มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 162 ท่านมาเป็นเจ้าสำนัก?
เจ้าสำนักเดินทางมาชมการประลองด้วยตนเอง สำนักจงโจวก็อย่าได้คิดที่จะทำอะไรเลย แม้แต่สำนักอื่นๆ อย่างสำนักคุนหลุนที่รู้สึกแคลงใจในผลการประลองแสวงมรรคาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
ไม่ว่าจะถามกระถางสัมฤทธิ์หรือชิงกระถางสัมฤทธิ์ สุดท้ายยันต์เซียนก็มีผู้ครอบครอง งานเลี้ยงฉลองก่อตั้งสำนักสามหมื่นปีของสำนักจงโจวมาถึงช่วงสุดท้ายของงาน
ในคืนวันนั้นไป๋เจ่าได้ไปยังเรือนลอกคราบเพื่อพบจิ๋งจิ่ว ด้วยคิดอยากจะคุยเรื่องบางอย่างกับเขา แต่กลับไม่พบเขา นี่ทำให้นางรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
ในขณะที่นางจากไปอย่างเงียบๆ เหอจานก็ออกไปจากเขาอวิ๋นเมิ่ง หลังเซ่อเซ่อพบเข้าก็รีบตามเขาไปเป็นระยะทางห้าร้อยลี้ แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถพาเขากลับมาได้
ซีอี้อวิ๋นเองก็บอกลาสำนักจงโจว เดินทางทั้งวันทั้งคืน กลับมายังเรือนอี้เหมาเพื่อเขียนหนังสือเล่มนั้น
คนที่ออกมาก่อนยังมีอีกหลายคน ทุกคนล้วนแต่เป็นผู้แสวงมรรคาที่เคยเข้าไปในดินแดนแห่งความฝันของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง ช่วงเวลาหลายสิบปีในโลกปุถุชนสลายหายไปกับตาเหมือนดั่งฝุ่นควัน แต่ใครจะสามารถลืมทั้งหมดได้ภายในวันเดียว? พวกเขาจำเป็นต้องใช้เวลามาสงบใจแห่งเต๋าอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ได้รับสิ่งที่พวกเขาต้องการจริงๆ จากการรู้แจ้งในดินแดนแห่งความฝัน หลังจากนี้สามปีพวกเขาอาจจะได้มาพบกันอีกครั้งที่เขาอวิ๋นเมิ่ง แล้วก็อาจจะไม่ได้พบกันอีก ตรงนี้ก็ต้องดูว่าสุดท้ายพวกเขาจะผ่านด่านนี้ได้หรือไม่
รุ่งเช้าวันที่สอง ศิษย์ชิงซานบอกลาศิษย์สำนักจงโจวภายใต้การนำของฟางจิ่งเทียนและหนานว่าง จากนั้นก็นั่งเรือกระบี่ออกมาจากเขาอวิ๋นเมิ่ง
ไป๋เจ่ายังคงมองไม่เห็นจิ๋งจิ่ว จึงแอบรู้สึกไม่สบายใจ เมื่อได้ฟังฟางจิ่งเทียนอธิบาย เหล่าผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่ตรงนั้นถึงได้รู้ว่าจิ๋งจิ่วได้ตามเจ้าสำนักชิงซานกลับไปก่อนแล้ว จึงพากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา ในใจครุ่นคิดว่านี่เหมือนผู้ชนะในการชุมนุมแสวงมรรคาที่ไหนกัน นี่มันเหมือนกับว่าได้ยันต์เซียนแล้วหนีไปมากกว่า ต่อให้สำนักชิงซานอยากจะไว้หน้าสำนักจงโจว พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้หรือเปล่า
……
……
ภายใต้แสงสว่างยามเช้าที่ส่องประกาย เมฆสีขาวก้อนหนึ่งได้ลอยออกมาจากเขาอวิ๋นเมิ่ง เหมือนกับดอกบัวที่ลอยไปบนผิวน้ำที่ใสกระจ่าง
ที่นี่ยังคงอยู่ในอาณาเขตข่ายพลังเขาอวิ๋นเมิ่ง อาจจะเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อสำนักจงโจว เมฆก้อนนั้นไม่ได้ลอยไปเร็วเท่าไร สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน นั่นมิใช่เมฆที่จับตัวขึ้นมาจากไอน้ำ หากแต่เป็นเมฆกระบี่ที่ถักทอขึ้นมาจากเจตน์กระบี่ที่แข็งแกร่งจำนวนนับไม่ถ้วน
หลิ่วฉือและจิ๋งจิ่วยืนอยู่บนเมฆ ท่าทางทั้งสองคนเหมือนกัน สองมือไพล่หลัง สายตามองตรง ร่างกายต้องแสงอาทิตย์ยามเช้า ดูแล้วช่างคล้ายเซียน
กระบี่แบกสวรรค์ปักอยู่บนแผ่นหินบนยอดเขาเทียนกวง หากไม่ใช่เรื่องใหญ่จริงๆ ก็ไม่มีทางจะออกมาจากชิงซาน ในอดีตตอนที่บุกลานเมฆ หลิ่วฉือจับตัวซีหวังซุนกลับมา เขาได้นำเอากระบี่แบกสวรรค์ไปด้วย แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้เอามา สาเหตุก็เป็นเพราะจิ๋งจิ่ว ดังนั้นจึงได้แต่ต้องขี่เมฆกระบี่กลับสำนัก ความเร็วย่อมต้องช้าหน่อย
กระบี่เหล็กของจิ๋งจิ่วเร็วกว่าเมฆกระบี่มากนัก แต่หลิ่วฉือรังเกียจว่ามันสกปรกเกินไป
อย่างไรเสียก็ไม่มีเรื่องแล้ว ขอเพียงออกมาจากเขาอวิ๋นเมิ่งก็พอ เมฆกระบี่ลอยไปแบบนี้ บางครั้งพวกเขาก็จะคุยเล่นกันขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
……
……
“สำนักกระบี่ซีไห่มิได้แข็งแกร่งอีกต่อไป ตาแก่ที่เกาะหมอกก็ไม่มีทางออกมา พวกเรื่องการวางแผนอะไรแบบนี้ เจ้าน่าจะเรียนรู้จากอาจารย์ของเจ้าเอาไว้หน่อยนะ”
“ผู้ที่อยู่ในที่ราบหิมะคลอดลูกออกมาเป็นอะไร? หากท่านไม่รู้ แล้วใครจะไปรู้ได้? ข้าไม่รู้เสียหน่อยว่าอาจารย์ไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน”
“จากนิสัยของเขาแล้ว ไม่มีทางที่จะซ่อนตัวไปได้ตลอดแน่ รอต่อไปก็พอ”
“ในเมื่อนี่เป็นแผนของสำนักจงโจว เหตุใดกิเลนฉีหลินยังตามพวกเรามาอีก?”
“ดูแล้วคงจะไม่ยอมที่ยันต์เซียนถูกชิงมา เพราะสุดท้ายแล้วมันก็ยังเป็นของวิเศษอยู่”
“มันยังแค้นที่ชางหลงถูกท่านฆ่า คิดอยากจะฆ่าท่านเพื่อล้างแค้น”
ในท้องฟ้าที่ถูกแสงอาทิตย์ยามเย็นย้อมจนเป็นสีแดงมีพลังจางๆ สายหนึ่งแผ่กระจายออกมา
พลังสายนั้นทั้งเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ ทรงอาณุภาพเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าพยายามจะปิดบังเอาไว้ แต่ไหนเลยจะปิดบังทั้งสองคนได้
พวกเขาไม่จำเป็นต้องมองก็รู้ว่าผู้ที่มาคือใคร
หลิ่วฉือย่อมต้องรู้ว่าผู้ที่หลบหนีออกมาจากคุกสะกดมารผู้นั้นคือจิ๋งจิ่ว
แล้วเขาก็ย่อมต้องคิดคำนวณได้ว่าผู้อาวุโสของชิงซานที่ช่วยกั้วตงมาจากในทะเลตะวันตกคนนั้นก็คือจิ๋งจิ่วอีกเช่นกัน
เขารู้ดีว่ากระบี่ของเจี้ยนซีไหลนั้นแข็งแกร่งเพียงใด กั้วตงได้รับบาดเจ็บสาหัส จิ๋งจิ่วย่อมต้องชิงเอายันต์เซียนมาให้ได้
ดังนั้นเขาจึงให้หลิ่วสือซุ่ยเข้าร่วมงานชุมนุมแสวงมรรคาในฐานะศิษย์สำนักอู๋เอินเหมิน จากนั้นก็ไปนั่งดูการประลองด้วยตัวเอง
สำนักชิงซานฝึกกระบี่ สิ่งที่เน้นหนักคือสรรพสิ่งนั้นเกิดขึ้นแค่เพียงชั่วความคิด สิ่งที่แสวงหาคือปลิดชีพในกระบี่เดียว ก่อนที่จะลงมือต้องคำนวณทุกอย่างให้เสร็จเรียบร้อย
การจะคิดคำนวณทุกสรรพสิ่งบนโลกนั้นค่อนข้างยาก แต่ถ้าอยากจะรู้ว่าศิษย์สำนักเดียวกันกำลังคิดอะไรอยู่นั้นค่อนข้างเป็นเรื่องง่าย ดังนั้นแต่ไหนแต่ไรมาศิษย์สำนักชิงซานจึงร่วมมือกันโดยไม่ต้องพูดอะไรมาก
ในอดีตเจ้าล่าเยวี่ยกับหลิ่วสือซุ่ยไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรต่อกัน แต่ก็ยังอาศัยแผนการของถงเหยียนร่วมมือกันสังหารลั่วไหวหนานได้ นั่นก็คือความสัมพันธ์เช่นนี้
“จักรพรรดิแห่งหมิงเป็นคนฆ่าชางหลง ไม่เกี่ยวกับข้า”
จิ๋งจิ่วอธิบาย
สำหรับเขาแล้วนี่เป็นเรื่องที่พบเห็นได้น้อยมาก
เขาแอบเข้าไปพบจักรพรรดิแห่งหมิงในคุกสะกดมารจนเกิดความวุ่นวายขนาดนั้น ซึ่งนั่นอาจจะนำปัญหายุ่งยากมากมายมาสู่ชิงซานได้
หลิ่วฉืออาวุโสน้อยกว่า แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเจ้าสำนัก
คำพูดนี้ดูคล้ายเป็นคำอธิบายมากกว่า
หลิ่วฉือถอนใจออกมา เขากล่าวว่า “อย่างนั้นก็ต้องดูว่าฉีหลินจะเชื่อหรือเปล่า”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “หลังจากนี้ข้าไม่ไปเขาอวิ๋นเมิ่งแล้ว จะเชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่มัน”
เมฆกระบี่ลอยออกมาจากเขาอวิ๋นเมิ่งแล้ว มาถึงบนท้องฟ้าเหนือจังหวัดอวี้จวิ้น
พลังของฉีหลินหยุดอยู่ตรงริมข่ายพลังอวิ๋นเมิ่ง มิได้ตามออกมาอีก
หากมันยังตามหลิ่วฉือไปอีก เช่นนั้นมันอาจจะถูกมองว่าไม่เคารพต่อสำนักชิงซานหรือไม่ก็เป็นการข่มขู่ได้
หากสำนักชิงซานซ่อนการป้องกันเอาไว้ที่หมู่เขาด้านล่าง แล้วทำการโจมตีกลับอย่างฉับพลัน เช่นนั้นมันจะต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างแน่นอน
……
……
ฉีหลินอยากจะสังหารจิ๋งจิ่ว มันย่อมต้องไม่ยอมแน่นอน มันคงจะปล่อยข่าวที่เขาได้ยันต์เซียนออกไป แต่อันที่จริงแล้วข่าวนี้ก็ไม่มีทางที่จะปิดบังเอาไว้ได้นานเช่นกัน เชื่อว่าในระหว่างทางที่กลับชิงซานอาจจะต้องเจอกับปัญหาอะไรบางอย่าง
จิ๋งจิ่วย่อมไม่หวาดกลัว การเดินทางพร้อมกับหลิ่วฉือนั้นย่อมต้องดีกว่าการเดินทางไปกับไป๋กุ่ยมาก นอกจากในส่วนลึกของที่ราบหิมะแล้ว ทั่วทั้งแผ่นดินนี้เขาสามารถเดินทางไปได้ทั้งหมด
เขาเพียงแต่คิดว่าเมื่อถึงตอนนั้น หากพากันกรูเข้ามาจริงๆ คงจะยุ่งยากไปหน่อย จึงยื่นนิ้วชี้มือขวาไปเจาะรูเล็กๆ บนเจตน์กระบี่ไร้รูปลักษณ์ที่ห่อหุ้มเป็นชั้นบางๆ บนกำปั้นข้างซ้ายขึ้นมารูหนึ่ง
พลังเซียนที่เบาบางสายหนึ่งไหลออกมาจากรูเล็กๆ จากนั้นโปรยปรายลงไปยังพื้นด้านล่าง
รอบๆ จังหวัดอวี้จวิ้นมีภูเขามากมาย ยอดเขาสูงชัน ป่าไม้หนาทึบ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีรอยแตกของเส้นปราณแผ่นดินอีกเป็นจำนวนมาก แอบซ่อนปีศาจและยอดฝีมือของพรรคมารเอาไว้มากมาย แล้วก็อาจจะมีปีศาจที่หลงเหลือมาจากอดีตกาลด้วย
ปีศาจเหล่านี้ย่อมไม่ร้ายกาจเท่ากิเลน แต่หากมีจำนวนมากก็น่ากลัวเหมือนกัน
พลังเซียนโปรยปรายลงไปยังโลกมนุษย์เหมือนดั่งหยาดฝน ภายในหมู่เขาเกิดความเคลื่อนไหวเป็นจำนวนมาก พลังที่แข็งแกร่งอย่างน้อยหลายร้อยสายค่อยๆ โผล่ขึ้นมา ปีศาจและเหล่าผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารมองขึ้นมาบนท้องฟ้า ถึงแม้จะรู้ว่าเมฆกระบี่ที่ลอยอยู่ในท้องฟ้านั้นจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน แต่พวกมันก็ยังอดเกิดความละโมบและความหิวกระหายขึ้นมาไม่ได้
หลิ่วฉือรู้ว่ากิเลนฉีหลินที่อยู่ด้านหลังกำลังมองมาทางนี้อยู่ เขาจึงยื่นมือไปผนึกมือซ้ายของจิ๋งจิ่วเอาไว้อีกครั้ง จากนั้นกระทืบเท้าลงไป เมฆกระบี่กระจายตัว จากนั้นก้มมองลงไปยังพื้นเบื้องล่าง
สายตาเขากวาดมองไปยังหมู่เขาด้านล่าง เป็นเหมือนดั่งกระบี่ยักษ์ที่แฝงเอาไว้ด้วยแรงกดดันอันมหาศาล จากนั้นส่งเสียงอืมออกมาเสียงหนึ่ง
เสียงอืมนี้เย็นชา โหดเหี้ยม ดูแคลน ลากเสียงยาวเล็กน้อย สุดท้ายตวัดหางเสียงขึ้นไป แสดงความดูถูกและการท้าทายออกมาอย่างชัดเจน
คนที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินเฉาเทียนอยู่ที่นี่ เหล่าปีศาจไหนเลยยังจะกล้ารั้งอยู่อีก พวกมันต่างคุกเข่ายอมศิโรราบ ไม่กล้าเป็นศัตรู ปีศาจบางตัวรีบมุดลงไปใต้ดิน หลบหนีไปตามเส้นปราณแผ่นดินด้วยกลัวจะถูกกระบี่ฟันตาย
เมฆกระบี่กลับมารวมตัวกันใหม่ แอบซ่อนร่างของทั้งสองคนเอาไว้ในท้องฟ้า
จิ๋งจิ่วคิดถึงภาพจัวหรูซุ่ยยืนพิงผนังอย่างเกียจคร้าน ในใจรู้สึกเสียดาย จากนั้นกล่าวว่า “ศิษย์ของเจ้าคนนั้นไม่เลว เพียงแต่นับวันจะยิ่งเหมือนเจ้าเข้าไปทุกที”
หลิ่วฉือกล่าวอย่างเฉยชา “ศิษย์เหมือนอาจารย์มีปัญหาตรงไหน?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เจ้าเคยชินกับการเตรียมการทุกอย่างให้พร้อมค่อยลงมือ เหมือนอย่างในอดีต แบบนั้นไม่ได้ ก็เหมือนกับวิถีของจงโจว มันไม่มีความเด็ดขาด”
คำวิจารณ์นี้ตรงไปตรงมา โดยเฉพาะที่บอกว่าเหมือนวิถีของจงโจว สำหรับศิษย์ชิงซานแล้วนี่คือเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้
หลิ่วฉือกระแทกเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ “อย่างนั้นท่านมาเป็นเจ้าสำนัก?”
จิ๋งจิ่วกล่าวอย่างไม่ลังเล “ไม่เอา”
หลิ่วฉือกล่าวว่า “อย่างนั้นท่านก็อย่าพูดมาก”
ท้องฟ้าพลันเงียบสงบขึ้นมา
ไกลออกไปมีเสียงร้องของห่านป่าดังขึ้น
……
……
เดินทางผ่านอวี้จวิ้น แล้วก็ผ่านฮว่าหยาง แม่น้ำจั๋วที่ัตัดผ่านมณฑลหนานเหอเป็นเหมือนดั่งเส้นโคลน ชิงซานอยู่เบื้องหน้า
แผ่นดินพลันยกตัวสูงขึ้น ยอดเขาจำนวนนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมา ไอหมอกไหลทะลักออกจากหมู่ยอดเขา เมื่อมาถึงหน้าภูเขาก็กลายเป็นก้อนเมฆ กลืนกินเมืองทั้งเมืองเอาไว้
เมื่อมองจากบนฟ้า เมฆหมอกเหล่านั้นดูคล้ายแถบผ้าสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วน พลิ้วไหวอยู่ระหว่างหมู่ยอดเขาเขียวขจี ดูงดงามเป็นยิ่งนัก
หลังจากไป๋เจ่ากลับมาฝึกวิชาอีกครั้ง ตรงแขนของนางก็มีแถบผ้าสีขาวห้อยตกลงมา เวลาที่พุ่งทะยานออกไปดูช่างอ่อนช้อย คล้ายดั่งเซียนจริงๆ อย่างไรอย่างนั้น
องค์หญิงแคว้นฉินก็เหมือนจะแต่งกายเช่นนี้
จิ๋งจิ่วพลันคิดขึ้นมาได้ว่าในดินแดนแห่งความฝันก็เหมือนจะมีหม้อไฟอยู่เช่นกัน แต่กลับไม่รู้ว่ารสชาติเป็นอย่างนั้น จึงกล่าวว่า “ข้าจะลงไปกินหม้อไฟ”
หลิ่วฉือเลิกคิ้วพูดอะไรไม่ออก ในใจครุ่นคิดว่าในมือท่านกำยันต์เซียนเอาไว้อยู่ ชิงซานอยู่ตรงหน้า แต่ไม่ยอมรีบกลับไป กลับยังจะกินหม้อไฟอีก?
ในเมืองอวิ๋นจี๋มีเหลาสุราอยู่หลายแห่ง แต่เหลาสุราที่มีห้องส่วนตัวแล้วขายหม้อไฟด้วยกลับมีอยู่ไม่มาก ดังนั้นจิ๋งจิ่วจึงยังคงพาหลิ่วฉือกลับไปร้านเดิมร้านนั้น
เถ้าแก่ของเหลาสุราได้ป่วยตายไปแล้ว ตอนนี้ผู้ที่รับช่วงต่อคือบุตรชายคนที่สาม การตกแต่งภายในเหลาสุราเองก็ดูเก่าเป็นอย่างมากเช่นกัน จึงได้ชื่อว่าเป็นร้านเก่าแก่ที่มีชื่อเสียง
ความแตกต่างระหว่างผู้บำเพ็ญพรตและคนธรรมดาก็คือความรู้สึกสิ้นหวังและเสียใจที่เกิดขึ้นระหว่างการไหลไปของเวลา
หม้อยวนยางวางอยู่บนโต๊ะ ผักและหัวไชเท้าที่เรียบง่ายวางอยู่ด้านข้าง เถ้าแก่หยิบเอาใบไม้ทองคำไปเดินลงไปจากเหลาสุรา
เขาคิดถึงเรื่องราวที่พ่อของเขาเคยเล่าให้ฟังหลายรอบเหล่านั้น หอบหายใจหนักๆ อยู่สิบกว่าครั้งถึงจะค่อยๆ ได้สติขึ้นมา จากนั้นโบกมือเพื่อบอกให้ผู้ดูแลปิดประตู ไม่รับแขกอีก
ที่แท้อาจารย์เซียนชื่นชอบกินหม้อไฟของร้านตัวเองจริงๆ
……
……
น้ำแกงสีแดง ยังคงเดือดพล่าน น้ำแกงสีขาวใกล้จะเหือดแห้ง
จิ๋งจิ่วมิได้ขยับตะเกียบ หลิ่วฉือมิได้รู้สึกแปลกใจ ในอดีตตอนที่กินหม้อไฟอยู่บนยอดเขาซั่งเต๋อก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน — เมื่อบำเพ็ญเพียรนานวันขึ้น หม้อไฟที่จิ๋งจิ่วกินก็ยิ่งจืดขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่กินอีก มีเพียงตอนฤดูหนาว หยวนฉีจิงจะใช้อาหารสดใหม่จากจังหวัดเล่อหลางมาเป็นวัตถุดิบในการกินหม้อไฟ เขาถึงจะขยับตะเกียบบ้างเล็กน้อย
น้ำแกงใกล้จะแห้งแล้ว หม้อไฟเองก็ใกล้จะกินเสร็จแล้ว ถึงเวลาที่ต้องคุยธุระแล้ว
“ตอนนั้นเขาใช้ร่างของศิษย์เผ่าหมิงหนีออกมาจากคุกกระบี่ แล้วถูกเจ้าล่าเยวี่ยสกัดเอาไว้ได้ที่นี่ จากนั้นก็ถูกศิษย์แซ่เมิ่งคนหนึ่งสังหาร แต่ความจริงแล้วนั่นเป็นการฉวยโอกาสหลบหนีออกไป”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ศิษย์แซ่เมิ่งผู้นั้นถูกขังอยู่บนยอดเขาซั่งเต๋อมานานขนาดนี้ สืบได้อะไรบ้างแล้วหรือยัง?”
หลิ่วฉือกล่าวว่า “เขาบอกว่าได้รับคำสั่งมาจากศิษย์น้องฟาง”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เจ้าคิดอย่างไร?”
หลิ่วฉือกล่าวว่า “คอยดูต่อไปก่อน”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกแล้ว เจ้าเคยชินกับการต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อมแล้วค่อยลงมือ แบบนี้ไม่ได้”
หลิ่วฉือกล่าวว่า “ถ้าท่านทำได้ท่านก็มา ตำแหน่งเจ้าสำนักข้ายกให้ท่าน”
จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบ
หลิ่วฉือกล่าวว่า “อย่างนั้นท่านก็อย่าคิดมาก”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เจ้าไม่คิดจะทำอะไร”
“ในเรื่องราวนี้ พวกเราสามคนคือตัวร้ายที่รังแกอาจารย์ทรยศสำนัก ศิษย์น้องฟางอยากจะฆ่าพวกเราเพื่อล้างแค้นให้อาจารย์ มันผิดตรงไหน?”
หลิ่วฉือกล่าวอย่างเฉยชาว่า “เมื่อเจอกับเรื่องที่มีเหตุผลเช่นนี้ ข้ายังจะทำอะไรได้อีก?”
“เจ้าสามารถทำได้หลายเรื่อง อย่างเช่นเมื่อสืบพบว่าไม้วิญญาณอัสนีหลุดออกมาจากยอดเขาปี้หู เจ้าก็ฆ่าเหลยพั่วอวิ๋นปิดปาก หรืออย่างเช่นต่อให้มีไม้วิญญาณอัสนี เขาก็ไม่มีทางคลายข่ายพลังกระบี่ของข้าได้ มีเพียงเจ้าที่ทำได้”
จิ๋งจิ่วยกมือซ้ายขึ้นมา มองดูเจตน์กระบี่มีห่อหุ้มอยู่ด้านบนเป็นชั้นๆ ก่อนกล่าวถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “เจ้าเป็นคนปล่อยเขา?”
หม้อไฟใกล้จะแห้งแล้วจริงๆ น้ำแกงสีขาวกลายเป็นควันจนหมด อบอวลไปทั่วทั้งห้อง จากนั้นไหลท่วมไปทั้งเหลาสุรา
บนถนนพลันมีเสียงอุทานตกใจดังขึ้นมา ทุกที่ภายในเมืองอวิ๋นจี๋เต็มไปด้วยเมฆหมอก เหล่านักท่องเที่ยวบนถนนต่างพากันตื่นเต้น แต่ชาวบ้านที่อยู่ที่นี่มาชั่วชีวิตกลับรู้สึกหงุดหงิดรำคาญ เพราะเมฆหมอกบดบังสายตา ทำให้มองถนนหนทางไม่ชัด สะดุดล้มชนกันได้ง่าย แล้วก็ยังมองเห็นภายในซึ้งนึ่งไม่ชัดเจน ทำให้ไม่สามารถรู้ได้ว่าซาลาเปาสุกแล้วหรือยัง
จุดยืนไม่เหมือนกัน ย่อมต้องมีความรู้สึกไม่เหมือนกัน
ทั้งเซียนและคนธรรมดาล้วนแต่เป็นเช่นนี้
หลิ่วฉือนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะกล่าวขึ้นมาว่า “ท่านมาเป็นเจ้าสำนัก?”
จิ๋งจิ่วยังคงกล่าวอย่างไม่ลังเล “ไม่เอา”
“อย่างนั้นท่านจะถามมากมายเช่นนี้ทำไม?”
หลิ่วฉือสะบัดแขนเสื้อ พาจิ๋งจิ่วหายตัวไปจากเหลาสุรา
……………………………………………………………