มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 171 เสียงของใครที่ดังมาจากในสายลม
เมื่อเปิดประตูเข้าไป อินซานไม่พบหลิ่วสือซุ่ย มีเพียงเสี่ยวเหอ เขายิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “มาขอข้าวกับสุรากินหน่อย”
เสี่ยวเหอรู้สึกแปลกใจ รีบเชิญเขาเข้ามานั่ง จากนั้นรีบไปจัดการ นางมิได้ระแวงผู้อาวุโสที่ลึกลับผู้นี้เหมือนครั้งก่อนอีก เพราะตอนนี้นางมีหลายเรื่องให้ต้องกังวลใจ อย่างเช่นเรื่องสุขภาพของหลิ่วสือซุ่ย อย่างเช่นจิ๋งจิ่วที่ตอนนี้อยู่ในวัดกั่วเฉิง
อาหารยังคงเต็มโต๊ะ แต่สุรากลับไม่เหมือนเดิม
อินซานวางชามสุราลง ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “สุราร้อนแรงบนเกาะสายฟ้านั้นหาได้ไม่ง่าย”
เสี่ยวเหอยืนอยู่ด้านข้าง มือกำชายเสื้อเอาไว้แน่น
การที่จู่ๆ บนโต๊ะภายในบ้านก็มีสุราชั้นดีปรากฏขึ้นมา นอกจากเพราะว่ามีสหายเดินทางมาเยือนแล้ว ความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งก็คือต้องการขอร้องให้คนอื่นช่วยเหลือ
อินซานเป็นคนง่ายๆ เขาดื่มสุราลงไปอย่างสบายๆ กินกับข้าว พลางพูดคุยเรื่อยเปื่อย
“สักวันเขาต้องกลับไปชิงซาน สถานะปีศาจจิ้งจอกของเจ้าจะจัดการอย่างไร?”
เสี่ยวเหอนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “หากไม่ได้จริงๆ ข้าก็แค่จากไป”
อินซานกล่าว “ปีศาจจิ้งจอกรักง่าย ถนัดวางแผนตัดสินใจ รู้หนักเบา ในเมื่อเจ้ายินดีจากไป สิ่งที่ต้องการย่อมมิใช่เรื่องเล็กแน่ เจ้าอยากให้เขาเป็นเจ้าสำนัก?”
เสี่ยวเหอรู้ว่ามิอาจปิดบังคนผู้นี้ได้ จึงกล่าวว่า “ผู้อาวุโสปราดเปรื่อง”
อินซานส่ายศีรษะกล่าวว่า “ชั่วชีวิตนี้เขาไม่มีทางเป็นเจ้าสำนักได้”
ใบหน้าเสี่ยวเหอขาวซีดเล็กน้อย กล่าวถามว่า “เพราะเหตุใด”
“ข้ารู้จักชิงซานดี คนที่เคยมีประสบการณ์เหมือนเขาล้วนแต่เป็นเจ้าสำนักไม่ได้ นอกเสียจากเขาจะทำเหมือนอย่างข้าได้ แต่เขาทำได้ไหมล่ะ?”
อินซานมองดูปลาตุ๋นที่อยู่ในชามใหญ่ตัวหนึ่ง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “เขาไม่ทำ ดังนั้นเขาเป็นไม่ได้”
เสี่ยวเหอใบหน้าขาวซีด แต่กลับสงบนิ่งได้อย่างรวดเร็ว คล้ายรู้สึกโล่งใจหลังจากนี้สิ้นหวัง นางกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “เขาบอกว่าอาจารย์เซียนจิ๋งจิ่วก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน”
อินซานได้ยินชื่อนี้ มุมปากยิ้มขึ้นเล็กน้อย กล่าวว่า “อย่างน้อยเขาก็ไม่ลืมเรื่องนี้”
เสี่ยวเหอกล่าวถามว่า “ท่านมีอะไรชี้แนะหรือไม่?”
ตามความคิดของนาง ในเมื่อหลิ่วสือซุ่ยเป็นเจ้าสำนักชิงซานไม่ได้ เช่นนั้นสู้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายอยู่ที่สวนผักแห่งนี้ไม่ดีกว่าหรือ แต่นางก็รู้เช่นกันว่านี่เป็นเพียงความคิดเพ้อฝัน สักวันหลิ่วสือซุ่ยต้องจากที่นี่ไป หรือกระทั่งอาจจะจากนางไป
“โลกกว้างใหญ่ ไยต้องจำกัดอยู่แค่ชิงซาน? ต่อให้ในอนาคตพวกเจ้าจากที่นี่ไป พวกเจ้าก็ไปที่อื่นได้ หรืออาจจะไปยังแผ่นดินอื่นได้”
นี่เป็นความคิดจริงๆ ของอินซาน
หากมิเป็นเพราะผูกพันกับชิงซาน ตอนนั้นเขาคงจากไปนานแล้ว
เมื่อคิดถึงเรื่องราวในอดีต เขาก็ยื่นตะเกียบแทงเข้าไปในผักโขมสีเขียวที่กองอยู่ในชาม เหมือนกับกระบี่ที่แทงทะลุเข้าไปในภูเขาสีเขียว
“หลังอาจารย์เซียนจิ๋งจิ่วมาที่วัด เขาก็ตามออกไปทุกวัน เหมือนกับในอดีตอย่างไรอย่างนั้น ต่อไปขอเพียงอาจารย์เซียนจิ๋งจิ่วพูดมาประโยคเดียว เขาก็ต้องกลับชิงซาน แล้วแบบนี้ยังจะไปที่ไหนได้อีก?”
เสี่ยวเหอคิดถึงชีวิตในหลายวันมานี้ ในใจรู้สึกขมขื่นขึ้นมา
ตะเกียบของอินซานพลันหยุดค้างอยู่กลางอากาศ เขากล่าวว่า “ข้าไม่ชอบกินผักโขมมากที่สุด มันขมเกินไป”
เสี่ยวเหอไม่เข้าใจความหมายของเขา แต่กลับรู้สึกได้ว่าภายในบ้านพลันเย็นยะเยือกขึ้นมาอย่างมาก
ความเย็นยะเยือกนี้มาจากร่างกายของอินซาน
เสี่ยวเหอคุกเข่าลงไปกับพื้นทันที ใบหน้าขาวซีด ร่างกายสั่นเทาขึ้นมาเบาๆ
พลังของอินซานมิได้แข็งแกร่งอะไร แต่กลับทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวถึงขีดสุด
เหมือนอย่างตอนที่อยู่ในศาลเจ้าเทพทะเลด้านนอกเมืองไห่โจวเมื่อในอดีต ตอนที่ไหล่ซ้ายของนางถูกกระบี่ของจิ๋งจิ่วแทงทะลุ
……
……
ในสวนด้านหลังของวัดส่วนหน้าของวัดกั่วเฉิง ภายนอกยังมีที่นาขนาดใหญ่ ริมทางมีเพิงตั้งเรียงรายไม่ขาดสาย
วัดส่วนหน้าสามารถจุดธูป ไหว้พระ ทำพิธีกรรมต่างๆ ได้ ส่วนสวนด้านหลังเป็นที่พักผ่อนบำเพ็ญเพียรของเหล่าสมณะ
ป่าเจดีย์เงียบสงัด อีกทั้งยังอยู่ค่อนข้างห่างไกล เนื่องเพราะสีของเจดีย์ที่บรรจุกระดูกส่วนใหญ่เป็นสีขาวหม่น ดังนั้นตำหนักฌานที่อยู่ใกล้ป่าเจดีย์แห่งนี้มากที่สุดจึงมีชื่อว่าไป๋ซาน[1]
อินซานนั่งอยู่บนบันไดหินของตำหนักฌานไป๋ซาน มองดูเจดีย์หินเหล่านั้น นิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินเดินเช็ดปากกลับมาจากด้านนอก เมื่อเห็นภาพนี้จึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
อินซานมักจะนั่งอาบแดดอยู่บนบันไดหิน แต่วันนี้ไม่มีแดด
ยิ่งไปกว่านั้นด้วยสภาวะของปรมาจารย์สำนักเสวียนอิน เขาย่อมต้องมองออกว่าวันนี้อารมณ์ของอินซานดูแปลกไป
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินถามอย่างระมัดระวัง “นักพรต มีเรื่องอะไรหรือ?”
เสียงอินซานแหบพร่าเล็กน้อย “ข้าไม่รู้เลยว่าจิ๋งจิ่วมาอยู่ในวัดกั่วเฉิง”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินคาดเดามาโดยตลอดว่าใครกันแน่ที่เป็นสายให้อินซานอยู่ในวัดกั่วเฉิง ตอนนี้ดูเหมือนคนผู้นั้นน่าจะตามหัวหน้าอารามหลี่ว์ถังไปทางเหนือแล้ว
จากนั้น…เขาถึงได้สติขึ้นมา รู้แล้วว่าตนเองได้ยินอะไรเข้า จึงตกอยู่ในความเงียบ ปลายจมูกยิ่งแดงขึ้นกว่าเดิม
ในส่วนลึกของป่าเจดีย์มีเสียงอีกาดังมา
“เขามาทำอะไร?”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินถามเสียงเบา
“ยันต์เซียนนั้นมีปัญหา”
อินซานกล่าวว่า “เขาอยู่ที่ิชิงซานแก้ไขไม่ได้ ดังนั้นเลยมาที่นี่เพื่อขอให้ธรรมะช่วยปลดปล่อย…เหมือนอย่างข้า”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินนิ่งเงียบไปครู่ จู่ๆ พลันเดินเข้าไปในตำหนักฌานแล้วกล่าวว่า “มีคัมภีร์สองสามม้วนที่ข้ายังไม่เคยอ่าน เดี๋ยวเอาไปอ่านระหว่างทาง”
อินซานเงยหน้าขึ้นมามองดูอีกาสองสามตัวที่บินออกไปจากป่าเจดีย์ กล่าวถามอย่างเฉยชาว่า “ทำไมต้องไป?”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินหยุดฝีเท้า กล่าวว่า “ไม่ว่าจะหลบหรือจะฆ่า สุดท้ายก็ต้องไปอยู่ดี”
คำพูดประโยคนี้มีเหตุผลอย่างมาก
อินซานกล่าวว่า “ข้ามาที่นี่เพื่อขอให้ธรรมะช่วยปลดปล่อยข้า ตอนนี้ยังไม่ได้ธรรมะที่แท้จริง จะไปได้อย่างไร?”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินเดินกลับมาข้างกายเขา กล่าวถามหยั่งเชิงว่า “อย่างนั้นก็ฆ่า?”
อินซานกล่าว “เดิมข้าก็อยากจะฆ่าเขาอยู่แล้ว ตอนนี้เขามาหาถึงที่ เหตุใดไม่ฆ่า?”
“คำพูดประโยคนี้ดูหยาบกระด้าง ไม่สมกับสถานะของท่านนักพรตเลย”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินกล่าวด้วยสีหน้าหยั่งเชิงว่า “ท่านเคยบอกมิใช่หรือว่าเขามิใช่จิ่งหยาง เช่นนั้นจะฆ่าเขาทำไม?”
อินซานกล่าว “เขาไม่ใช่จิ่งหยาง ก็ต้องตายเหมือนกัน”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินสีหน้าค่อยๆ เย็นยะเยือก กล่าวว่า “เพราะเหตุใด?”
หากเป็นเรื่องอื่น ขอเพียงอินซานพูดมาคำเดียว เขาจะเห่าโฮ่งๆ รับคำสั่งเหมือนสุนัขอย่างไรอย่างนั้น แต่เรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ เขาต้องการเหตุผล
ตอนนี้ฉานจึไปเมืองไป๋เฉิง เจ้าอาวาสเก็บตัวไม่ออกมา ในวัดกั่วเฉิงไม่มีใครที่สามารถรับมือกับวิชามารเสวียนอินของเขาได้ แต่ต่อให้เขาฆ่าจิ๋งจิ่วตายแล้ว ตัวตนของเขาก็จะต้องถูกเปิดเผยอย่างแน่นอน ยอดคนของชิงซานทั้งสองคนจะต้องไล่ล่าเขา หรือว่าเขาจะต้องหลบลงไปใต้ดินไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีก?
อินซานกล่าว “ข้าไม่ถูกชะตากับเขา เหตุผลนี้เป็นอย่างไร?”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินส่ายศีรษะ กล่าวอย่างจริงจังว่า “ไม่ค่อยเท่าไร”
อินซานพลันลุกขึ้นยืน เดินไปในป่าเจดีย์แล้วพูดทิ้งท้ายเอาไว้ประโยคหนึ่งว่า
“ล้อเล่นน่ะ ด้วยนิสัยของเขาแล้ว เขาจะต้องพาแมวตัวนั้นมาด้วยแน่ ไหนเลยจะฆ่าได้ง่ายๆ?”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินมองแผ่นหลังของเขา กล่าวถามว่า “อย่างนั้นตอนนี้หลบก่อน?”
อินซานมิได้หยุดฝีเท้า กล่าวว่า “ดูก่อนแล้วกัน”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินพลันเกิดความคิดที่ไม่ดีอย่างมากขึ้นมา เขากล่าวเสียงเบาว่า “นักพรตจะไปดูเขา?”
อินซานไม่ได้กล่าวอะไร หากแต่หยุดฝีเท้าอยู่ในป่าเจดีย์
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินโล่งใจ
อินซานหยิบเอาขลุ่ยกระดูกออกมา ขีดๆ เขียนๆ เส้นหลายสิบเส้นลงตรงหน้าเจดีย์หินสองสามองค์
เส้นเหล่านั้นกลายเป็นภาพที่ดูซับซ้อนอย่างมาก ดูแล้วน่าจะเป็นข่ายพลังอะไรบางอย่าง
เสียงอีกาดังอยู่บนฟ้า ลมหนาวพัดเอื่อย ใบไม้ปลิวเข้ามาจากทางด้านนอกป่าเจดีย์ ปกปิดเส้นเหล่านั้นเอาไว้จนมองไม่เห็นอีก
……
……
วันนี้ตำหนักแสดงธรรมไม่มีไต้ซือมาสาธยายธรรม จิ๋งจิ่วอยู่ในสวนจิ้งหยวน
เขานอนหลับตาอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ ฟังเสียงที่ลอยมาตามลม หูทั้งสองข้างไหวเล็กน้อย
หูคู่นี้สามารถฟังเสียงทุกเสียงที่ลอยมาตามลมหนาวได้
นั่นคือเสียงทั้งหมดในฟ้าดิน รวมไปถึงเสียงสวดมนต์ของเหล่าสมณะ เสียงศีรษะที่โขกลงไปกับพื้นของเหล่าสาวกที่อยู่ในตำหนักส่วนหน้า เสียงเผาไหม้ของธูปเทียน
ตามหลักแล้ว หูที่กางออกของเขาคู่นี้น่าจะสะดุดตาเป็นอย่างมาก แต่ทุกคนที่มองเห็นเขาล้วนแต่จะถูกใบหน้าเขาดึงดูดเอาไว้ จึงยากจะสังเกตเห็นถึงจุดนี้ได้
เขาฟังเสียงที่อยู่ในลม มือขวาของเขาวางอยู่บนมือจับของเก้าอี้ เคาะเบาๆ เป็นจังหวะ
หลิ่วสือซุ่ยนั่งอยู่ข้างเก้าอี้ไม้ไผ่ จ้องมองดูนิ้วมือของเขา ปรับการโคจรปราณก่อกำเนิดภายในร่างกายตามจังหวะของเขา
ริมบึงน้ำในหมู่บ้านเมื่อยี่สิบปีก่อน ภาพแบบนี้เคยเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
นิ้วมือของจิ๋งจิ่วพลันหยุดลง จากนั้นลืมตาขึ้นมา มองออกไปนอกสวนจิ้งหยวน
เสียงที่อยู่ในลมค่อนข้างวุ่นวาย ถึงแม้จะเพียงแค่พริบตา แต่ก็ถูกเขารับรู้เอาไว้ได้
นิ้วมือของเขาขยับอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้เร็วขึ้นกว่าเดิม เกิดเป็นเงาลางๆ จำนวนนับไม่ถ้วน
หลิ่วสือซุ่ยไม่ได้สังเกตว่าเขาลืมตาแล้ว หากแต่ยังคงคิดว่านั่นคือจังหวะ ปราณก่อกำเนิดของเขาปั่นป่วนขึ้นมาทันที จึงรีบหยุดลง
จิ่งจิ่วมองไปด้านนอกสวนจิ้งหยวน สายตาดูแปลกไป
ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับยันต์เซียนวัฒนะ แต่เขาก็ยังสามารถคาดการณ์ออกมาคร่าวๆ ได้ แต่เหตุใดวันนี้กลับคำนวณอะไรไม่ได้เลย
หลิ่วสือซุ่ยคิดว่าเขากำลังกังวลเรื่องยันต์เซียน จึงกล่าวว่า “ข้ารู้จักไต้ซือที่วัดกั่วเฉิงรูปหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นคนรู้จักของคุณชายหรือเปล่า”
จิ๋งจิ่วดึงสายตากลับมา ยกถ้วยชาขึ้นดื่มไปคำหนึ่งพลางส่ายศีรษะ
เขามีคนที่สนิทอยู่ที่วัดกั่วเฉิงเพียงแค่คนเดียว จดจำสมณะสูงศักดิ์ได้สองสามคน แต่จิ๋งจิ๋วไม่รู้จักใครสักคน
หลิ่วสือซุ่ยคิดในใจ ที่แท้เป็นความช่วยเหลือจากฉานจึ จึงกล่าวว่า “ไต้ซือรูปนั้นมีความรู้ทางธรรมล้ำลึก ช่วยอธิบายธรรมะที่เข้าใจได้ยากให้ข้าฟังหลายครั้ง ให้ข้าเชิญมาดีหรือเปล่าขอรับ?”
จิ๋งจิ่ววางถ้วยชาลงบนโต๊ะ ส่ายศีรษะอีกครั้ง
ในระเบียงทางเดินอีกด้านหนึ่ง เจ้าล่าเยวี่ยกำลังทบทวนธรรมะที่ได้ฟังมาเมื่อวันก่อน ครุ่นคิดถึงความยากเย็นบนวิถีกระบี่ ฝ่ามือพลันลูบไปบนแมวขาวที่อยู่บนหัวเข่า บางครั้งก็จะไปเกาที่ท้องของมัน ครั้นได้ยินคำพูดของหลิ่วสือซุ่ย นางจึงกล่าวว่า “คนที่อวดดีเหมือนอย่างเขาจะไปคิดว่าบนโลกนี้จะมีคนที่มีคุณสมบัติพอที่จะชี้แนะเขาได้อย่างไรล่ะ?”
ระยะห่างก่อเกิดความงาม แล้วก็ก่อเกิดความยำเกรง
หากคุ้นเคยมากเกินไป ความงามไม่มี ความยำเกรงก็ไม่มี
หลักเหตุผลนี้ใช้ได้กับแมว แล้วก็ใช้ได้กับคน
ท่าทีที่นางมีต่อจิ๋งจิ่วยิ่งเป็นกันเองมากขึ้น ใกล้จะกลับไปเป็นเหมือนเมื่อสองปีแรก
แมวขาวไม่ได้รู้สึกว่าถูกลบหลู่ มันครางออกมาอย่างสบาย จากนั้นส่งเสียงกรนฟู่วๆ สุดท้ายก็พลิกตัวกลับมา หงายท้องขึ้นฟ้า
จิ๋งจิ่วไม่ได้พูดอะไร เขายกถ้วยชาขึ้นมา ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าเพิ่งดื่มหมดไปเมื่อครู่
หลิ่วสือซุ่ยรีบเติม
……
……
ฟ้าเริ่มมืดลง ดูแล้วถึงเวลาที่จะต้องกลับบ้าน อินซานลุกขึ้นยืนจากบันไดหิน ปัดฝุ่นบนร่างกาย เตรียมจะไปสวนผักเพื่อขอข้าวและสุรากินสักมื้อ
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินกล่าวว่า “เวลานี้ยังจะไปไหนอีก?”
อินซานกล่าว “ไปดูหน่อย”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินกล่าว “หากได้เจอที่นั่นจริงๆ ท่านเตรียมจะลงมือฆ่าเขา?”
อินซานส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “ในใจเขาคิดว่าตัวเองคือจิ่งหยาง เช่นนั้นก็ไม่มีทางไปสวนผัก เพราะการไปที่นั่นมันเป็นเรื่องที่ไม่มีความหมายอะไรสำหรับจิ่งหยาง ดังนั้นข้าไม่มีทางเจอเขา”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินถาม “อย่างนั้นท่านจะไปทำไม?”
อินซานไม่ได้อธิบาย เขาเดินออกจากวัดกั่วเฉิงไปยังสวนผัก
เวลาที่เขาเลือกนั้นดีมาก หลิ่วสือซุ่ยกำลังกินข้าวอยู่ในบ้านกับเสี่ยวเหอ
ในเมื่อเขามิใช่ผู้อาวุโสที่คุณชายเชิญมา หลิ่วสือซุ่ยย่อมไม่มีทางพูดเรื่องคุณชายกับเขา แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าอินซานจะเป็นคนเอ่ยขึ้นมา
อินซานดื่มสุราไปชามหนึ่ง จากนั้นกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าจิ๋งจิ่วกำลังทำอะไร ข้าอาจจะมีวิธี เจ้าไปถามเขาดูว่าอยากเรียนหรือไม่”
หลิ่วสือซุ่ยรู้สึกระแวงเล็กน้อย กล่าวว่า “ข้าไม่รู้เรื่องเท่าไรนัก แต่จะไปถามให้”
อินซานหยิบเอากระดาษสองสามแผ่นส่งให้เขา พลางกล่าวว่า “อย่าบอกเขาว่าข้าเป็นใคร หากเจ้าไม่เชื่อช้า ก็ไม่ต้องพูด หากเขาไม่เชื่อข้า ก็ไม่ต้องใช้”
รุ่งเช้าวันที่สอง หลิ่วสือซุ่ยเอาชาชั้นดีที่ตระกูลของกู้ชิงส่งคนให้นำมาให้และกระดาษสองสามแผ่นจากอินซานเข้าไปในวัดกั่วเฉิง
จิ๋งจิ่วรับเอากระดาษสองสามแผ่นนั้นมาดู พบว่าลายมือดูแปลกตา แต่คำพูดที่อยู่ในกระดาษกลับมีความรู้สึกคุ้นเคย
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือวิธีของคนผู้นั้นมีเหตุผลอยู่ทีเดียว
นี่มิใช่การอธิบายธรรมะในคัมภีร์ หากแต่เป็นการหลอมยันต์เซียน
บนโลกนี้มีกี่คนที่สามารถทำเช่นนี้ได้?
……………………………………………………
[1]ไป๋ซาน แปลว่า เขาสีขาว