มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 175 ตามหาคำตอบภายใต้ซี่โครงหมูแดดเดียว เสียงสวดมนต์ หมวกเหวยเม่า (2)
- Home
- มรรคาสู่สวรรค์
- ตอนที่ 175 ตามหาคำตอบภายใต้ซี่โครงหมูแดดเดียว เสียงสวดมนต์ หมวกเหวยเม่า (2)
หลายคนล้วนแต่ไม่ชอบฤดูหนาว ประโยชน์เพียงอย่างเดียวของฤดูหนาวน่าจะเป็นความคึกคักและการที่ได้กินอาหาร แล้วก็มีเสื้อผ้าใหม่ในตอนวันปีใหม่
อีกสามวันจะถึงวันปีใหม่ คนที่เดินทางมาเข้าร่วมพิธีสักการะสถูปทยอยเดินทางมาถึงวัดกั่วเฉิง
จัวหรูซุ่ยยืนอยู่ในสวนจิ้งหยวน มองดูหิมะที่เกาะอยู่บนชายหลังคา สีหน้าดูคร่ำเคร่ง ในใจครุ่นคิดว่าริมทะเลตะวันออกยังหนาวขนาดนี้ แล้วที่ราบหิมะจะเป็นอย่างไร?
จิ๋งจิ่วมองดูเขาพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ตอนนี้สภาวะเจ้ายังต่ำต้อย อย่าได้คิดไปทางเหนือ”
จัวหรูซุ่ยคิดในใจ ทำไมท่านถึงได้เหมือนกับอาจารย์เลย จึงกล่าวว่า “อาจารย์อาไป๋และอาจารย์อามั่วพาศิษย์พี่ศิษย์น้องของยอดเขาเหลี่ยงว่างไปเมืองไป๋เฉิง แล้วข้าจะมามัวอยู่ทางใต้ได้อย่างไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เดิมข้าก็ไม่เห็นด้วยกับวิธีการของยอดเขาเหลี่ยงว่างอยู่แล้ว เพราะหากเกิดเรื่องใหญ่จริงๆ ศิษย์หนุ่มสาวที่ไปก็มีแต่ต้องตายเปล่า”
จัวหรูซุ่ยไม่เห็นด้วย กล่าวว่า “บางเรื่องยังไงก็ต้องมีคนทำ”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “รอให้เจ้าบรรลุแหวกทะเลก่อนค่อยไป”
จัวหรูซุ่ยครุ่นคิดถึงได้เข้าใจตรรกะอันนี้ จากนั้นกล่าวด้วยสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย “นี่อาจารย์อากำลังชื่นชมข้าอย่างนั้นหรือ?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ถูกต้อง ศิษย์ที่ไม่มีอนาคตเหมือนอย่างเจี๋ยนหรูอวิ๋น ถ้าอยากจะเสี่ยงอันตรายก็ช่าง แต่เจ้ายังมีอนาคตอีกไกล ดังนั้นต้องรักษาชีวิตเอาไว้”
จัวหรูซุ่ยจ้องมองดวงตาของเขา กล่าวว่า “หากคลื่นอสูรมาจะทำอย่างไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าวอย่างเรียบเฉย “เคยมีมาหลายครั้งแล้ว”
หากเปลี่ยนเป็นหลิ่วสือซุ่ยหรือศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างคนอื่น ในเวลานี้คงจะเถียงกับจิ๋งจิ่วต่อ แต่จัวหรูซุ่ยกลับรู้สึกว่าคำพูดของอาจารย์และจิ๋งจิ่วคล้ายจะมีเหตุผลบางอย่างอยู่ คนที่เป็นอัจฉริยะเหมือนอย่างตนเอง ควรจะรอจนถึงช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดถึงจะออกไปช่วยกอบกู้โลกจากสถานการณ์คับขัน…
ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ค่อนข้างเกียจคร้านจริงดั่งว่า
ที่จิ๋งจิ่วชื่นชมเขาก็น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย
“อาจารย์อา ข้ารู้สึกว่าที่นี่สภาพแวดล้อมไม่เลว ข้าพักอยู่ที่นี่แล้วกัน”
จัวหรูซุ่ยรู้สึกว่าสวนจิ้งหยวนเงียบสงบ ดีกว่าเรือนรับรองที่วัดกั่วเฉิงเตรียมเอาไว้ให้ตัวเองมากนัก
เจ้าล่าเยวี่ยพลันลืมตาขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “ไม่มีที่”
จัวหรูซุ่ยหน้านิ่งไปทันที เขาหมุนตัวเดินออกไปด้านนอก หนังตาตกกล่าวพึมพำว่า “เจ้าคิดเจ้าแค้น เจ้าคิดเจ้าแค้นเกินไปแล้ว”
วันที่สอง สมณะตู้ไห่พาสมณะแพทย์สองสามคนกลับมาจากเมืองไป๋เฉิง ฉานจึยังคงอยู่ที่นั่นกับเทพดาบ
ทันทีที่สมณะตู้ไห่มาถึงสวนจิ้งหยวน เขาก็บอกเล่าสถานการณ์ทางที่ราบหิมะให้จิ๋งจิ่วฟัง พลางถามความเห็นของเขา
จิ๋งจิ่วคิดในใจว่าทำไมเรื่องแบบนี้ต้องมาตามตนเองด้วย
สมณะตู้ไห่ยิ้มเล็กน้อย มิได้กล่าวกระไร หมุนตัวเดินจากไป
ในคืนวันนั้น ลู่กั๋วกงมาหา
ภายในสวนจิ้งหยวนทยอยมีแขกเดินทางมาเยี่ยมเยือน ค่อนข้างคึกคักจริงๆ ราวกับว่าทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนต่างรู้ว่าจิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยมาแอบฟังธรรมะอยู่ในวัดกั่วเฉิงอย่างไรอย่างนั้น
ลู่กั๋วกงรู้จักนิสัยของจิ๋งจิ่ว จึงมิได้พูดถึงเรื่องที่ราบหิมะ แล้วก็มิได้พูดเรื่องสถานการณ์ภายในราชสำนัก เขาเพียงแต่เลือกเรื่องที่เกิดขึ้นในตระกูลจิ๋งมาสองสามเรื่อง —- จิ๋งซางที่ืทำงานอยู่ในวัดไท่ฉางยังคงว่างงาน จิ๋งหลีเข้าวังไปเป็นเพื่อนเรียนหนังสือขององค์ชายจิ๋งเหยา ฝึกวิชาของสำนักชิงซานด้วยกัน แต่ในด้านงานแต่งงานเหมือนจะเจอปัญหาเล็กน้อย
เมื่อเห็นจิ๋งจิ่วฟังอย่างค่อนข้างตั้งใจ ลู่กั๋วกงจึงรู้สึกโล่งใจ ในใจครุ่นคิดว่าตัวเองถือว่าคาดเดาถูกต้องแล้ว แต่สำหรับหลิ่วสือซุ่ยและเจ้าล่าเยวี่ยแล้ว คำพูดของจิ๋งจิ่วเหมือนจะเยอะขึ้นกว่าแต่ก่อน คล้ายมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเดิม แต่ในสายตาของพวกลู่กั๋วกง ยิ่งสภาวะของจิ๋งจิ่วสูงขึ้น ชื่อเสียงบารมีมากขึ้น ความเป็นเซียนก็ยิ่งดูชัดเจนขึ้น พวกเขากังวลจริงๆ ว่าจิ่งจิ่วจะไม่สนใจเรื่องราวบนโลก เช่นนั้นพวกตนซึ่งเป็นคนที่จิ๋งจิ่วทิ้งเอาไว้บนโลกจะทำอย่างไร?
หลังลู่กั่วกงเดินออกไป หลิ่วสือซุ่ยก็ถูพื้นอีกรอบ เช็ดเอารอยเท้าที่เขาและจัวหรูซุ่ยทิ้งเอาไว้จนสะอาด
จิ๋งจิ่วกล่าวกับเขาว่า “พรุ่งนี้ค่อนข้างวุ่นวาย เจ้าหลบไปก่อน อย่าเพิ่งเข้ามา”
ถึงแม้คนที่เข้ามาร่วมพิธีการสักการะเจดีย์จะมีไม่มาก แต่กลับเป็นตัวแทนของสำนักใหญ่ๆ และราชวงศ์จิ่ง หากให้คนเหล่านั้นเป็นว่าหลิ่วสือซุ่ยที่เดิมควรจะอยู่ในคุกกระบี่ปรากฏตัวอยู่ที่นี่ มันอาจจะไม่ค่อยสะดวกเท่าไร หลิ่วสือซุ่ยเองก็คิดเช่นนี้ จึงพยักหน้ารับคำ
เจ้าล่าเยวี่ยมองจิ๋งจิ่ว ในใจรู้ว่ามิใช่เป็นเพราะเหตุผลนี้อย่างแน่นอน
……
……
ในวันที่สอง พิธีสักการะเจดีย์เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ พิธีการต่างๆ นั้นไม่ได้ต่างอะไรกับการไปกราบไหว้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วของคนธรรมดามากนัก เพียงแต่สมณะที่มาสวดมนต์อยู่ด้านนอกสวนจิ้งหยวนมีจำนวนค่อนข้างมากเท่านั้น
จิ๋งจิ่วย่อมไม่เข้าไปร่วมงาน เขานั่งอยู่ในเรือนรับรองด้านนอกสวนจิ้งหยวน ฟังเสียงสวดมนต์ที่ลอยมาตามลม มองดูธงขาวที่ถูกลมหนาวพัดจนโบกสะบัด นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ไม่รู้กำลังคิดอะไร
เจ้าล่าเยวี่ยต้มชาให้เขาถ้วยหนึ่ง จากนั้นเลื่อนถ้วยชาไปตรงหน้าเขา ไม่ได้บอกให้เขาออกไปแต่อย่างใด
คนที่มีสิทธิ์เข้าไปในสวนจิ้งหยวนและกราบไหว้เจดีย์หินองค์นั้นมีเพียงแค่หกคน
ได้แก่ขุนนางของราชสำนักคนนั้นกับลู่กั๋วกง จัวหรูซุ่ย ซีอี้อวิ๋น ไป๋เชียนจวินและศิษย์สำนักจงโจวที่สวมหมวกเหมยเม่า
สำนักตู้ไห่และสมณะต้าฉางยืนต้อนรับอยู่ด้านข้างเจดีย์ เมื่อเห็นศิษย์สำนักจงโจวคนนั้นยังคงสวมหมวกอยู่ในเวลานี้ จึงรู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไร
ในเวลานี้ซีอี้อวิ๋นถึงได้รู้ว่าที่แท้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนได้มาบวชเป็นพระอยู่ในวัดกั่วเฉิงจริงๆ อีกทั้งยังถูกฝังอยู่ที่นี่ด้วย จึงรู้สึกตกตะลึงเป็นที่สุด ในใจครุ่นคิดว่ามิน่าวัดกั่วเฉิงถึงได้มีสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับราชวงศ์
เมื่อเห็นสีหน้าของสมณะตู้ไห่และสมณะต้าฉาง เขาก็เหลียวหน้าไปมองดูศิษย์สำนักจงโจวที่สวมหมวกเหวยเม่า พลางกล่าวว่า “โปรดถอดหมวกด้วย”
สมณะวัดกั่วเฉิงเป็นเจ้าบ้านย่อมไม่สะดวกจะพูดอะไร เขาย่อมต้องเป็นฝ่ายพูดแทน แต่ไหนแต่ไรมาเรือนอี้เหมาก็มีนิสัยเช่นนี้อยู่แล้ว
ไป๋เชียนจวินมองดูเขาพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกว่า “ระวังคำพูดหน่อย”
ซีอี้อวิ๋นมองเขาพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าตัวเองตื่นแล้ว? หรือยังคิดว่าตัวเองเป็นฮ่องเต้อยู่?”
สิ่งที่เขาพูดย่อมต้องหมายถึงเรื่องที่อยู่ในดินแดนแห่งความฝันของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าขอไป๋เชียนจวินพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดูค่อนข้างคร่ำเคร่ง
ตอนที่เขาอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน เรียกได้ว่าเขาใช้ทุกหนทางที่มีจนสุดท้ายกลายเป็นเจ้าแห่งใต้หล้าได้สำเร็จ แต่ใครจะไปคิดบ้างว่าสุดท้ายยันต์เซียนจะตกไปอยู่ในมือจิ๋งจิ่ว
เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องราวที่เล่าต่อๆ กันในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต และเขาก็ย่อมต้องกลายเป็นตัวตลกในเรื่องราวนั้น
บัณฑิตของเรือนอี้เหมามิได้มีนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้น แต่พวกเขาไม่มีทางลืมความแค้น ตอนที่อยู่ในดินแดนแห่งความฝัน ฮ่องเต้แคว้นฉินสังหารซีอี้อวิ๋น สังหารศิษย์ในสำนักของเขา ห้ามเผยแพร่คำสอนของเขา ความแค้นที่หนักหนาเช่นนี้ แม้นจะออกมาจากดินแดนแห่งความฝันแล้วก็ยากที่จะลืมได้ กฎของงานชุมนุมแสวงมรรคาที่ว่านั้นจะควบคุมจิตใจคนได้อย่างไร
ในเวลานี้เอง ศิษย์สำนักจงโจวที่สวมหมวกลี่เม่าผู้นั้นกล่าวขึ้นมาอย่างช้าๆ “เจ้าแน่ใจหรือว่าตัวเองมีสิทธิ์บอกให้ข้าถอดหมวก?”
เสียงของเขาไพเราะเป็นอย่างมาก แต่น้ำเสียงฟังดูค่อนข้างแปลก คล้ายกับเด็กทารกที่เพิ่งเรียนรู้ที่จะพูด ยังไม่คล่องแคล่วเท่าไร
หากในเวลานี้หลิ่วสือซุ่ยอยู่ที่นี่ เขาน่าจะคิดถึงจิ๋งจิ่วตอนที่เพิ่งถึงจะมาถึงหมู่บ้านเมื่อสามสิบปีก่อน
ที่สำคัญที่สุดก็คือในน้ำเสียงของศิษย์สำนักจงโจวผู้นี้คล้ายมีเมฆหมอกจำนวนนับไม่ถ้วนแฝงไว้อยู่ ผ่านจากหูมายังทรวงอก ทำให้หายใจได้ยากลำบาก
การหายใจของซีอี้อวิ๋นติดขัด เขารู้ว่าสภาวะของอีกฝ่ายสูงส่งเป็นอย่างมาก ตนเองนั้นมิใช่คู่ต่อสู้เลย
แต่เขาก็มิได้ยอมแพ้ หากแต่มองคนผู้นั้นแล้วกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “คนตายเป็นใหญ่! ยิ่งไปกว่านั้นนั่นคือฮ่องเต้พระองค์ก่อน!”
“มีเหตุผล คนตายมักควรค่าที่จะเห็นใจ แต่เจ้าต้องจำเอาไว้ ต่อให้เป็นฮ่องเต้ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะให้ข้าถอดหมวก นับประสาอะไรกับเด็กน้อยอย่างเจ้า!”
ศิษย์สำนักจงโจวผู้นั้นถอดหมวกออก มองดูซีอี้อวิ๋นพลางกล่าว
ทรวงอกของซีอี้อวิ๋นคล้ายถูกกระแทกเข้าอย่างแรง กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง
ผู้คนที่อยู่ภายในสวนจิ้งหยวนมองเห็นใบหน้าของศิษย์สำนักจงโจวผู้นั้น แล้วก็เขาทั้งสองข้างที่อยู่บนศีรษะของเขา ตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก