มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 164 ลมอันหนาวเหน็บทำให้ใจข้าปั่นป่วน (2)
ในขณะที่ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่ไร้เดียงสาคู่นี้กำลังทำการคาดเดาอย่างน่าเบื่ออยู่บนยอดเขาซั่งเต๋อ บนยอดเขาเสินม่อก็ได้มีเรื่องที่สำคัญอย่างมากเรื่องหนึ่งกำลังเกิดขึ้น
จิ๋งจิ่วยืนอยู่ริมผา มองดูทะเลเมฆที่คุ้นเคยอยู่ครู่หนึ่ง พลางครุ่นคิดถึงคำพูดเหล่านั้นที่หลิ่วฉือพูดระหว่างทาง รู้สึกกลุ้มใจเล็กน้อย
เขาหมุนตัวมามองกู้ชิงพลางกล่าวว่า “มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องพูดกับเจ้าเสียหน่อย”
กู้ชิงกล่าวอย่างจริงจัง “ศิษย์ฟังอยู่ขอรับ”
“ภายหน้าเจ้าต้องเป็นเจ้าสำนัก เพลงกระบี่แบกสวรรค์ต้องฝึกให้ดีหน่อย เรื่องอื่นวางเอาไว้ก่อน”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “แล้วก็กระบี่ของเจ้านั้นไม่ไหวจริงๆ อย่ามัวแต่คิดเรื่องกระบี่แข็งแกร่งตามคนอะไรนั่น เอาไว้ข้าจะหาเวลาเปลี่ยนให้เจ้า”
กู้ชิงมีนิสัยรอบคอบระมัดระวัง สุขุมเยือกเย็น ใจแห่งเต๋าสงบนิ่ง แต่ในเวลานี้เขาก็ยังตกตะลึงจนเหม่อลอย
เขารู้ว่าอาจารย์มีเบื้องหลังที่ลึกซึ้งกับชิงซานและโลกแห่งการบำเพ็ญพรต แต่เรื่องเจ้าสำนักนี้…ท่านบอกให้ศิษย์เป็น ศิษย์ก็จะเป็นได้อย่างนั้นหรือ?
จิ๋งจิ่วไม่ได้สนใจเขาที่ดูคล้ายวิญญาณหลุดออกจากร่าง หากแต่เดินเข้าไปในถ้ำ มาถึงตรงหน้าประตูที่ปิดสนิทบานนั้น
หลังจากเจ้าล่าเยวี่ยพ่ายแพ้ให้แก่จัวหรูซุ่ย นางก็เก็บตัวอยู่ที่นี่มาโดยตลอด
สำหรับผู้บำเพ็ญพรตหลายๆ คนแล้ว การเก็บตัวนั้นเป็นเรื่องที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก ตอนที่จัวหรูซุ่ยตัวอยู่บนยอดเขาเทียนกวงในครั้งนั้นก็ไม่มีใครกล้าไปรบกวนเขาแม้แต่คนเดียว
อาจจะเป็นเพราะในอดีตเก็บตัวมาหลายครั้ง จิ๋งจิ่วจึงมิได้คิดเช่นนี้ อีกทั้งยังเคยกล่าวกับเจ้าล่าเยวี่ยและคนอื่นๆ ด้วย ดังนั้น เวลาคนบนยอดเขาเสินม่อเก็บตัว พวกเขายังคงติดต่อกับโลกภายนอกอยู่ ในเวลาที่รู้สึกเบื่อก็ยังออกมาฟังเพลงจากยอดเขาชิงหรงที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
เมื่อรับรู้ได้ถึงการมาของเขา ประตูหินก็ค่อยๆ เปิดออก เศษฝุ่นฟุ้งกระจาย เจ้าล่าเยวี่ยเดินออกมา
ไม่เจอกันนานหลายปี เป็นอย่างไรบ้าง?
จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยมิได้ถามคำถามเหล่านี้ พวกเขาเพียงแต่มองดูอีกฝ่าย
เจ้าล่าเยวี่ยคิดในใจ กู้ชิงบอกว่าเจ้าบรรลุสู่คเนจรระดับกลางแล้ว เหตุใดถึงยังสะพายกระบี่เหล็กเอาไว้ข้างหลังอีก?
จิ๋งจิ่วพบว่าสภาวะคเนจรระดับต้นของนางตอนนี้สมบูรณ์แล้ว แล้วก็มีทีท่าว่าจะบรรลุสภาวะได้ จึงรู้สึกค่อนข้างพอใจ แต่เมื่อเห็นสภาพของนางก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจขึ้นมาเล็กน้อย
ผมสั้นของเจ้าล่าเยวี่ยได้ยาวลงมาถึงบ่า แต่นางก็ไม่ยอมจัดการกับผมของตัวเอง ดูแล้วยุ่งเหยิงเสียยิ่งกว่าหลิวอาต้า
เขากล่าวว่า “หวีล่ะ?”
ตอนที่ไปจากชิงซานครั้งนี้ เขาไม่ได้ลืมที่จะเอาเก้าอี้ไม้ไผ่ไปด้วย แล้วก็ไม่ลืมที่จะเอาหวีไม้จันทราทิ้งเอาไว้ด้วย
เจ้าล่าเยวี่ยพูดขึ้นมาอย่างสบายๆ “อย่างไรเสียก็ไม่เจอคนอยู่แล้ว”
แต่ว่าตอนนี้ได้เจอคนแล้ว
นางยื่นมือไปคว้าจับน้ำจากอากาศมาลูบไปบนผมสีดำ เส้นผมสะอาดขึ้นมาทันที
“ตามข้ามา”
จิ๋งจิ่วพานางออกมาจากถ้ำ ขึ้นไปยังจุดที่อยู่สูงขึ้นไปบนยอดเขา
กู้ชิงยังคงยืนนิ่งอยู่ริมผาเหมือนรูปปั้น แมวขาวส่ายศีรษะอยู่ด้านหลัง
ณ จุดที่สูงที่สุดบนยอดเขามีถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง บนเพดานถูกเจาะเป็นโพรง สามารถรับแสงดาวและพลังธรรมชาติได้
ในตอนนั้นจิ๋งจิ่วก็ใช้กระบี่ท่องทะยานแจ้งเพื่อนยักษ์ที่อยู่นอกทะเลให้ไปคอยจับตาดูตาเฒ่าที่อยู่บนเกาะหมอกจากที่นี่
เขาขยับความคิดเล็กน้อย เรียกกระบี่มิคำนึงออกมาดู
เจ้าล่าเยวี่ยเอามือกุมหน้าอก ถลึงตาใส่เขา
ต่อให้เชื่อใจแค่ไหน แต่การเรียกเอากระบี่ออกมาโดยไม่บอกกล่าวเช่นนี้ สำหรับผู้ฝึกกระบี่แล้วก็ยังเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด
สีของกระบี่คำนึงนั้นเปลี่ยนไปจากเดิมจริงๆ
เขาหมุนตัวกลับมามองเจ้าล่าเยวี่ยพลางกล่าวถามว่า “เหตุใดต้องสะกดเจตน์กระบี่เอาไว้?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวว่า “จัวหรูซุ่ยอาวุโสน้อยกว่า ข้าสู้กับเขามันก็เหมือนผู้ใหญ่รังแกเด็ก อีกทั้งยังใช้กระบี่มิคำนึงอีก แบบนั้นมันยิ่งไม่ยุติธรรม”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ความคิดวุ่นวายเช่นนี้ เวลาอยู่ข้างนอกอย่าได้มี”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวว่า “หากเป็นศัตรู ย่อมต้องสังหารในกระบี่เดียว”
จิ๋งจิ่วชื่นชอบคำพูดแบบนี้ เขายื่นมือไปลูบศีรษะนาง พบว่ายังเปียกอยู่เล็กน้อย
มือของเจ้าล่าเยวี่ยหดกลับเข้าไปในแขนเสื้อ คล้ายกำลังหยิบอะไรอยู่
จิ๋งจิ่วมิได้สังเกต เขาโบกมือขวาเบาๆ ปล่อยบางอย่างออกมา
เจ้าล่าเยวี่ยเกิดความรู้สึกระแวงอย่างรุนแรง
นางมองไม่เห็นสิ่งเหล่านั้น
หลิวอาต้าเองก็ระวังตัวขึ้นมา ขนบนร่างกายพองออก
มันได้กลิ่นของสิ่งเหล่านั้น นั่นมันพวกยุงที่อยู่ในคุกสะกดมารมิใช่หรือ!
เสียงแปะเบาๆ ดังขึ้น จักจั่นเหมันต์ร่วงตกลงมาจากในขนแมวที่พองออก ก่อนหน้านี้ตอนที่หลิ่วฉือยังอยู่ มันตกใจตัวจนตัวแข็ง ไหนเลยจะกล้าโผล่มา แต่ในเวลานี้มันตกลงมาบนพื้น มันมองขึ้นไปบนอากาศอย่างใคร่รู้ ดวงตาประหลาดกึ่งโปร่งแสงหมุนไปมาไม่หยุด คล้ายกำลังจ้องมองอะไรบางอย่างอยู่
จิ๋งจิ่วรู้สึกแปลกใจ คิดไม่ถึงว่าเจ้าด้วงจากในที่ราบหิมะจะสามารถมองเห็นยุงเหล่านั้นได้ด้วย
แต่แน่นอน จักจั่นเหมันต์อาจมิได้มองเห็นยุงเหล่านั้น หากแต่ใช้พลังงานความร้อนรับรู้ถึงการมีอยู่ของอีกฝ่าย
เขารู้สึกว่าน่าสนใจ จึงกล่าวกับจักจั่นเหมันต์ว่า “หากเจ้าสามารถดูแลพวกมันได้ ข้าจะให้เจ้าใช้”
จักจั่นเหมันต์ตกตะลึง จากนั้นพลิกตัว หันท้องไปหาจิ๋งจิ่วเพื่อแสดงถึงการเชื่อฟังและสำนึกขอบคุณ
จากนั้นขาที่เรียวเล็กของมันก็เสียดสีขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ส่งเสียงดังแซ่กๆ ฟังดูไพเราะ คล้ายเสียงเคาะเบาๆ ของหยกเนื้ออ่อน
……
……
ไป๋กุ่ยฟุบหมอบอยู่นอกถ้ำ
จักจั่นเหมันต์พายุงเหล่านั้นเฝ้าอยู่รอบๆ
ข่ายพลังปิดกั้นของยอดเขาเสินม่อเปิดออก
ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดจะได้ยินบทสนทนาระหว่างเขากับเจ้าล่าเยวี่ยหลังจากนี้
แม้แต่หลิ่วฉือและหยวนฉีจิงก็ทำไม่ได้
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้ามีบางเรื่องจะพูดกับเจ้า”
เจ้าล่าเยวี่ยพยักหน้าอย่างตื่นเต้น
ภายในถ้ำที่เงียบสงบมีเพียงพวกเขาสองคน
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “นั่ง”
เจ้าล่าเยวี่ยนั่งลงด้านหน้าเขา
เวลาอยู่ด้านนอก การวางตัวของนางกับจิ๋งจิ่วยังคงเป็นธรรมชาติเหมือนอย่างที่ผ่านมา แต่เมื่ออยู่กันตามลำพัง นางกลับเชื่อฟังจิ๋งจิ่วมากขึ้นเรื่อยๆ
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เรื่องบางเรื่อง ความจริงข้าลืมไปแล้ว”
เจ้าล่าเยวี่ยคิดในใจ นี่จะเล่าให้ฟังแล้วอย่างนั้นหรือ?
นางกล่าวอย่างไม่สบายใจว่า “ตื่นเต้นนิดหน่อย”
เดินอยู่บนยอดเขากระบี่ ท่องเที่ยวไปบนโลกมนุษย์ สังหารเหล่าปีศาจ ถูกปู้เหล่าหลินลอบสังหาร แล้วก็ลอบสังหารลั่วไหวหนาน
ไม่ว่าจะพบเจอกับเรื่องใด นางไม่เคยตื่นเต้นมาก่อน
แต่วันนี้พอจิ๋งจิ่วจะเล่าเรื่องราวในอดีต นางกลับตื่นเต้นขึ้นมา
ต้องทำอย่างไรจึงจะขจัดความตื่นเต้นนี้ไปได้?
เจ้าล่าเยวี่ยหยิบเอาหวีเล่มหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อส่งให้จิ๋งจิ่ว จากนั้นหมุนตัวกลับไป
แบบนี้ก็จะได้ไม่ต้องสบตาเขาตรงๆ
จิ๋งจิ่วใช้มือขวารับเอาหวีมา จากนั้นเริ่มหวีผมให้นาง
หวีสีคล้ำค่อยๆ ไล้ไปบนเส้นผมสีดำ ดูมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด
“ไท่ผิงเอาหวีไม้จันทราเล่มนี้กลับมาจากดินแดนหมิง แล้วมอบมันให้ข้า”
จิ๋งจิ่วรับรู้ได้ว่าร่างกายของเจ้าล่าเยวี่ยแข็งทื่ออย่างเห็นได้ชัด
“ที่ข้าสามารถหาตัวจักรพรรดิแห่งหมิงได้ในคุกสะกดมาร ก็เป็นเพราะไท่ผิงเช่นเดียวกัน
เขาเล่าเรื่องในช่วงหลายปีนี้ออกมาอย่างละเอียด
หลังกู้ชิงกลับมาชิงซานก็เคยเล่าให้ฟังบ้างแล้ว แต่รายละเอียดที่เกิดขึ้นในคุกสะกดมารและเรื่องราวที่เกิดขึ้นในทะเลตะวันตกหลังจากนั้น มีเพียงเขาซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เท่านั้นที่ทราบ
สุดท้ายเขาก็เล่าเรื่องงานชุมนุมแสวงมรรคาของสำนักจงโจว และเรื่องราวที่เขาได้ยันต์เซียนมา
คล้ายเป็นเรื่องราวที่ผ่านมานาน แต่เรื่องที่เขาชิงกระถางสัมฤทธิ์ แล้วย่างเท้าทะยานออกไปในความว่างเปล่าก้าวนั้น ความจริงแล้วเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานนี้
เจ้าล่าเยวี่ยรู้สึกตกใจเล็กน้อย กล่าวถามว่า “ตอนนี้ยันต์เซียนก็ถูกมือซ้ายของเจ้ากำเอาไว้อยู่?”
“ใช่ ในยันต์เซียนนอกจากพลังเซียนแล้ว มันยังมีจิตเซียนของไป๋เริ่นหลงเหลืออยู่ด้วย”
จิ๋งจิ่วกล่าวต่อว่า “เมื่อก่อนข้าเคยบอกเจ้าแล้ว จิ๋งหยางบรรลุกลายเป็นเซียนสำเร็จแล้ว”
เจ้าล่าเยวี่ยนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อนานมาแล้ว เขาได้เคยบอกตนเองเช่นนั้นจริงๆ ในใจครุ่นคิดว่าเช่นนั้นเหตุใดท่านจึงกลับมาล่ะ?
“เขาหยุดอยู่ในฟ้าดินที่กว้างใหญ่ไพศาลนั้นพักหนึ่ง จากนั้นก็เจอเข้ากับปัญหา ถูกบีบให้ต้องกลับมายังโลกมนุษย์อีกครั้ง”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่าปัญหานั้นคืออะไร จนกระทั่งข้าได้กำยันต์เซียนแผ่นนี้เอาไว้”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวว่า “เพราะว่า….เจ้าคุ้นเคยกับพลังเซียนที่อยู่ในยันต์เซียน?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “มิใช่พลังเซียน หากแต่เป็นจิตเซียนที่ไป่เริ่นทิ้งเอาไว้ มันเหมือนว่าข้าเคยเจอที่ไหนมาก่อน”
ภายในถ้ำเงียบสงัด
เจ้าล่าเยวี่ยนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ตอนนี้เจ้ากำลังสงสัยว่าสำนักจงโจวแอบทำอะไรในตอนที่นักพรตจิ๋งหยางบรรลุกลายเป็นเซียน มิใช่นักพรตไท่ผิง?”
“ตอนที่อยู่ริมแม่น้ำจั๋วข้าเคยบอกเจ้าแล้ว ข้าสืบดูแล้วว่านักพรตไท่ผิงมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ันักพรตจิ่งหยางบรรลุเป็นเซียน แต่นั่นมิได้หมายความว่าเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เขามีแรงจูงใจ แล้วก็มีความสามารถ”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “เจ้าเคยบอกว่าข่ายพลังหมอกควันจางหายไม่มีปัญหา”
ในตอนที่จิ่งหยางบรรลุกลายเป็นเซียน ก็ออกเดินทางสู่ท้องฟ้าจากถ้ำแห่งนี้
ข่ายพลังที่ชื่อหมอกควันจางหายนั้นก็อยู่ที่นี่
“จริงอยู่ที่การทำงานของข่ายพลังนั้นไม่มีปัญหา ในยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานไม่มีใครจะมาทำอะไรที่นี่ได้ แต่อาจจะเป็นตัวข่ายพลังนั่นแหละ…ที่ผิดปกติ”
จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ กล่าวว่า “หรือพูดอีกอย่างก็คือตอนที่เขาเริ่มสอนวิชาให้แก่จิ่งหยางเมื่อพันปีก่อน เขาก็ไม่เคยคิดที่จะให้จิ่งหยางบรรลุกลายเป็นเซียนอยู่แล้ว”
หากเป็นเช่นนี้จริงๆ อย่างนั้นมันจะเป็นวันเวลาที่น่าเศร้าและไร้ความหมายแค่ไหนกัน
เจ้าล่าเยวี่ยไม่อยากให้เป็นแบบนี้ จึงกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “บางที…อาจจะเป็นเซียนไป๋เริ่นที่ลอบโจมตีนักพรตจิ่งหยางในดินแดนเซียน ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนักพรตไท่ผิง”
จิ๋งจิ่วส่ายศีรษะ “หากมิใช่ว่าข่ายพลังมีปัญหา หลังจิ่งหยางบรรลุกลายเป็นเซียนไปแล้ว ไป๋เริ่นไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้?”
……………………………………………………………………………