มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 156 เทวทูตปรากฏตัว
สายลมพัดเข้ามาในวัด หนาวเย็นเล็กน้อย
ฮ่องเต้แคว้นฉินมองดูจิ๋งจิ่วที่อยู่ตรงหน้า ใบหน้าขาวซีดเป็นอย่างยิ่ง ในเวลานี้เขาใจเย็นขึ้นบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แคว้นฉู่ถูกทำลายไปเป็นเวลาสามสิบกว่าปี เพลิงไหม้ในพระราชวังครั้งนั้นได้ถูกผู้คนลืมเลือนไปแล้ว ใครจะไปคิดบ้างว่าคนผู้นี้จะยังมีชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นยังมาซ่อนตัวอยู่ในวัดบนเขาปู้โจว!
วัดเล็กๆแห่งนี้เป็นที่พำนักของเทวทูต นอกจากเขาซึ่งเป็นเจ้าแห่งใต้หล้าที่มีสิทธิ์ในการถามถึงกระถางสัมฤทธิ์แล้ว ก็ไม่มีผู้ใดที่จะสามารถก้าวข้ามธรณีประตูนั้นมา
เขาจ้องมองดวงตาของจิ๋งจิ่ว กล่าวถามด้วยความรู้สึกเหลวไหลว่า “เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาอยู่ที่นี่!”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าอยู่ที่นี่มาโดยตลอด”
ฮ่องเต้แคว้นฉินโกรธเกรี้ยวจนถึงขีดสุด เขากล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้ หลายปีมานี้ข้าส่งทหารจำนวนนับไม่ถ้วนมาที่นี่ ไม่มีใครสามารถกลับไปเสียนหยางได้แม้แต่คนเดียว แล้วทำไมท่านเทวทูตถึงปล่อยให้เจ้าเข้ามา!”
ในเวลานี้จิ๋งจิ่วถึงได้รู้ว่าเจ้าพวกที่คอยมารบกวนการบำเพ็ญเพียรและรบกวนความสงบของตนเองนั้นมาจากที่ใด เขากล่าวว่า “พวกเขาถูกข้าฆ่า”
ฮ่องเต้แคว้นฉินตกตะลึงไปอีกครั้ง เขามองดวงตาของจิ๋งจิ่วพลางกล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า “เจ้าเป็นคนฆ่า? อย่างนั้นเทวทูตล่ะ?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ที่นี่ไม่มีเทวทูต”
บนใบหน้าของฮ่องเต้แคว้นฉินเผยให้เห็นสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ เขามองไปรอบๆ วัดเล็กๆ แห่งนั้น แต่กลับมองไม่เห็นอะไรเลย
……
……
ในตอนนั้นจิ๋งจิ่วได้วางเพลิงในพระราชวัง อาศัยความวุ่นวายหลบหนีออกมาจากเมืองหลวงของแคว้นฉู่ มายังภูเขาปู้โจว
ผู้แสวงมรรคาคนอื่นบ้างต้องอาศัยข่าวลือ บ้างต้องอาศัยเบาะแสบางอย่างในการค้นหาว่ากระถางสัมฤทธิ์ที่เล่าลือกันใบนั้นอยู่ที่ใด แต่เขามีนกชิงเหนี่ยวคอยช่วยเหลือ ย่อมไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น
เมื่ออยู่ที่นี่ เขามองเห็นกระถางสัมฤทธิ์ แต่กลับมองไม่เห็นเทวฑูต
เวลายังมาไม่ถึง นี่เป็นแค่เพียงกระถางสัมฤทธิ์ธรรมดาใบหนึ่งเท่านั้น ไม่ว่าจะทำอะไรกับมัน มันก็มิได้มีปฏิกิริยาอะไร
หลังจิ๋งจิ่วตรวจสอบจนมั่นใจก็มิได้สนใจมันอีก แต่ก็ไม่ได้จากไปเช่นกัน หากแต่พักอาศัยอยู่ที่นี่ต่อไป
จากคำบอกเล่าของนกชิงเหนี่ยว ที่นี่น่าจะเป็นสถานที่หวงห้าม เช่นนั้นการที่ชิงเหนี่ยวหาร่องรอยของเขาไม่เจอ มันก็เป็นเรื่องที่สามารถอธิบายได้สำหรับโลกภายนอก
เขาอยู่ที่นี่มานานหลายปี พูดให้ถูกก็คือนอนมานานหลายปี
เขาตัดไม่ไผ่มาทำเป็นเก้าอี้ ในวันเวลาปกติก็นอนอยู่บนพื้นที่ว่างด้านนอกวัด เวลาที่มีฝนตกลงมาก็ย้ายเข้ามาในวัด แน่นอนว่าไม่ลืมที่จะเปิดประตูวัดเอาไว้
เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ ทั่วทั้งภูเขาเขียวขจี เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง ทั่วทั้งภูเขาเต็มไปด้วยใบไม้สีแดง ในตอนที่หิมะตกลงมา เขาก็เปลี่ยนเป็นชุดสีขาว ในช่วงฤดูร้อนยังมีสายธารที่สามารถทำให้ใจเย็นสบายขึ้นได้
ไม่ว่าจะฝนตกหิมะโปรย หรือว่าท้องฟ้าใสกระจ่าง ไม่ว่าจะนอนอยู่บนเก้าอี้ หรือว่าแช่เท้าอยู่ในลำธาร เขาก็ล้วนแต่กำลังบำเพ็ญเพียร
เขาอยู่ที่นี่แบบนี้มาหลายสิบปี เหมือนกับบนยอดเขาเสินม่อ เรียบง่ายจนกระทั่งน่าเบื่อ
เพียงแต่ในช่วงหลายปีมานี้มักจะมีคนเข้ามาที่วัดเป็นระยะๆ จากนั้นก็ถูกเขาฆ่าทิ้ง
เทวทูตยังคงไม่ได้ปรากฏตัว
กระถางสัมฤทธิ์ยังคงเป็นกระถางสัมฤทธิ์ใบนั้น
เขาเข้าใจอะไรบางอย่าง
ตอนที่ฮ่องเต้แคว้นฉินสังหารบัณฑิตแห่งแคว้นฉีในตอนนั้น เขาก็ยืนอยู่บนหน้าผามองดูเมืองเสียนหยาง
ด้วยสภาวะของเขาในตอนนั้น การจะสังหารฮ่องเต้แคว้นฉินนั้นค่อนข้างยากลำบาก แต่มิได้หมายความว่าจะทำไม่ได้
แต่เขาก็ไม่ได้ไปยังเสียนหยาง ถึงแม้ในตอนนี้สภาวะจะสูงกว่าแต่ก่อนแล้ว เขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะจากที่นี่ไป เพียงแต่รอคอยให้ฮ่องเต้แคว้นฉินปรากฏตัวอย่างเงียบๆ
เมื่อวานที่ด้านล่างเขาปู้โจวมีความเคลื่อนไหว เขารู้ว่าเวลามาถึงแล้ว
ในตอนที่ฮ่องเต้แคว้นฉินอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า จุดธูปทำสมาธิอยู่ที่ด้านล่างภูเขา เขาเองก็กำลังทำในสิ่งที่คล้ายๆ กัน
เขาไปอาบน้ำที่ริมธาร ใช้มือตัดหนวดเคราที่ยืดยาวออก เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่
ในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญพรตแต่กำเนิด เขาเฉยชากับเรื่องราวหลายๆ เรื่อง แต่เป็นเพราะว่าใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้มานานหลายสิบปี ในตอนที่กำลังจะออกไปก็ยังแสดงถึงความจริงจังอย่างที่ยากจะเห็นได้ในเวลาปกติออกมา
……
……
“เจ้าฉลาดจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะมานอนอยู่ที่นี่”
ฮ่องเต้แคว้นฉินจ้องมองดวงตาของเขา น้ำเสียงทุ้มต่ำโกรธเกรี้ยว “แต่เป็นไปได้อย่างไรที่ท่านเทวทูตยอมให้เจ้าทำเช่นนี้!”
“ข้าบอกแล้วไงว่าที่นี่ไม่มีเทวทูต” จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าแค่รอเจ้าอยู่ที่นี่”
เสียงของฮ่องเต้แคว้นฉินแข็งกร้าวขึ้นมา “รอสังหารข้า?”
“มิใช่เท่านี้”
มือของจิ๋งจิ่วกุมไปบนด้ามกระบี่
กระบี่เล่มนั้นสั้นเป็นอย่างมาก ฝักกระบี่ทำจากไม้ หรือว่าตัวกระบี่จะทำมาไม้เช่นเดียวกัน?
ม่านตาของฮ่องเต้แคว้นฉินหดเล็กลง เขาตะโกนเสียงแข็งกร้าวว่า “คุ้มครองฮ่องเต้!”
ก่อนที่จะตะโกนออกไป เท้าของเขาได้กระทืบไปบนพื้นอย่างแรง
เสียงปริแตกดังขึ้นมา
แผ่นหินแตกร้าว
แรงดีดกระแทกอันรุนแรงทำให้ร่างกายเขาลอยออกไปนอกวัด
เหมือนกับสายลมอันรุนแรงที่ม้วนหอบใบไม้ที่ร่วงตกลงมาอย่างไรอย่างนั้น
ยอดฝีมือของแคว้นฉินที่อยู่ด้านนอกวัดต่างเตรียมตัวอยู่ก่อนแล้ว ยอดฝีมือส่วนหนึ่งมาคุ้มกันอยู่ด้านหน้าฮ่องเต้ ยอดฝีมืออีกส่วนหนึ่งกระโจนเข้าไปหาจิ๋งจิ่ว
พลังอันแข็งแกร่งจำนวนนับไม่ถ้วนปกคลุมยอดเขาเอาไว้ ทั้งรุนแรงและน่ากลัว
เศษหินและฝุ่นควันที่ปลิวกระจายออกมาเหล่านั้นหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ
ยอดไม้ที่โยกไหวไปมาเบาๆ ก็หยุดนิ่งอยู่กลางสายลมเช่นเดียวกัน
พลังที่แข็งแกร่งเหล่านั้นดูคล้ายจะกลายเป็นเสาน้ำแข็งที่หยุดนิ่งอยู่ในห้วงของเวลา
ร่างเงาจำนวนหลายสิบร่างปรากฏขึ้นบนยอดเขา ดูแล้วคล้ายจะปรากฏขึ้นพร้อมกัน แล้วก็คล้ายจะมีลำดับก่อนหลังอะไร บางอย่าง เพียงแต่ไม่สามารถแยกแยะได้ชัดเจน
ร่างเงาเหล่านั้นล้วนแต่คือจิ๋งจิ่ว
ตัวเขาที่บำเพ็ญเพียรอย่างยากลำบากมาเป็นเวลาหลายสิบปีนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
ผู้แสวงมรรคาที่อยู่ในดินแดนแห่งความฝันของคันฉ่องฟ้ากระจ่างนั้นอยู่ในสภาพของดวงจิต ความเร็วของกระบี่เซียนแห่งยมโลกอยู่ในระดับที่ยากจะจินตนาการได้
เวลาและความว่างเปล่าที่หยุดนิ่งกลับคืนเป็นปกติ
ลมพัดโชยขึ้นมา เสียงกระบี่หักที่ฟังดูชัดเจนและแน่นขนัดจำนวนนับไม่ถ้วนดังขึ้นก่อน
ฉัวะๆๆๆๆ!
ยอดฝีมือของแคว้นฉินเหล่านั้นอยู่ในท่าทางเตรียมพร้อมป้องกันหรือไม่ก็โจมตี จู่ๆ บนร่างกายของพวกเขาก็มีรอยฟันกระบี่ที่เป็นเส้นตรงจำนวนมากปรากฎขึ้นมา
ทันใดนั้น ยอดฝีมือของแคว้นฉินเหล่านั้นก็กลายเป็นก้อนเนื้อสี่เหลี่ยม ร่วงตกลงลงสู่พื้น
จิ๋งจิ่วยืนอยู่กับที่ มือกุมด้ามกระบี่ คล้ายมิได้ขยับไปไหน แต่ความจริงได้ฟาดฟันกระบี่ออกไปแล้วจำนวนนับไม่ถ้วน
กระบี่ของเขารวดเร็วเป็นยิ่งนัก หยดเลือดยังมิทันพุ่งออกมาจากร่างของยอดฝีมือแคว้นฉินเหล่านั้น กระทั่งตัวเขากลับมายืนอยู่บนพื้น หยดเลือดถึงจะกระเซ็นออกมา
ในอดีตตอนที่เขาจับกระบี่สังหารมหาบัณฑิตเฉิน อีกทั้งแม่ทัพและยอดฝีมือเหล่านั้นในพระราชวังแคว้นฉู่ เขาสิ้นเปลืองพละกำลังไปไม่น้อย แต่ตอนนี้กลับง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ
ฮ่องเต้แคว้นฉินใบหน้าขาวซีด คิดอยากจะเหยียบอากาศทะยานออกไป จู่ๆ เท้าข้างซ้ายพลันมีรอยเลือดปรากฏขึ้นมา ตั้งแต่หัวเข่าลงไปถูกตัดออก
เกราะอ่อนล้ำค่าที่เคยช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ครั้งนี้มันไม่สามารถแสดงประสิทธิภาพใดๆ ออกมา หากแต่ฉีกขาดออก
กระบี่ของจิ๋งจิ่วฟันเป็นทางยาวบนร่างกายของเขา ตั้งแต่หัวไหล่พาดลงมาถึงเอว
โลหิตสดๆ จำนวนนับไม่ถ้วนสาดกระเซ็นออกมาคล้ายละอองหมอก ย้อมกำแพงสีขาวภายในวัดจนกลายเป็นสีแดง
บนกระถางสัมฤทธิ์เองก็เปรอะเปื้อนหยดโลหิต
ชุดสีขาวของจิ๋งจิ่วขาวกระจ่างเหมือนดั่งหิมะ มิได้แปดเปื้อนโลหิตแม้แต่หยดเดียว
ฮ่องเต้แคว้นฉินร้องโหยหวน ล้มนั่งลงไปกับพื้น
นี่เป็นครั้งแรกที่จิ๋งจิ่วชักกระบี่ออกมาจริงๆ
การเคลื่อนไหวของเขาเชื่องช้า ตัวกระบี่และฝักกระบี่ส่งเสียงเสียดสีดังออกมาชัดเจน
คิดไม่ถึงว่ากระบี่เล่มนี้จะทำมาจากไม้จริงๆ
กระบี่ไม้เบาหวิว เหมือนดั่งกระดาษ
มีเพียงกระบี่ไม้เช่นนี้เท่านั้นถึงจะสอดประสานเข้ากับความเร็วของกระบี่เซียนแห่งยนโลกได้
จิ๋งจิ่ววางกระบี่ไม้ไปบนลำคอของฮ่องเต้แคว้นฉิน ขอเพียงออกแรงเล็กน้อย ศีรษะของเขาก็จะหลุดออกจากบ่า
ถึงแม้จะเป็นกระบี่ไม้ แต่เมื่ออยู่ใกล้ขนาดนี้ ก็ยังรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือก
ฮ่องเต้แคว้นฉินมิได้สนใจความเจ็บปวดที่เอ่อล้นออกมาจากขาที่ขาด เขากล่าวเสียงสั่นเครือว่า “อย่าฆ่าข้า”
จิ๋งจิ่วมองดูเขานิ่งๆ รอคอยคำพูดประโยคต่อไปของเขา
“เทวทูตไม่ปรากฏกายออกมา เป็นเพราะเจ้ามิได้กลายเป็นผู้ปกครองใต้หล้า ไม่มีสิทธิจะถามถึงกระถางสัมฤทธิ์”
ฮ่องเต้แคว้นฉินใบหน้าขาวซีด กล่าวว่า “มีเพียงข้าพเจ้าเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์”
จิ๋งจิ่วกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ถูกต้อง”
ในดวงตาของฮ่องเต้แคว้นฉินมีสายตาแน่วแน่ปรากฏขึ้นมา เขากล่าวว่า “ให้ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ ไว้ข้าพเจ้าได้ยันต์เซียนมาแล้ว เราจะตระหนักรู้ร่วมกัน พลังเซียนแบ่งให้เจ้าครึ่งหนึ่ง!”
จู่ๆ หยดเลือดบนกระถางสัมฤทธิ์เหล่านั้นพลันกลิ้งขึ้นมา จากนั้นเริ่มมีฟองอากาศเล็กๆ ผุดขึ้นมา คล้ายกำลังเดือดพล่านอย่างไรอย่างนั้น
ผ่านไปไม่นาน หยดเลือดเหล่านั้นก็แห้งลง รอยเลือดที่หลงเหลืออยู่ดูคล้ายตัวหนังสือแปลกๆ ที่ใช้ผงชาดเขียนขึ้นมา
หยดเลือดซึมเข้าไปในกระถางสัมฤทธิ์ ลวดลายบนกระถางสัมฤทธิ์กระเพื่อมขึ้นมาคล้ายคลื่นน้ำ เกิดเป็นควันขึ้นมาหลายสาย ในควันเหล่านั้นคล้ายมีคนตัวเล็กๆ คนหนึ่งปรากฏขึ้นมา
คนตัวเล็กผู้นั้นสูงประมาณสองฉื่อ ในมือถือพู่กันและกระดาษ สวมเสื้อผ้าขุนนางฝ่ายอาลักษณ์
“เทวทูต!”
บนใบหน้าอันขาวซีดของฮ่องเต้แคว้นฉินแดงเรื่อขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น เขากล่าวเสียงดังว่า “เห็นหรือยัง! ข้าพเจ้าต่างหากถึงจะเป็นคนที่สวรรค์ลิขิตเอาไว้ มีเพียงเลือดของข้าพเจ้าถึงจะเชิญเทวทูตออกมาได้!”
จิ๋งจิ่วมิได้สนใจเขา หากแต่มองดูคนตัวเล็กที่อยู่ในควันผู้นั้น ในใจครุ่นคิดว่าในที่สุดเจ้าปรากฏตัวออกมาเสียที
เขากำลังรอให้เรื่องนี้เกิดขึ้น มิเช่นนั้นคงจะสังหารฮ่องเต้แคว้นฉินไปแล้ว
ตอนนี้เทวทูตได้ปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว อย่างนั้นยังจะรออะไรอีกล่ะ?
ฮ่องเต้แคว้นฉินมองดูใบหน้าด้านข้างของจิ๋งจิ่ว รับรู้ได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากกระบี่ไม้ตรงลำคอ เขาคาดเดาได้ถึงความคิดของอีกฝ่าย ใบหน้าจึงขาวซีดขึ้นอีกครั้ง
“ต่อให้เจ้าสังหารข้าพเจ้า เจ้าก็ยังไม่ไม่มีทางได้รับการยอมรับจากเทวทูตอยู่ดี” ในดวงตาของฮ่องเต้แคว้นฉินมีแววตาดุร้ายปรากฏขึ้นมา เขากล่าวว่า “หากฆ่าข้า ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางได้ยันต์เซียน เจ้าซ่อนตัวมาจนถึงวันนี้อย่างยากลำบาก หรืออยากจะลองเสี่ยงเช่นนี้ดู? หากปล่อยข้า ข้าจะแบ่งพลังเซียนให้เจ้าหนึ่งในสามส่วน!”
จิ๋งจิ่วยังคงไม่สนใจเขา เพียงแต่มองดูคนตัวเล็กที่อยู่ในควันผู้นั้น หรือก็คือเทวทูตที่ผู้คนพากันเรียกขาน
เทวทูตหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนอะไรบางอย่างบนกระดาษ เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาของเขา จึงเงยหน้าขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “ใช่ เขากล่าวถูกต้อง”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เหตุผล”
“มีเพียงเจ้าแห่งใต้หล้าเท่านั้นถึงจะสามารถไถ่ถามกระถางสัมฤทธิ์ได้ เจ้าเป็นเพียงฮ่องเต้ที่ถูกล้มราชบัลลังก์ มีสิทธิ์อะไรที่จะทำให้ข้ายอมรับได้?”
เทวทูตกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เจ้าอยู่ที่นี่มาหลายสิบปี ข้าก็ยังไม่เคยออกมาพบเจ้า แค่นี้เจ้าก็น่าจะรู้แล้ว”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าฆ่าเขาได้”
เทวทูตกล่าวว่า “ต่อให้เจ้าฆ่าเขาก็ไม่มีประโยชน์ คนที่ลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ได้สำเร็จ จะมีสักกี่คนที่ได้กลายเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่?”
เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ สายตาของฮ่องเต้แคว้นฉินก็ยิ่งมีความเชื่อมั่นในตนเอง เขามองจิ๋งจิ่วพลางกล่าวว่า “หากเจ้ายังไม่ตอบรับเงื่อนไขของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะแบ่งพลังเซียนให้เจ้าได้เพียงแค่หนึ่งในสี่ส่วน”
จิ๋งจิ่วยังคงไม่สนใจเขา หากแต่มองเทวทูตแล้วกล่าวว่า “เจ้าเป็นเพียงสิ่งที่ไม่มีชีวิต มีสิทธิ์อะไรมาตัดสินการแพ้ชนะของผู้แสวงมรรคา”
“ข้าคือกฎของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง ไม่มีความเป็นความตาย การตัดสินของข้าถือเป็นอันสิ้นสุด เจ้าทำได้เพียงยอมรับเท่านั้น”
เทวทูตพลิกเปิดกระดาษที่อยู่ในมือ กล่าวว่า “ยิ่งไปกว่านั้นข้าเชื่อว่าไม่มีใครที่จะสงสัยในความยุติธรรมของข้า เพราะทุกอย่างล้วนมีหลักฐาน”
บนกระดาษแบบนั้นเขียนตัวหนังสือเอาไว้มากมาย สิ่งที่บันทึกเอาไว้ก็คือประสบการณ์และสิ่งที่ผู้แสวงมรรคาได้กระทำหลังจากที่เข้ามาในดินแดนแห่งความฝัน
จิ๋งจิ่วไม่ได้มองดูบันทึกเหล่านั้นและลำดับรายชื่อนั้น เขาคิดถึงเรื่องบางเรื่องอย่างเงียบๆ
บนต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกล ภายในสายตาของนกชิงเหนี่ยวที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วมีภาพโลหิตที่เจิ่งนองเต็มพื้น กระถางสัมฤทธิ์ภายในวัดเก่า แล้วก็ยังมีความกังวลใจ
นางเคยบอกจิ๋งจิ่วไปแล้ว — นางคือดวงจิตของคันฉ่อง มิใช่กฎ
จิ๋งจิ่วไม่ลืมคำพูดประโยคนี้
เขารู้ว่าหากตนเองคิดอยากจะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ เช่นนั้นเขาก็ไม่สามารถรับความช่วยเหลือจากนางได้ มีแต่ต้องเผชิญหน้าด้วยตัวเองเท่านั้น
เผชิญหน้ากับกฎ
“ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องไม่พอใจที่อันดับอันต่ำต้อยของตนเอง แต่เจ้าเกิดมาเป็นฮ่องเต้ ทว่ากลับละทิ้งราชบัลลังก์ ไม่ว่าจะเป็นผลงานการปกครอง ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ชื่อเสียงบารมี ทุกอย่างล้วนแต่ย่ำแย่”
เทวทูตชี้ไปยังบันทึกบนกระดาษพลางกล่าววิพากษ์วิจารณ์ว่า “ดูเรื่องที่เจ้าทำสิ ไม่ยอมรับก็คงไม่ได้”
จิ๋งจิ่วพลันเก็บกระบี่ไม้
ลำคอของฮ่องเต้แคว้นฉินรู้สึกเบาลง เขานึกว่าจิ๋งจิ่วเตรียมจะตอบรับเงื่อนไขของตัวเอง สายตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เขากำลังครุ่นคิดอยู่ว่าจะทำอย่างไรให้ตนเองได้ผลประโยชน์มากยิ่งขึ้น แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนี้มันจะ เหนือไปจากจินตนาการของเขา
จิ๋งจิ่วถือกระบี่เดินไปตรงหน้ากระถางสัมฤทธิ์ มองดูเทวทูตพลางกล่าวว่า “หากว่ากันตามเกณฑ์ของสำนักจงโจวของพวกเจ้าแล้วอาจมีเหตุผล แต่ข้าคือศิษย์ของชิงซาน”
เทวทูตกล่าวว่า “ในเมื่อเข้าร่วมการแสวงมรรคา เช่นนั้นศิษย์ของชิงซานเองก็ควรจะ…”
จิ๋งจิ่วไม่ได้ปล่อยให้เขาพูดจนจบ
“ข้ารอเจ้าอยู่ที่ภูเขานี้มาเป็นเวลาหลายสิบปี ไม่ใช่เพื่อมาฟังคำพูดจาไร้สาระเหล่านี้ หากแต่รอเจ้ามอบกระถางให้แก่ข้า”
ฮ่องเต้แคว้นฉินใช้มือยันประตูวัดลุกขึ้นมา เมื่อได้ยินคำพูดของจิ๋งจิ่ว บนใบหน้าเผยให้เห็นสีหน้าที่รู้สึกไร้สาระเป็นอย่างยิ่ง ในใจครุ่นคิดว่าเจ้ากำลังจะทำอะไร?
เทวทูตมองดูเขาอย่างเงียบๆ มองอยู่เป็นเวลานาน จู่ๆ พลันกล่าวขึ้นมาว่า “หากข้าฟังไม่ผิด เหมือนเจ้ากำลังขู่ข้าอยู่?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ใช่”
………………………………………………………………………..