มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 160 ยากจะลืม
เรื่องของทางสำนักชิงซานได้ดึงดูดความสนใจของคนจำนวนมากเอาไว้ สายตาหลายร้อยคู่ต่างมองไปยังมือซ้ายของจิ๋งจิ่ว
มือซ้ายของเขากำแน่น มิใช่เป็นเพราะตื่นเต้น แล้วก็มิใช่เป็นเพราะโกรธเกรี้ยว
ทุกคนต่างมองเห็นภาพเขาชิงกระถางสัมฤทธิ์ในดินแดนแห่งความฝันของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง จึงพอจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้
ข่าวไป๋เชียนจวินถูกเล่นงานจนบาดเจ็บสาหัสได้แพร่กระจายออกไปแล้ว ทุกคนจึงยิ่งมั่นใจว่ายันต์เซียนวัฒนะน่าจะอยู่ในมือซ้ายของจิ๋งจิ่ว
ทุกคนรู้สึกตกใจและไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจิ๋งจิ่วจึงไม่เก็บยันต์เซียนให้ดี หากแต่กำอยู่ในมือแบบนี้ หรือเขาไม่กังวลว่าจะเกิดเรื่อง?
ในมุมมุมหนึ่งพลันมีเสียงที่ฟังดูทุ้มต่ำดังขึ้นมา “จิ๋งจิ่วทำแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าผิดกฎการประลอง หากบอกแต่แรกว่าทำแบบนี้ได้ มีใครบ้างที่ไม่คิดจะบรรลุสภาวะ?”
คนที่พูดคือผู้อาวุโสของสำนักคุนหลุนผู้หนึ่ง ที่เขาพูดก็คือเรื่องที่จิ๋งจิ่วชิงเอากระถางสัมฤทธิ์มา
ยอดฝีมือของต้าเจ๋อผู้หนึ่งยิ้มเยาะพลางกล่าวว่า “ต่อให้เจ้าคิด หรือว่าเจ้าจะสามารถทำได้?
เหล่าสำนักที่ใจเอนเอียงไปทางสำนักจงโจวย่อมไม่พลาดโอกาสที่จะได้ถกเถียงกับสำนักที่สนิทสนมกับชิงซาน พวกเขาต่างแสดงความคิดเห็นออกมา บอกว่าการที่จิ๋งจิ่วได้ยันต์เซียนมาด้วยวิธีแบบนี้ มันทำให้ผู้คนรู้สึกไม่อาจยอมรับได้จริงๆ สถานการณ์ค่อนข้างวุ่นวาย ดูแล้วเหมือนจะมีเรื่องราวเกิดขึ้น
ในเวลานี้เอง บนแท่นชมการประลองของสำนักชิงซานมีคนส่งเสียงอืมขึ้นมา
เสียงอืมนี้ดังออกมาจากในจมูก ฟังดูนุ่มนวล แต่มิน่าฟัง แผ่กลิ่นอายเกียจคร้านเฉื่อยช้า แต่กลับแฝงเอาไว้ความรู้สึกยั่วยุ
ทุกคนต่างได้ยินเสียงอืมนี้ รู้สึกไม่ค่อยสบาย จึงเงยหน้ามองไป พบว่าคนพูดนั้นคือจัวหรูซุ่ย
จัวหรูซุ่ยยกหนังตาขึ้น กวาดตามองไปบนใบหน้าของคนเหล่านั้นอย่างช้าๆ มิได้พูดอะไร
แต่ทุกคนต่างรู้ว่าเสียงอืมของเขาเสียงนั้นก็คือคำพูดติดปากอันเลื่องชื่อของสำนักชิงซาน
พวกเจ้าอยากตายหรือ?
ไม่มีใครอยากตาย
เมื่อคิดถึงชื่อเสียงของจัวหรูซุ่ยและความดุดันของเขาในดินแดนแห่งความฝัน ทุกคนรวมไปถึงผู้อาวุโสของสำนักคุนหลุนผู้นั้นต่างหุบปากเงียบ หุบเขาหุยอินตกอยู่ในความเงียบ
จิ๋งจิ่วใช้วิธีเช่นนี้เอายันต์เซียนมาได้ สำนักจงโจวจะคิดว่าถูกต้องตามกฎหรือไม่ อย่างไรเสียก็มิใช่สิ่งที่พวกเขาจะตัดสินใจได้
เชื่อว่าในเวลานี้เหล่านักพรตเจ้าสำนักน่าจะกำลังคุยกันถึงเรื่องนี้อยู่ในส่วนลึกของเขาอวิ๋นเมิ่ง
……
……
จิ๋งจิ่วคิดในใจว่าหลิ่วฉือและจัวหรูซุ่ยนั้นช่างคล้ายคลึงกันจริงๆ
เขาย่อมไม่สนใจคนเหล่านั้น หากแต่กล่าวกับหนานว่างว่า “ที่ข้ายืนกราน ข้าย่อมต้องมีเหตุผลของข้า”
หนานว่างกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ถึงแม้ข้อเสนอของเจ้าจะเหลวไหลถึงเพียงนี้อย่างนั้นหรือ?”
สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่เหมือนกับที่เซ่อเซ่อคิดเอาไว้ เรื่องที่จิ๋งจิ่วและหนานว่างคุยกันมิใช่เรื่องที่จะมอบยันต์เซียนให้แก่สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย
เป็นเพราะเหลียนซานเยวี่ย หนานว่างจึงไม่ชื่นชอบสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยมาโดยตลอด แต่มิได้หมายความว่าจะไม่สนใจเรื่องแบบนี้
หากเป็นไปได้ จิ๋งจิ่วไม่มีทางที่จะมาพูดคุยกับหนานว่างแน่นอน แล้วก็ยิ่งไม่มีทางที่จะเข้าใกล้นาง แต่เรื่องนี้มันค่อนข้างยุ่งยาก เขาจำเป็นต้องรีบพบหลิ่วฉือให้เร็วที่สุด
“ถูกต้อง” เขากล่าว
หนานว่างมองเขาอย่างเย็นยะเยือก ไม่ได้พูดอะไรอีก
ในท้องฟ้าที่อยู่ด้านหลังนางมีสายพิณเล็กๆ หลายสิบสายปรากฏขึ้นมา กระบี่พิณวิจิตรแหวกอากาศพุ่งออกไป ไม่รู้ไปยังที่ใด
ภาพเหตุการณ์นี้ได้ดึงความสนใจจากหลายๆ คนเอาไว้
หนานว่างกล่าวกับฟางจิ่งเทียนว่า “ข้ากับจิ๋งจิ่วจะไปก่อน”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ กระบี่พิณวิจิตรที่แหวกอากาศพุ่งออกไปได้วกกลับมาใหม่ สายพิณเล็กๆ หลายสิบสายปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ในตอนที่สายพิณถูกเก็บไปครั้ง ร่างของนางและจิ๋งจิ่วอยู่บนยอดเขาที่อยู่เบื้องหน้าแล้ว
ฟางจิ่งเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น ตัวเขาเองก็มีได้อยากรั้งอยู่ที่นี่อีก จึงสั่งให้ศิษย์ชิงซานมารวมตัวกัน จากนั้นขี่กระบี่ออกไป
……
……
ที่ว่าออกไปนั้นมิใช่ออกไปจากเขาอวิ๋นเมิ่ง หากแต่ออกไปจากหุบเขาหุยอิน
พอได้ยันต์เซียนก็จากไป แบบนั้นมันดูจะข่มเห่งน้ำใจคนอื่นไปเสียหน่อย แล้วก็ดูไม่ค่อยมีมารยาท ก็เหมือนอย่างความเห็นที่นกชิงเหนี่ยวเคยมีให้แก่จิ๋งจิ่ว
ลำแสงกระบี่สว่างวาบ ศิษย์ชิงซานกลับมายังเรือนลอกคราบ
ฟางจิ่งเทียนสีหน้าเคร่งเครียด เขาเดินไปตามทางเดิน ไปยังด้านหลังหน้าผา มาถึงหน้าห้องของจิ๋งจิ่ว
หนานว่างนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าประตูห้อง
สายพิณกระบี่ที่มองไม่เห็นสายวางกระจายอยู่รอบๆ ล้อมห้องนี่เอาไว้
ฟางจิ่งเทียนมองเห็นภาพนี้ จึงกล่าวถามว่า “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หนานว่างกล่าว “เขาไม่ยอมพูด”
ฟางจิ่งเทียนกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าเพิ่งจะรู้ว่าเขาคิดจะเอายันต์เซียนมอบให้แก่สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยจริงๆ”
หนานว่างกล่าว “ข้าไม่มีความเห็น”
“ใครอนุญาตให้เขาตัดสินใจด้วยตัวเอง?”
ฟางจิ่งเทียนกล่าวอย่างโมโหว่า “ยันต์เซียนวัฒนะเป็นของวิเศษให้นักพรตไป๋เก็บเอาไว้ มีความสำคัญต่อสำนักอย่างมาก อย่าว่าแต่เขาเลย ต่อให้เป็นเจ้าหรือข้าก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเช่นกัน!”
หนานว่างมองดูเขาพลางกล่าวหยอกล้อว่า “หรือท่านจะเอาอย่างเจี๋ยนหรูอวิ๋น ไล่จิ๋งจิ่วออกจากสำนัก?”
ในงานชุมนุมทดสอบกระบี่เมื่อหลายปีก่อน จิ๋งจิ่วได้กลายเป็นศิษย์อัจฉริยะที่ยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานคอยแอบฟูมฟักอย่างเงียบๆ และเขาเองก็มิได้ทำให้ผิดหวัง คว้าที่หนึ่งในงานประลองวิถีพรตของงานชุมนุมเหมยฮุ่ย แล้วตอนนี้ยังได้ที่หนึ่งในงานชุมนุมแสวงมรรคาอีก ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นศิษย์หลานของนักพรตจิ่งหยาง เป็นผู้อาวุโสของยอดเขาเสินม่อ นอกจากเจ้าสำนักและกฎแห่งกระบี่หยวนฉีจิงแล้ว ยังจะมีใครทำอะไรเขาได้อีก?
สีหน้าของฟางจิ่งเทียนยิ่งดูแย่ เขากล่าวว่า “ศิษย์น้อง ข้าจำได้ว่าเจ้าไม่ชอบยอดเขาเสินม่อมาโดยตลอด”
หนานว่างกล่าว “ตอนนี้ข้าก็ไม่ชอบเช่นกัน แต่ข้าเพียงแค่บอกความจริงให้ท่านฟัง”
ฟางจิ่งเทียนนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ให้ข้าเข้าไปคุยกับเขา”
หนานว่างกล่าว “ตอนนี้ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าไป”
ฟางจิ่งเทียนกล่าว “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หนานว่างหลับตา ไม่ได้สนใจเขาอีก
ฟางจิ่งเทียนจนปัญญา จึงสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
หนานว่างลืมตามองดูสายลมและก้อนเมฆที่อยู่ด้านนอกรั้ว กล่าวถามว่า “ยันต์เซียน… มีปัญหาหรือ?”
เสียงของจิ๋งจิ่วดังขึ้นที่ด้านหลังนาง “ใช่”
เขามองดูกำปั้นข้างซ้ายของตนเอง ยันต์เซียนอยู่ด้านใน ถึงแม้จะถูกมือของเขากำเอาไว้ แต่ก็ยังคงมีพลังเซียนจางๆ แผ่กระจายออกมาข้างนอกอยู่ตลอดเวลา
ยังดีที่พลังเซียนนั้นจางเป็นอย่างมาก น่าจะมีเพียงเขาและสัตว์เทพบางตัวที่ได้กลิ่นของมัน
ก่อนจะเข้าไปในดินแดนแห่งความฝัน เขาก็เคยทำการคำนวนเอาไว้หลายครั้ง ผลลัพธ์ล้วนแต่ไม่ค่อยดี
ในตอนนั้นเขาก็รู้แล้วว่างานชุมนุมแสวงมรรคาครั้งนี้อาจจะมีปัญหาบางอย่าง จึงได้ให้กู้ชิงกลับไปก่อน
ตอนนี้ดูแล้วเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพียงแต่ในเมื่อเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้คิดมากกว่านี้มันก็ไม่มีประโยชน์
เขาผลักประตูห้อง หยิบเอาเก้าอี้ไม้ไผ่ออกมานอน
เมื่อรับรู้ได้ถึงความเคลื่อนไหวทางด้านหลัง หนานว่างจึงเลิกคิ้วเล็กน้อย ครุ่นคิดในใจว่าภาพแบบนี้มันดูไม่เหมาะสม ดังนั้นนางจึงนั่งขัดสมาธิลอยขึ้นไปบนอากาศ อยู่สูงกว่าเก้าอี้ไม้ไผ่ครึ่งฉื่อ
บริเวณหน้าผาด้านนอกรั้วมีเสียงดังขึ้นมา คล้ายมีคนกำลังปีนหน้าผาขึ้นมา
หนานว่างและจิ๋งจิ่วมิได้ขยับ เพราะรับรู้ได้ว่าคนที่มาคือใคร
จิ๋งจิ่วยังคงนอนอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่
หนานว่างยังคงลอยอยู่กลางอากาศ
หลิ่วสือซุ่ยปีนขึ้นมาบนยอดเขา เมื่อเห็นภาพแปลกประหลาดเช่นนี้ เขาจึงเหม่อลอยไปครู่ก่อนจะได้สติขึ้นมา
“คารวะอาจารย์อาหนาน คารวะคุณชาย”
เขาคุกเข่าลงไปกับพื้นพลางโขกศีรษะไปหกที
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ที่ให้เจ้ามาก็เพราะอยากดูว่าเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง แต่เห็นเจ้าปีนผาขึ้นมาได้สบายๆ เช่นนี้ ดูแล้วก็น่าจะไม่เป็นอะไร อย่างนั้นก็กลับไปเถอะ”
หลิ่วสือซุ่ยงุนงง ในใจครุ่นคิดว่าตอนอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน ท่านตะโกนบอกข้าว่ามิให้ไปไหนไกลไม่ใช่หรือ ไม่ง่ายเลยกว่าที่ตนเองจะหลบออกมาที่นี่ได้ แล้วทำไมถึงจะให้กลับไปแล้วล่ะ? คนซื่อไม่ได้หมายความว่าไม่ฉลาด เขาคิดขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วว่าคุณชายจะต้องมีเรื่องอย่างแน่นอน ไม่แน่อาจจะเจออันตรายอะไรบางอย่าง ไม่อย่างนั้นเหตุใดอาจารย์อาหนานถึงต้องมาเฝ้าอยู่ที่นี่”
เขากล่าวว่า “ข้าจะอยู่ปกป้องคุณชายขอรับ”
จิ๋งจิ่วมองเขา
หลิ่วสือซุ่ยเข้าใจความหมายของเขา แต่ก็ยังลังเล
“ข้าจะเฝ้าเอง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง รีบกลับไปยังที่ของเจ้าเถอะ”
หนานว่างกล่าวด้วยสีหน้าขึงขังเล็กน้อยว่า “ลูกศิษย์ที่เดิมควรจะสำนึกผิดอยู่ในคุกกระบี่กลับมาเดินฉุยฉายอยู่ข้างนอก หากคนอื่นรู้เข้า แล้วอาจารย์ของชิงซานจะสั่งสอนลูกศิษย์ได้อย่างไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เจ้าสำนักเป็นคนเรียกเขามา”
หลิ่วสือซุ่ยรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดว่าเป็นดั่งที่อาจารย์อาหนานว่าจริงๆ คุณชายได้ยันต์เซียนมาแล้ว ตัวเองควรจะรีบกลับไปยังวัดจะดีกว่า
ในขณะที่เตรียมจะจากไป เขาเหลือบมองเห็นว่าเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวนั้นสึกหรอไปไม่น้อยแล้ว จึงอดพูดขึ้นมาไม่ได้ว่า “ตรงนั้นข้ามีปลูกไม้ไผ่เอาไว้บ้าง ให้ข้าทำตัวใหม่ให้ไหมขอรับ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ก็ดี”
หลิ่วสือซุ่ยปีนรั้ว ก่อนจะไต่หน้าผากลับลงไปทางเดิม
เมื่อคิดถึงบทสนทนาก่อนหน้า ไม่รู้เพราะเหตุใดหนานว่างจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ นางส่งเสียงเหอะเย็นยะเยือก พลางกล่าวว่า “แล้วศิษย์อีกคนของเจ้าไปอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ?”
จิ๋งจิ่วรู้ว่านางหมายถึงกู้ชิง จึงกล่าวว่า “ข้าให้เขากลับไปก่อนแล้ว”
หนานว่างเลิกคิ้ว กล่าวว่า “เจ้ารู้อยู่แล้วว่าตัวเองจะชนะตั้งแต่ก่อนเข้าไป แล้วก็รู้ว่ายันต์เซียนมีปัญหาอย่างนั้นหรือ?”
จิ๋งจิ่วส่งเสียงอืม
หนานว่างนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “เจ้าสำนักให้หลิ่วสือซุ่ยปลอมเป็นศิษย์สำนักอู๋เอินเหมินเข้าร่วมการประลอง แล้วยังมาบัญชาการด้วยตัวเองอีก นี่ก็คงเป็นเพราะเห็นว่าเจ้าจะเอาชนะได้ใช่ไหม?”
จิ๋งจิ่วส่งเสียงอืมอีกครั้ง
หนานว่างมองดูทิวทัศน์ด้านนอกหน้าผา คล้ายกำลังคิดอะไรอยู่
จิ๋งจิ่วกล่าวถาม “ทำไมถึงยังไม่กลับมาอีก?”
ที่เขาถามก็คือเจ้าสำนักชิงซานหลิ่วฉือ
หนานว่างกล่าวว่า “เจ้าไม่ทำตามกฎ ย่อมต้องมีคนไม่ยอมรับเรื่องที่เจ้าเอายันต์เซียนมาได้ เจ้าสำนักกำลังจัดการเรื่องเหล่านี้ให้เจ้าอยู่ ไหนเลยจะกลับมาเร็วขนาดนั้นได้”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “หากข้าคิดไม่ผิด เขาจะกลับมาเร็วกว่าที่คิดเอาไว้”
หนานว่างกล่าวว่า “ปัญหาของยันต์เซียน เจ้าจะยอมพูดแต่กับเจ้าสำนักจริงๆ หรือ? กระทั่งข้าก็ไม่เชื่อใจ?”
นางรู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์ เมื่อคิดว่าตนเองเป็นถึงเจ้าแห่งยอดเขาชิงหรง แต่กลับต้องมานั่งเฝ้าศิษย์หนุ่มแบบนี้ นางก็ยิ่งรู้สึกโมโหขึ้นมา
จิ๋งจิ่วมองดูแผ่นหลังของนาง รู้ว่านางกำลังโกรธอยู่
เขาคิดถึงก้อนหินก้อนใหญ่บนยอดเขาชิงหรงเมื่อหลายปีก่อนก้อนนั้น กับหญิงสาวดื้อรั้นที่นั่งดื่มสุราอยู่บนก้อนหิน หรือบางครั้งก็นั้งอยู่บนต้นไม้ที่อยู่ด้านหลังก้อนหินใหญ่ก้อนนั้น มุมปากมีรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นมา
สำหรับเขาแล้ว นี่เป็นอารมณ์ที่พบเห็นได้น้อยมาก
จากนั้นเขาคิดถึงบทเพลงที่หญิงสาวผู้นั้นมักจะร้องออกมาหลังจากที่ดื่มจนเมามาย รอยยิ้มพลันหายไปทันที
……
……
ในส่วนที่ลึกที่สุดของหุบเขาลึกลับแห่งหนึ่งในเขาอวิ๋นเมิ่งมีถ้ำแห่งหนึ่งแอบซ่อนไว้อยู่
ข่ายพลังปิดกั้นที่อยู่ในถ้ำมีความร้ายกาจเป็นอย่างมาก ต่อให้เป็นยอดฝีมือขั้นทะลวงสวรรค์ของชิงซานก็ทนรับมืออยู่ได้เพียงชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น
มือข้างหนึ่งคีบไข่มุกทะลวงสวรรค์วางไว้ตรงกลางโต๊ะหิน
ลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนสาดกระจายออกมาจากในไข่มุก ส่องสว่างไปบนผนังทั้งสี่ด้านภายในถ้ำ
เพดานของถ้ำแห่งนี้เป็นทรงโค้ง ภาพเหล่านั้นเชื่อมต่อกัน ดูกว้างใหญ่ไพศาล
ภาพเหล่านั้นคือช่วงเวลาหลายสิบปีของผู้แสวงมรรคาในดินแดนแห่งความฝันของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง
ต่อให้เป็นหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลมากที่สุดหรือสีหน้าและความเคลื่อนไหวที่ละเอียดเล็กน้อยมากที่สุดก็ล้วนแต่อยู่ในภาพเหล่านี้
ภาพเคลื่อนไหวไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นแถบผ้าสีสันต่างๆ จำนวนนับไม่ถ้วน แต่ในม่านตาที่ไร้ความรู้สึกคู่นั้นกลับไม่ได้ต่างอะไรกับภาพที่เกิดขึ้นจริงๆ ตรงหน้า
นักพรตไป๋ไม่จำเป็นต้องถามชิงเหนี่ยวว่าเกิดอะไรขึ้นในดินแดนแห่งความฝัน
ขอเพียงนางยินดี นางสามารถตรวจดูโลกนั้นว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้ทุกเมื่อ
ชิงเหนี่ยวไม่มีทางที่จะปิดบังเรื่องใดๆ กับนางได้
นักพรตไป๋ไม่ได้ดูผู้แสวงมรรคาคนอื่น นางดูเพียงแค่จิ๋งจิ่วและชิงเหนี่ยว
นางมองดูทารกในพระราชวังแคว้นฉู่ผู้นั้นถือกำเนิดออกมาโดยไม่ร้องไห้ มองดูเขาลุกขึ้นยืน มองดูฟ้ามองดูดิน มองดูเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ บำเพ็ญเพียรไม่สนใจเรื่องทางโลก
มั่วกงเข้ามาในวัง จิ๋งจิ่วลงมือเป็นครั้งแรก
“เร็วมาก” นักพรตไป๋พูดพึมพำกับตัวเอง “แต่ยังเร็วไม่พอ”
ภาพเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็มาถึงช่วงสุดท้าย
ในเขาปู้โจว ใบไม้สีแดงทั่วทั้งภูเขาเหมือนเปลวเพลิง บันไดหินเป็นเหมือนเข็มขัดหยก ฮ่องเต้แคว้นฉินเดินขึ้นไปบนบันได
ยอดฝีมือของแคว้นฉินจำนวนหลายสิบคนถูกฟันจนกลายเป็นชิ้นเนื้อ ฮ่องเต้แคว้นฉินได้รับบาดเจ็บสาหัส มือของจิ๋งจิ่วยังคงอยู่บนด้านกระบี่
ในตอนนั้นชิงเหนี่ยวมองดูภูเขา มองดูใบไม้สีแดง มองดูฮ่องเต้แคว้นฉิน คล้ายตั้งใจ แล้วก็คล้ายไม่ตั้งใจ จึงพลาดภาพเหตุการณ์สำคัญๆ บางอย่างไป
ตอนนี้ภาพเหตุการณ์เหล่านี้ล้วนแต่ปรากฏขึ้นในดวงตาของนักพรตไป๋
“เร็วพอแล้ว” นางกล่าว
ภายในส่วนลึกของถ้ำค่อยๆ มีดวงตาอสูรขนาดใหญ่ประมาณจานหยกปรากฏขึ้นมา ดูดุร้ายเย็นชา เต็มไปด้วยจิตสังหาร
“เจ้าไปก่อความวุ่นวายในคุกสะกดมาร ชางหลงต้องมาตายเพราะเจ้า ผ่านไปไม่กี่ปีเจ้ายังมาเอาของวิเศษของจงโจวของข้าอีก...”
นักพรตไป๋มองดูจิ๋งจิ่วที่กำลังเหยียบอากาศทะยานออกไปภายในภาพ พลางกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “คิดว่าข้าจะลืมอย่างนั้นหรือ?”
…………………………………………………………………………