มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 154 ลืมตา
“รู้ไหมว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่?” ไป๋เจ่ามองดูฮ่องเต้แคว้นฉินคล้ายกำลังมองดูคนแปลกหน้า
ฮ่องเต้แคว้นฉินกล่าวว่า “ไม่ฆ่าเขา ใครจะยอมสยบต่อข้าพเจ้า?”
ไป๋เจ่ากล่าว “ท่านฆ่าเขาแล้ว มีแต่จะยิ่งทำให้คนในใต้หล้าไม่ยอมสยบ”
ฮ่องเต้แคว้นฉินกล่าวว่า “อย่างนั้นข้าก็จะฆ่าต่อไป ฆ่าจนกว่าจะไม่มีใครกล้าต่อต้าน”
ไป๋เจ่านิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “จนกระทั่งท้ายที่สุดซีอี้อวิ๋นก็ยังคิดว่าท่านจะไม่ฆ่าบัณฑิตเหล่านั้น ท่านน่าจะเข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร”
ในงานชุมนุมแสวงมรรคาครั้งนี้ ซีอี้อวิ๋นแสดงความสามารถได้อย่างยอดเยี่ยม รู้แจ้งอะไรหลายๆ อย่าง สภาวะจะต้องยกระดับขึ้นอย่างแน่นอน ในอนาคตมีโอกาสอย่างมากที่จะได้เป็นเจ้าเรือนอี้เหมา
สำนักจงโจวและเรือนอี้เหมาเป็นพันธมิตรต่อกัน และความสัมพันธ์ฉันพันธมิตรเช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นรากฐานที่ทำให้แผ่นดินเฉาเทียนมีเสถียรภาพ
หากความคิดของซีอี้อวิ๋นเปลี่ยนไป เรือนอี้เหมาอาจจะไปเข้ากับทางสำนักชิงซาน เมื่อถึงตอนนั้นจะทำอย่างไร?
ฮ่องเต้แคว้นฉินดูไม่แยแส เขากล่าวว่า “ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว ข้าอยากจะลืมเรื่องราวบางอย่าง และในตอนนี้ข้าก็ลืมไปไม่น้อยแล้ว”
ไป๋เจ่านิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “เช่นนั้นตอนนี้ท่านก็รามือได้แล้ว”
“ข้าจำได้ว่าเจ้าเป็นบุตรสาวของท่านเจ้าสำนัก แต่ข้าก็จำได้เช่นเดียวกันว่าท่านนักพรตกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่ายันต์เซียนจะต้องอยู่ที่เขาอวิ๋นเมิ่ง ส่วนจะเป็นของใครนั้นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน”
ฮ่องเต้แคว้นฉินมองนางพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “หากเจ้าไม่เห็นด้วยกับวิธีการของข้า เจ้าก็สามารถทำตามความคิดของเจ้าได้ ข้าจะไม่ขวางเจ้า”
ไป๋เจ่าเงียบไปอีกครั้ง จากนั้นกล่าวว่า “วันนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย เอาไว้ท่านใจเย็นลงหน่อย พรุ่งนี้ข้าค่อยมาคุยกับท่านใหม่”
……
……
เพื่อยันต์เซียนวัฒนะแผ่นนั้นแล้ว ไป๋เชียนจวินยินดีลืมเรื่องที่ถือว่าสำคัญอย่างมากสำหรับเขาเหล่านั้น เช่นนั้นการจะคุยกับเขาไปมากกว่านี้มันก็ไม่มีประโยชน์
ไป๋เจ่าทราบในจุดนี้ดี ดังนั้นในคืนวันนั้น ภายในพระราชวังเมืองเสียนหยางจึงได้เกิดเหตุการณ์ที่น่าตกตะลึงขึ้น
ฮองเฮาที่ขี้ขลาดมาทั้งชีวิตผู้นั้นได้พานางกำนัลสิบกว่าคนพยายามลอบสังหารฮ่องเต้แคว้นฉิน
หลังจากธูปฟ้าดินสลายอันล้ำค่าหลายดอกถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน ฮองเฮาและนางกำนัลเหล่านั้นก็กระโจนเข้าไปหาฮ่องเต้แคว้นฉินที่นอนหลับอยู่บนเตียง
นางกำนัลบางคนคิดอยากจะแก้แค้นให้เพื่อนที่ถูกฮ่องเต้แคว้นฉินทรมานจนตายเหล่านั้น นางกำนัลบางคนทำไปเพราะสิ้นหวัง ส่วนเหตุผลของฮองเฮานั้นไม่มีใครรู้ว่าเพราะเหตุใด
พวกนางใช้เชือกที่เหนียวที่สุดมัดฮ่องเต้แห่งแคว้นฉินเอาไว้ จากนั้นยกมีดอาบยาพิษแทงเข้าไปที่หน้าอกของเขา
แต่พวกนางคิดไม่ถึงว่ากระทั่งในเวลานอนหลับ ฮ่องเต้แคว้นฉินก็ยังสวมใส่เกราะอ่อนเอาไว้ มีดสั้นไม่สามารถสังหารเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้นมันกลับทำให้เขาตื่นขึ้นมาจากการสลบไสล
เขามองดูฮองเฮาและนางกำนัลเหล่านั้นอย่างเยือกเย็น ใช้ปราณก่อกำเนิดขับพิษธูปออกมา จากนั้นทำลายเชือกที่มัดร่างกายแล้วฟาดฝ่ามือเข้าใส่นางกำนัลที่ยืนอยู่ใกล้ตัวเองที่สุดคนนั้นจนตาย
การลอบสังหารครั้งนี้จบลงไปง่ายๆ เช่นนี้ แต่กลับเป็นช่วงเวลาที่ฮ่องเต้แคว้นฉินอยู่ใกล้ความตายมากที่สุด กระทั่งจัวหรูซุ่ยกับซีอี้อวิ๋นก็ยังไม่อาจทำได้ถึงขนาดนี้
ฮ่องเต้แคว้นฉินได้ทำการกวาดล้างและล้างแค้นอย่างโหดเหี้ยมในทันที
ในเมืองเสียนหยาง ทหารม้าวิ่งไปวิ่งมา ในโรงเรียนหลวงของเมืองเสียนหยางที่ไฟเพิ่งจะดับลงไปก็ได้มีไฟลุกขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้แผดเผาจนกระทั่งกลายเป็นเถ้าถ่าน
กระทั่งความวุ่นวายทั้งหมดได้สงบลง ฮ่องเต้แคว้นฉินถึงจะใจเย็นลง เขาพาทหารม้าบุกเข้าไปในตำหนักซูกง ด้วยคิดอยากจะสอบถามต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวทั้งหมด
ภายในตำหนักซูกงว่างเปล่าไม่มีใคร ดอกบัวที่อยู่ในสระพัดไหวไปมาไม่หยุดท่ามกลางสายลม คล้ายกำลังหัวเราะเยาะเขาอยู่
ฮ่องเต้แคว้นฉินนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน ก่อนกล่าวว่า “หาตัวองค์หญิงให้พบ แต่ว่า…อย่าทำอะไรนาง ข้าพเจ้าจะเป็นคนฆ่านางเอง”
……
……
เดิมชางโจวนั้นเป็นป้อมปราการทางเหนือของแคว้นฉู่ มีเรือนจิ้งอ๋องคอยดูแล ในอดีตเป็นเพราะว่าฮ่องเต้แคว้นฉู่ได้สังหารรัฐทายาทของจิ้งอ๋อง จิ้งอ๋องเลยไปสวามิภักดิ์กับทางแคว้นฉิน
ดังนั้นที่นี่จึงกลายเป็นจังหวัดชางโจวของแคว้นฉิน
ตอนนี้จิ้งอ๋องได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้แคว้นฉินให้กลายเป็นหนานอ๋อง พักอาศัยอยู่ในเมืองหลวงของแคว้นฉู่เดิม แต่เพื่อเป็นการรับรองความปลอดภัยของตัวเองและพรรคพวก เขาจึงทิ้งกองกำลังทหารจำนวนมากเอาไว้ที่ชางโจวด้วย
ภายในเมืองชางโจวได้มีการเตรียมอาวุธและเสบียงเอาไว้อย่างลับๆ เป็นจำนวนมาก แล้วก็ยังมีบ่อน้ำลับอีกหลายแห่ง ทันทีที่มีการรบ ต่อให้กองทัพแคว้นฉินจะล้อมเมืองเอาไว้ พวกเขาก็ยังสามารถยื้อเอาไว้ได้หลายปี
ภายในห้องหนังสือของเรือนจิ้งอ๋องเก่า มือขวาของไป๋เจ่าถือพู่กันเอาไว้ สายตามองดูข้อมูลพลางเขียนอะไรบางอย่างลงไปในกระดาษ วางแผนว่าหลังจากนี้ควรจะทำอย่างไร
ทุกอย่างในเมืองชางโจว ทั้งกองทัพ เสบียง ทางใต้ดิน กระทั่งเจ้าหน้าที่ทหารและที่ปรึกษาก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ถงเหยียนเตรียมเอาไว้ให้แก่นาง
ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน นางก็รู้สึกไม่ไว้ใจคนผู้นั้นแล้ว
ฮ่องเต้แคว้นฉินในเวลานี้ ในตอนนั้นยังเป็นเพียงไป๋โจ้ว เทพแห่งการต่อสู้ของเมืองเป๋ยไห่
ภายในเรือนอ๋องพลันมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา
ประตูห้องหนังสือถูกผลักออก ฮ่องเต้แคว้นฉินเดินเข้ามา
ตัวเขาซึ่งไม่เคยออกมาจากเมืองเสียนหยางกลับเดินทางมายังชางโจวที่อยู่ห่างไกลนับพันลี้
จิ้งอ๋องที่เดิมควรจะอยู่ที่เมืองหนานตูกลับมาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังฮ่องเต้แคว้นฉินเช่นเดียวกัน
คนที่ติดตามฮ่องเต้แคว้นฉินและจิ้งอ๋องมาที่นี่ยังมียอดฝีมือของแคว้นฉินอีกจำนวนมาก และ….อดีตลูกน้องของถงเหยียนด้วย
ไป๋เจ่าวางพู่กัน มองไปทางลูกน้องเหล่านั้น
ลูกน้องเหล่านั้นก้มหน้าก้มตา ไม่กล้าสบตานางตรงๆ
ฮ่องเต้แคว้นฉินเดินเอามือไพล่หลังไปรอบห้องหนังสือรอบหนึ่ง ก่อนจะมองดูหนังสือที่อยู่บนชั้นหนังสืออย่างค่อนข้างสนใจ
“ตอนนั้นรัฐทายาทเขียนจดหมายให้ข้าพเจ้าจากที่นี่อย่างนั้นหรือ?”
เขากล่าวถามจิ้งอ๋อง
จิ้งอ๋องตอบว่า “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
ฮ่องเต้แคว้นฉินพยักหน้า จากนั้นมองไปทางไป๋เจ่าที่อยู่ด้านหลังโต๊ะ สีหน้าค่อยๆ เย็นยะเยือกขึ้นมา
จิ้งอ๋องและคนเหล่านั้นถอยออกไป
ฮ่องเต้แคว้นฉินจ้องมองไป๋เจ่าพลางกล่าว “ตอนนั้นเขาอยู่ที่นี่เพื่อวางรากฐานในการยึดครองแผ่นดินนี้ให้แก่พวกเรา…แต่เจ้ากลับคิดจะทำลายทุกอย่างลงที่นี่?”
ไป๋เจ่ามองเขาอย่างเงียบๆ จากนั้นกล่าวว่า “เดิมทั้งหมดนี้มันก็เป็นของเขาอยู่แล้ว”
“ก่อนตายเขาคิดว่าเขาได้เตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้เจ้าแล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่า คนเมื่อตายไปแล้วมันก็เหมือนกับตะเกียงไฟที่ดับลง กระทั่งป้ายหลุมศพของตัวเองก็ยังไม่สามารถส่องสว่างได้ แล้วนับประสาอะไรกับภายในใจอันมืดมิดของคนอื่นล่ะ? ก็เหมือนอย่างมหาบัณฑิตจางแห่งแคว้นฉู่ผู้นั้น ต่อให้ก่อนตายจะเตรียมการไว้ดีแค่ไหน แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร?”
ฮ่องเต้แคว้นฉินมองดูนางพลางกล่าวอย่างจริงจังว่า “เจ้าเป็นผู้หญิง คนที่ถงเหยียนทิ้งเอาไว้เหล่านั้นจะเชื่อฟังเจ้าได้อย่างไร?”
ไป๋เจ่ามองดูเขา คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มกล่าวว่า “ดูเหมือนท่านจะลืมไปหลายเรื่องจริงๆ มิเช่นนั้นคงไม่กล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมา”
นกชิงเหนี่ยวเกาะอยู่บนกิ่งไม้ด้านนอกหน้าต่าง
บนปลายยอดเขาอวิ๋นเมิ่งมีภูเขาหิมะอยู่ลูกหนึ่ง
คนที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักจงโจวคือนักพรตไป๋
นักพรตไป๋เป็นผู้หญิง
ฮ่องเต้แคว้นฉินสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย เขากล่าวเปลี่ยนประเด็นว่า “ถงเหยียนและเจ้าเตรียมการมานานขนาดนี้ แต่สุดท้ายกลับล้มเหลวง่ายๆ เช่นนี้ เจ้าคงจะรู้สึกว่างเปล่าอย่างมากใช่ไหม?”
“คำว่าว่างเปล่านี้ ท่านเคยกล่าวกับซีอี้อวิ๋นมาแล้วเช่นกัน”
ไป๋เจ่ากล่าวว่า “คนเรามักจะเอ่ยถึงสิ่งที่เราหวาดกลัวออกมาอยู่บ่อยๆ ท่านคงจะหวาดกลัวว่าตัวเองพยายามทุ่มเทอย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายกลับได้มาเพียงความว่างเปล่าใช่ไหมล่ะ?”
ฮ่องเต้แคว้นฉินสีหน้าเย็นยะเยือกเล็กน้อย เขากล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะไม่ต่อปากต่อคำกับเจ้า ยันต์เซียนจะเป็นตัวตัดสินเองว่าใครคือคนที่ถูกต้อง”
ไป๋เจ่ากล่าวว่า “ท่านยากจะสำเร็จได้ เพราะที่นี่ยังมีคนอื่นอยู่อีก”
ฮ่องเต้แคว้นฉินกล่าวว่า “ขันทีเหอ? เจ้าเป็นคนบอกเองว่าเขาเพียงคนเดียวไม่สามารถทำอะไรได้”
“ข้าหมายถึงจิ๋งจิ่ว ต่อไปท่านอาจจะลืมเรื่องราวอีกหลายเรื่อง อย่างเช่นชื่อนี้ แต่หวังว่าท่านจะจำคำพูดของข้าในวันนี้เอาไว้ว่าเขาไม่เคยไปไหน”
นี่คือคำพูดประโยคสุดท้ายที่ไป๋เจ่าพูดในดินแดนแห่งความฝันของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง
จากนั้นนางก็หยิบเอาหนังสือเล่มหนึ่งที่เก่าจนกลายเป็นสีเหลืองมาพลิกเปิดอ่าน มิได้มองดูฮ่องเต้แคว้นฉินอีก
ตัวหนังสือในหนังสือเล่นนั้นค่อนข้างแปลกประหลาด เป็นตัวหนังสือแปลกๆ ที่ประดิษฐ์ขึ้นมาเอง
นางเองก็อ่านตัวหนังสือเหล่านี้ไม่เข้าใจ แต่พอจะเดาได้ว่าบรรทัดแรกของหน้าแรกนั้นเขียนเอาไว้ว่า ‘ข้าคือถงเหยียน’
อ่านหนังสือทำให้เหนื่อยล้าได้ง่าย แต่การอ่านตัวหนังสือและสัญลักษณ์ที่ดูไม่เข้าใจเหล่านั้นยิ่งทำให้เหนื่อยล้าได้ง่ายขึ้น
นางหลับตาพักผ่อนอยู่ครู่ ในตอนที่ลืมตาขึ้นมา ก็พบว่าตนเองมิได้อยู่ในห้องหนังสือห้องนั้นแล้ว แล้วก็มิได้อยู่ในโลกนั้นแล้วเช่นกัน
แสงสว่างตกลงมาจากโพรงด้านบน ส่องสว่างไปบนคันฉ่องฟ้ากระจ่างที่หมุนอย่างเชื่องช้า เมื่อเทียบกับก่อนที่นางจะจากไปแล้วมิได้มีความเปลี่ยนแปลงอะไรเลย
เพียงแค่หลับตา แล้วก็ลืมตา ก็ผ่านไปหลายสิบปี
สำหรับคนธรรมดาแล้ว ช่างเหมือนกับเรื่องราวทั้งชีวิต
นางหวนคิดถึงวันเวลาที่อยู่ในดินแดนแห่งความฝัน นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน
จากเสียนหยางมายังเป๋ยไห่ แล้วกลับมายังเสียนหยางอีกครั้ง ทั้งชีวิตที่นางอยู่ในคันฉ่องฟ้ากระจ่าง ความจริงแล้วล้วนแต่เป็นชีวิตที่นางวางแผนเอาไว้
ถึงแม้ตอนนี้ดูแล้วมันจะไม่มีปัญหาอะไรเช่นกัน
หากนางคิดอยากจะเป็นฮ่องเต้หญิง นางจะต้องเจอกับแรงต้านอย่างมากแน่นอน ดังนั้นถึงได้เกิดเรื่องราวองค์หญิงตกยากและเรื่องที่เมืองเป๋ยไห่ยกทัพขึ้นมา ตามแผนการเดิมที่วางเอาไว้ ไป๋เชียนจวินที่กลายเป็นฮ่องเต้จะดึงดูดความสนใจและความโกรธแค้นเอาไว้ทั้งหมด จากนั้นเมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง นางก็จะออกมาก้าวนำในฐานะองค์หญิงของราชวงศ์ก่อนอีกครั้ง เพียงแต่นางและถงเหยียนคิดไม่ถึงว่าขันทีเหอจะได้เจอกับฮ่องเต้ที่ยอดเยี่ยมอย่างมากคนหนึ่งในแคว้นจ้าว ส่วนมหาบัณฑิตจางก็ต่อชีวิตให้แคว้นฉู่อีกยี่สิบปี ทำให้สถานการณ์แปรเปลี่ยนเป็นซับซ้อนยิ่งขึ้น
ดังนั้นนางจึงมิได้ต่อว่าอะไรในเรื่องการตัดสินใจของไป๋เชียนจวิน
จู่ๆ นางพลันรับรู้ได้ถึงสายตาที่มองมายังตน จึงเหลียวหน้ากลับไป ก่อนจะพบว่าเป็นซีอี้อวิ๋นผู้นั้นที่กำลังมองมาที่ตนเอง บนใบหน้ามีรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยน
เขาออกมาจากดินแดนแห่งความฝันก่อนไป๋เจ่าเพียงไม่นาน
สมแล้วที่เป็นบันฑิตแห่งเรือนอี้เหมา ถึงแม้จะเพิ่งพบเจอเรื่องราวโหดร้ายขนาดนั้นในดินแดนแห่งความฝัน แต่ในเวลานี้เขากลับสงบสติอารมณ์ลงได้อย่างสิ้นเชิง
ไป๋เจ่ารู้สึกนับถือเขาเป็นอย่างมาก จากนั้นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในพระราชวังเมืองเสียนหยาง ก่อนกล่าวขอโทษว่า “ล่วงเกินท่านแล้ว”
ซีอี้อวิ๋นมิได้ใส่ใจ เขายิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวถามคำถามหนึ่ง
สิ่งที่เขาสนใจที่สุดมิใช่เรื่องที่ว่าฮ่องเต้แคว้นฉินจัดการกับลูกศิษย์เหล่านั้นอย่างไรหลังจากตนเองตาย เพราะจุดจบสามารถคาดเดาได้ สิ่งที่เขาอยากรู้ที่สุดนั้นคืออีกเรื่องหนึ่ง
“ฮ่องเต้แคว้นฉู่น่าจะเป็นจิ๋งจิ่ว ตอนนี้เขายังไม่ออกมา เช่นนั้นเขาไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกันแน่?”
ไป๋เจ่ามองตามสายตาของเขาไป
ตอนนี้ข้างคันฉ่องฟ้ากระจ่างมีเพียงสามคนที่ยังหลับอยู่
ไป๋เชียนจวินนั่งอยู่ด้านหน้าสุด หว่างคิ้วกระตุกขึ้นมาเป็นบางครั้ง ดูค่อนข้างเจ็บปวด
เหอจานคล้ายกำลังนอนหลับอยู่จริงๆ ศีรษะที่เรียบโล้นผงกอยู่ตลอดเวลา คล้ายง่วงนอนจนแทบจะทนไม่ไหว แล้วก็เหมือนกำลังเห็นด้วยกับหลักธรรมอะไรบางอย่าง
จิ๋งจิ่วยังคงเหมือนก่อน ดวงตาหลับสนิท ขนตาไม่ขยับ สีหน้าสงบนิ่ง คล้ายเซียนที่อยู่ในภาพวาด
กระดิ่งเครื่องเคลือบอันนั้นยังคงลอยอยู่ด้านหลังเขา ส่งเสียงเบาๆ ออกมาเป็นระยะ
ไป๋เจ่าไม่รู้ว่าเหอจานอยู่ที่ไหน แล้วก็ยิ่งไม่รู้ว่าจิ๋งจิ่วอยู่ที่ไหน
นางส่ายศีรษะไปทางซีอี้อวิ๋น ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปนอกถ้ำ
เมื่อมาถึงหุบเขาหุยอิน ถงเหยียนรอคอยนางอยู่
จากกันแค่ไม่กี่วัน แต่สำหรับนางกลับเหมือนเป็นเวลาหลายปี
นางคารวะเขาอย่างจริงจัง
ถงเหยียนงุนงงเล็กน้อย ก่อนจะเข้าใจความหมายของนาง เขามิได้หลบหลีก หากแต่รอจนนางยืดตัวขึ้นมาจึงกล่าวถามว่า “เจ้ารู้ใช่ไหมว่าจิ๋งจิ่วไปอยู่ที่ไหน?”
ไป๋เจ่าลืมตาโต รู้สึกตกใจอย่างมาก ในใจครุ่นคิดว่านั่นคือโลกของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง ชิงเหนี่ยวคือดวงจิตคันฉ่อง ย่อมต้องรู้ว่าจิ๋งจิ่วอยู่ที่ไหน แต่เหตุใดท่านจึงมาถามข้า?
ถงเหยียนเห็นสีหน้านาง รู้ว่านางกำลังคิดอะไร จึงกล่าวด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งว่า “จิ๋งจิ่วหายไปแล้ว”
…………………………………………………………………………