มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 155 ผู้แสวงมรรคาคนสุดท้าย (2)
หลังจากนั้นแคว้นฉินก็ใช้เวลาเพียงปีเดียวบดขยี้แคว้นฉี แล้วก็ใช้เวลาอีกสี่ปีไล่สังหารเผ่าเร่ร่อนที่หลบหนีขึ้นไปทางเหนือจนหมด
ตอนนี้ใต้หล้ารวมเป็นหนึ่ง ฮ่องเต้แคว้นฉินกลายเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย
สายตาเขามองไปยังภูเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
ฮ่องเต้แคว้นฉินลืมเรื่องราวไปมากมายแล้ว แต่เขายังไม่ลืมคำพูดประโยคแรกที่ได้ยินในโลกนี้
“ไม่ว่าจะใช้วิธีอะไร หากสามารถรวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง กลายเป็นเจ้าแห่งใต้หล้า เช่นนั้นก็จะได้รับการยอมรับจากเทวทูต ได้รับกระถางสัมฤทธิ์ และได้รับยันต์เซียนวัฒนะ”
ภูเขาแห่งนั้นมีคือว่าปู้โจว
ภายในภูเขามีวัดอยู่แห่งหนึ่ง
ว่ากันว่าเทวทูตอยู่ในวัดแห่งนั้น
เพียงแต่ไม่เคยมีคนเคยเห็นเทวทูตมาก่อน เพราะไม่มีใครสามารถเข้าใกล้วัดแห่งนั้นได้
หลายปีมานี้ฮ่องเต้แคว้นฉินได้แอบส่งคนจำนวนมากไปยังเขาปู้โจว แต่ไม่มีใครสามารถกลับมาได้แม้แต่คนเดียว
นี่ยิ่งทำให้เขารู้สึกมั่นใจ
เขาตัดสินใจเดินทางไปสักการะวัดปู้โจว
……
……
ระหว่างเมืองเสียนหยางไปยังวัดปู้โจวเต็มไปด้วยหมู่เขารกร้าง หนทางยากสัญจร ป่าไม้หนาทึบ
นับตั้งแต่ที่ฮ่องเต้แคว้นฉินตัดสินใจจะไปนมัสการวัดแห่งนั้น แคว้นฉินก็ได้ทำการเกณฑ์ชาวบ้านและช่างฝีมือจำนวนหลายล้านคนมาทำลายภูเขาและป่าไม้และขนย้ายก้อนหิน จากนั้นเริ่มทำการสร้างถนนเส้นหนึ่ง ถนนเส้นนั้นถูกตั้งชื่อว่าถนนสู่สวรรค์ ปูด้วยดินอัดแข็งเป็นฐาน โรยหน้าด้วยหินก้อนเล็กๆ ในระยะยี่สิบลี้สองข้างของถนนถูกถางจนโล่งเตียน งานก่อสร้างยิ่งใหญ่จนยากจะจินตนาการได้
เพื่อจะสร้างถนนเส้นนี้ แคว้นฉินได้ทำการรีดภาษีอย่างโหดร้าย ใช้งานประชาชนเหมือนทาส การปกครองอย่างโหดร้ายทารุณได้ทำให้เกิดจลาจลนับครั้งไม่ถ้วน แต่สุดท้ายก็ถูกกองทัพม้าเหล็กของแคว้นฉินกำราบลง ซากศพนับหลายแสนคนของชาวบ้านและทหารที่ลุกขึ้นต่อต้านถูกฝังเอาไว้ในพื้นดินสองข้างทางของถนน
ฤดูใบไม้ร่วงของปีที่สอง ถนนสู่สวรรค์ก่อสร้างเสร็จเรียบร้อย ฮ่องเต้แคว้นฉินมิได้รอคอยอีกต่อไป เขาประกาศเดินทางไปนมัสการวัดแห่งนั้นอย่างเป็นทางการ
ม้าเหล็กจำนวนวหลายหมื่นตัวและกองทัพจำนวนหาศาลคอยคุ้มกันรถสีดำคันใหญ่คันนั้น ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากเมืองเสียนหยาง เดินทางไปบนถนนสู่สวรรค์
ขบวนเดินทางที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้ใช้เวลาเพียงเก้าวันก็มาถึงด่านล่างภูเขาปู้โจว เห็นได้เลยว่าฮ่องเต้แคว้นฉินนั้นร้อนใจเพียงใด
ในเวลานี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงพอดี ภายในภูเขาปู้โจวเต็มไปด้วยใบไม้สีแดง เป็นเหมือนก้อนเมฆที่กำลังลุกไหม้ ดูงดงามยิ่งนัก
ฮ่องเต้แคว้นฉินสรงน้ำเปลี่ยนฉลองพระองค์ จุดธูปสวดภาวนา ก่อนจะเดินขึ้นไปบนบันไดหิน
เขาแก่ชรามากแล้ว ผมขาวเต็มศีรษะ สายตายังคงเย็นยะเยือกเหมือนแต่ก่อน ความอหังการที่แผ่ออกมาจากด้านในเสื้อคลุมสีดำคล้ายจับต้องได้จริง
คนจำนวนหลายแสนคนคุกเข่าอยู่ด้านหลังเขา คล้ายดั่งกระแสน้ำ
ในตอนที่ไป๋เจ่าออกไปจากดินแดนแห่งความฝันได้เคยเตือนเขาเอาไว้ว่าเขาอาจจะลืมเรื่องราวหลายๆเรื่อง อย่างเช่นชื่อชื่อหนึ่ง
ฮ่องเต้แคว้นฉินได้ลืมชื่อนั้นไปแล้ว แต่เขามักจะรู้สึกว่าประเดี๋ยวจะมีคนปรากฏตัวขึ้นมา
ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ดีเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงสงบสติอารมณ์ แม้จะรอเป็นเวลาเกือบสองปีก็ต้องสร้างถนนสู่สวรรค์เส้นนี้ให้เสร็จ
เขาต้องสังหารผู้ที่คัดค้านตนเองเหล่านั้นทั้งหมดเสียก่อน จากนั้นทำลายป่าไม้ทั้งหมดที่อยู่สองข้างทางของถนนสู่สวรรค์ทิ้ง เพื่อเป็นการรับประกันว่าจะไม่มีใครมารบกวนการเดินทางไปกราบไหว้วัดแห่งนั้น
บนถนนสู่สวรรค์ไม่มีมือสังหารปรากฏตัว เขาไม่รู้สึกกังวลใจอีก
ที่นี่มีกองทัพม้าเหล็กนับหลายหมื่นตัว ยอดฝีมืออีกจำนวนนับไม่ถ้วน ต่อให้มีมั่วกงสิบคนร่วมมือกัน ก็ไม่มีทางที่จะฝ่าเข้ามาถึงบนภูเขาได้
ฮ่องเต้แคว้นฉินเข้าใกล้ยอดเขาขึ้นเรื่อยๆ วัดเล็กๆ แห่งหนึ่งปรากฎขึ้นลางๆ
ยอดฝีมือชุดดำหลายสิบคนเดินตามอยู่ด้านหลังเขา มองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง
ยอดฝีมือเหล่านี้ล้วนแต่ผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มงวด มีความจงรักภักดีต่อฮ่องเต้แคว้นฉินเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังแข็งแกร่งและกล้าหาญ
ฮ่องเต้แคว้นฉินยังคงมีความระแวงต่อวัดแห่งนั้นและข่าวลือเรื่องเทวทูต ก็เหมือนกับคนที่ไม่มีความมั่นใจอะไรเลยอย่างนั้น
ทหารที่ไม่กลับมาเหล่านั้นทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
ไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมายใดๆ เกิดขึ้น
ปลายสุดของถนนมีวัดเล็กๆ แห่งหนึ่งปรากฏขึ้นมา
การหายใจของฮ่องเต้แคว้นฉินถี่กระชั้นขึ้นมา
นกชิงเหนี่ยวไม่รู้บินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ มันเกาะลงบนกิ่งไม้ มองดูภาพที่อยู่ตรงหน้าอย่างเงียบๆ
เหล่าผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่ด้านนอกหุบเขาหุยอินเองก็กำลังมองดูภาพนี้อยู่
ฮ่องเต้แคว้นฉินกำลังจะได้รับชัยชนะในท้ายที่สุด สุดท้ายยันต์เซียนก็ยังอยู่ที่เขาอวิ๋นเมิ่ง
นี่เป็นเรื่องที่หลายคนคิดได้ตั้งแต่ก่อนที่งานชุมนุมแสวงมรรคาจะเริ่มขึ้น เพียงแต่หลายคนไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ เหอจานถึงได้ยอมทิ้งแคว้นจ้าวที่กำลังยิ่งใหญ่ นั่งเรือออกทะเล ไม่สนใจเรื่องราวบนโลกไปแบบนี้? และที่สำคัญที่สุดก็คือจิ๋งจิ่วไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกันแน่ หรือเขาคิดจะมองดูฮ่องเต้แคว้นฉินรับกระถางสัมฤทธิ์ไปแบบนี้โดยไม่ทำอะไร?
เซ่อเซ่อรู้สึกร้อนใจ ในใจครุ่นคิดว่าเจ้าบื้อหน้าตาดีนั่นคงไม่ได้จำกฎผิดหรอกนะ? นี่ไม่ใช่ว่าใครอยู่ในดินแดนแห่งความฝันเป็นคนสุดท้ายก็จะเป็นผู้ชนะนะ ถ้าหากฮ่องเต้แคว้นฉินได้รับการยอมรับจากเทวทูตและได้รับกระถางสัมฤทธิ์มา งานชุมนุมแสวงมรรคาครั้งนี้ก็จะจบสิ้นลงทันที ผู้แสวงมรรคาทั้งหมดจะถูกส่งออกมา
ทุกคนต่างกำลังมองดูท้องฟ้า ถงเหยียนและไป๋เจ่ากำลังดู นักพรตไป๋เองก็กำลังดูอยู่เหมือนกัน
นางยืนอยู่บนยอดเขา มองดูภาพในท้องฟ้าอย่างเงียบๆ ไม่รู้ว่าเหตุใดบนใบหน้าถึงไม่ได้มีความรู้สึกยินดีเลย
……
……
ฮ่องเต้แคว้นฉินเหลียวกลับไปมองดูทางที่ตัวเองเดินขึ้นมา มองดูบันไดหินที่เหมือนแผ่นหยก มองดูแผ่นดินที่กว้างใหญ่กับขุนนางราษฎรที่ดูเหมือนทะเลสาบสีดำด้านล่างภูเขา ในใจพลันเกิดความรู้สึกทอดถอนใจออกมาเป็นอย่างมาก
ในการเดินทางของเขา ต้องพบเจอความยากลำบากมากมาย เสียสละไปมากมาย ลืมเลือนไปมากมาย ในที่สุดเขาก็เดินมาถึงที่นี่ ไม่มีใครจะขวางเขาได้อีก
แต่อีกไม่นานเขาก็จะต้องเสียทุกสิ่งทุกอย่างนี้ไป
เขาหมุนตัวเดินไปยังหน้าวัด ก่อนจะมองเห็นกระถางสัมฤทธิ์ใบนั้น
เขารู้สึกแปลกใจ กระถางสัมฤทธิ์ใบนั้นเล็กกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก ดูแล้วสามารถหยิบได้ด้วยมือข้างเดียว
คนผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างกระถางสัมฤทธิ์ หันหลังไปทางด้านนอกวัด
คนผู้นั้นสวมชุดสีขาว ผมสีดำแผ่ลงมาเหมือนน้ำตก ยาวลงมาถึงพื้น คล้ายมีความเป็นเซียน ดูแล้วน่าจะเป็นเทวทูต
ฮ่องเต้แคว้นฉินปลดเหมี่ยนก้วน[1] วางลงกับพื้น ยกชายด้านหน้าของชุดพลางก้าวเท้าข้ามธรณีประตูเข้าไป จากนั้นคุกเข่าลงกับพื้นแล้วกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ฮ่องเต้ขอคารวะท่านเทวทูต”
คนชุดขาวหมุนตัวกลับมา ผมสีดำปลิวไสวตามสายลม เผยให้เห็นใบหน้า
ใบหน้านั้นเยือกเย็นและงดงาม มิใช่ใบหน้าที่คนธรรมดาจะมีได้ คนผู้นี้เป็นเซียนจริงๆ ด้วย
ฮ่องเต้แคว้นฉินเงยหน้ามองไป ในขณะที่กำลังคิดชมเชยความงามของเทวทูต จู่ๆ พลันรู้สึกว่าใบหน้านี้ค่อนข้างคุ้นตา จึงตกตะลึงขึ้นมา
“เจ้ามิใช่เทวทูต?”
ฮ่องเต้แคว้นฉินพลันนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ได้หลายเรื่อง เขาส่งเสียงตะโกนอย่างตกใจว่า “ไม่! เจ้าคือจิ๋งจิ่ว!”
จิ๋งจิ่วมองดูเขาอย่างเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไร
ฮ่องเต้แคว้นฉินรู้สึกว่าเรื่องนี้เหลวไหลเป็นอย่างมาก เขากล่าวตะโกนด้วยใบหน้าที่ขาวซีดว่า “เป็นไปไม่ได้! เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!”
เจ้าข้ามน้ำข้ามภูเขาอย่างยากลำบากอยู่ทางด้านนั้น ทิ้งทรัพย์สินของมีค่า ตัดสัมพันธ์ทุกอย่าง แบกรับเสียงด่าและเสียงสาปแช่ง ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างยากลำบากด้วยตัวคนเดียว ในที่สุดก็เดินมาถึงปลายยอดเขา
แต่เจ้ากลับพบว่าความจริงแล้วมันเป็นเพียงเนินเขาเล็กๆ แห่งหนึ่งในแผ่นดินอันกว้างใหญ่เท่านั้น
และที่สำคัญที่สุดก็คือคู่ต่อสู้ของเจ้านั้นมารออยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว
นี่เป็นเรื่องที่เหลวไหลที่สุด
แล้วก็เป็นเรื่องที่เจ็บปวดที่สุด
……………………………………………………………………..
[1]เหมี่ยนก้วน คือ มงกุฎที่ฮ่องเต้ใช้สวมใส่