย่างไรอย่างนั้น จากความเยือกเย็นและว่างเปล่ากลายเป็นดุร้ายขึ้นมา อีกทั้งยังแฝงเอาไว้ด้วยความอันตรายที่แปลกประหลาด
เปลวลำแสงที่เกิดขึ้นจากคมจักรวาลส่องสว่างใบหน้าของฉีหลินจนชัดเจน
เส้นเลือดที่เกี่ยวกระหวัดอยู่ใต้ผิวหนังเหมือนเถาวัลย์ดูน่าเกลียดเป็นอย่างมาก เขาสองข้างนั้นดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
จริงอยู่ที่ฉีหลินรู้สึกว่ากระบี่เล่มนี้น่าสนใจ แต่มันกลับมิได้ใส่ใจอะไร
เมื่อได้รับผลกระทบจากแรงกดดัน กระบี่นี้ของจิ๋งจิ่วดูจะเชื่องช้ากว่าก่อนนี้ไปมาก
แต่ในขณะที่เขาเตรียมจะคว้าจับกระบี่ของจิ๋งจิ่วเอาไว้ จากนั้นกระหน่ำโจมตีใส่อีกฝ่าย กระบี่เล่มนั้นกลับหายไปต่อหน้าเขา
เสียงฉึบเบาๆ ดังขึ้น จากนั้นก็มีเสียงเบาๆ ดังขึ้นนับไม่ถ้วน
บนเสื้อผ้าของฉีหลินมีรอยขาดเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วน
ติ่งหูของเขามีรอยแผลเล็กๆ ปรากฏขึ้นมา
ปีกจมูกของเขาและบนริมฝีปากของเขาต่างมีรอยแผลเล็กๆ ปรากฏขึ้นมา
ในรอยแผลแต่ละแห่งล้วนแต่มีหยดเลือดไหลซึมออกมา
…………………………………………………….
อวี่โจ้ว[1] แปลว่า จักรวาล