มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 153 เผาเมฆ
ในโลกของคันฉ่องฟ้ากระจ่างไม่มียันต์ ถ้าหากอวิ๋นซีไม่ได้มาที่นี่ บางทีต่อให้ผ่านไปอีกหลายหมื่นปีก็ไม่มีทางที่จะมีวิถียันต์ปรากฏขึ้นมาได้
เขาลืมเรื่องราวในโลกก่อนหน้าไปทั้งหมด ย่อมต้องลืมสิ่งที่เล่าเรียนมาในเรือนอี้เหมาไปด้วย แต่ในระหว่างที่เรียนหนังสือและบำเพ็ญเพียร เขากลับสร้างวิถียันต์ขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง
สิ่งที่เรียกว่าธรรมวิธีสามารถบรรลุได้จากหนทางที่แตกต่างกัน แล้วก็สามารถก่อให้เกิดปรากฏการณ์ต่างๆ ได้มากมาย ความมหัศจรรย์ในนั้นช่างน่าประทับใจยิ่งนัก
หากอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง อวิ๋นซีก็เท่ากับได้ก่อตั้งสำนักขึ้นมาใหม่แล้ว ถึงแม้ไม่อาจบรรลุกลายเป็นเซียนได้ แต่ก็ต้องถูกยกย่องให้กลายเป็นเทพอย่างแน่นอน
แต่แน่นอน อาจเป็นเพราะเขาได้รับผลกระทบจากโลกก่อนหน้าที่อยู่ในส่วนลึกของใจแห่งเต๋าของเขา ถึงได้สามารถสร้างวิถียันต์ขึ้นมาที่นี่ได้ แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังเรียกได้ว่าน่าตกตะลึงเป็นอย่างมาก
เมื่อมองดูบัณฑิตที่จมอยู่ในกองเลือด ฮ่องเต้แคว้นฉินพลันรู้สึกว่าต่อให้ตนเองกลายเป็นเจ้าแห่งใต้หล้า มันก็คล้ายจะไม่มีความหมายอะไรนัก
สำหรับผู้บำเพ็ญพรตแล้ว ความคิดเช่นนี้ถือว่าไม่เหมาะสมเป็นอย่างมาก เขาได้สติขึ้นมาอย่างรวดเร็ว กล่าวเสียงทุ้มต่ำเล็กน้อยว่า “แล้วอย่างไร? สุดท้ายข้าพเจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่!”
อวิ๋นซียกกระบี่ที่หักขึ้นมา ชี้ไปที่เขาพลางกล่าว “เดิมพระองค์สมควรตายไปแล้ว”
“หากบอกว่าคนๆ หนึ่งสมควรตายแล้วจะต้องตายไปจริงๆ โลกนี้มันคงง่ายขึ้นมาก น่าเสียดายที่โลกมันไม่เคยเป็นแบบนั้น”
ฮ่องเต้แคว้นฉินกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “จริงอยู่ที่เจ้าเกือบจะฆ่าข้าได้ ก็เหมือนอย่างจัวหรูซุ่ยในตอนนั้น พรสวรรค์ของพวกเจ้าสูงส่ง ฝีมือแข็งแกร่ง แต่ว่าโง่ไปหน่อย ไม่เข้าใจว่าความโกรธของคนธรรมดานั้นมันไม่มีความหมายใดๆ ต่อใต้หล้า”
อวิ๋นซีกล่าวว่า “บางทีฝ่าบาทอาจจะเป็นฝ่ายถูกต้อง แต่ถ้าฉลาดแล้วต้องใช้ชีวิตต่ำช้า อย่างนั้นมันไม่น่าเบื่อเกินไปหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นฉินมองดวงตาเขาพลางกล่าว “แล้วใช้ชีวิตอย่างเจ้ามันสนุกหรือ? เพราะเจ้าลอบสังหารข้าพเจ้า ทั้งลูกศิษย์และสาวกของเจ้าจะถูกข้าพเจ้าฆ่าตาย แบบนี้มันยังมีสนุกอยู่หรือเปล่า?”
อวิ๋นซีจ้องมองดวงตาของเขาอย่างเงียบๆ นิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ จู่ๆ พลันกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง
เมื่อเห็นภาพนี้ ในดวงตาของฮ่องเต้แคว้นฉินพลันมีสายตาดุร้ายและสะใจปรากฏขึ้นมา
อวิ๋นซีกระอักเลือดออกมาพลางกล่าว “กระหม่อมไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดพระองค์ทรงต้องทำเช่นนี้ด้วย พระองค์ไม่สามารถสังหารคนทั้งโลกจนหมดได้ ต่อให้อาศัยการปกครองที่ป่าเถื่อน มันก็สยบโลกนี้ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น มิอาจยืนยาวได้ คนที่เป็นฮ่องเต้ มิใช่ว่าต้องการครองบัลลังค์ตลอดไปหรอกหรือ? พระองค์ก็รู้ว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไป แคว้นฉินจะต้องล่มสลายแน่ แต่เหตุใดกลับไม่ยอมกลับใจพ่ะย่ะค่ะ?”
“ดังนั้นเจ้าจึงคิดว่าข้าพเจ้าไม่กล้าฆ่าเจ้า เหมือนกับที่บัณฑิตและหญิงสาวที่ไร้ประโยชน์เหล่านั้นคิดกันอย่างนั้นหรือ”
จักรพรรดิแคว้นฉินมองดูเขาพลางกล่าวเย้ยหยันว่า “ข้าลืมเรื่องบางเรื่อง แต่เจ้ากลับเด็ดขาดยิ่งขึ้น ถึงได้เลือกเดินบนเส้นทางแห่งความตาย”
อวิ๋นซี คิดถึงบทสทนาที่พูดกับมหาบัณฑิตจางแห่งแคว้นฉู่เมื่อหลายปีก่อน แล้วก็คิดถึงบทสนทนาที่พูดกับขันทีเหอในครั้งนั้น ก่อนกล่าวอย่างเฉยชาว่า “พวกพระองค์มักจะบอกว่ากระหม่อมลืมเรื่องบางเรื่องไป กระหม่อมไม่มั่นใจว่านั่นคือเรื่องอะไร แต่กระหม่อมก็มิได้สนใจเช่นกัน เพราะถึงแม้มันจะเป็นจริง มันก็มิได้เป็นภาระอะไรต่อการที่กระหม่อมจะเดินไปยังอีกฝั่ง แม้อาจจะดูโง่เขลาไปบ้าง แต่มันกลับค่อนข้างสบายใจพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นฉินกล่าวว่า “โง่เขลาก็คือโง่เขลา หากเจ้ารู้ว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการมิใช่การสืบทอดราชบัลลังก์ไปหมื่นปี หากแต่เป็นยันต์เซียนแผ่นนั้น เจ้าก็จะเข้าใจทั้งหมดเอง”
อวิ๋นซีกล่าวว่า “ยันต์เซียน เหมือนจะคุ้นๆ อยู่”
เมื่อมองดูท่าทางของเขา ไม่รู้เพราะเหตุใดฮ่องเต้แคว้นฉินจึงโมโหขึ้นมา เขากล่าวตะคอกว่า “นั่นคือของวิเศษแห่งเซียนที่พวกเราเหล่าผู้บำเพ็ญพรตเฝ้าใฝ่ฝันถึง นั่นคือความเป็นไปได้เพียงเล็กน้อยที่จะทำให้เราเป็นอมตะ”
“อย่างนี้นี่เอง”
อวิ๋นซีก้มหน้ามองดูเลือดที่อยู่บนร่างกาย ก่อนจะโยนกระบี่ที่หักทิ้งไป แล้วใช้แขนเสื้อเช็ดใบหน้าของตนพลางกล่าวว่า “เมื่อได้พระองค์เตือนสติ กระหม่อมก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้จริงๆ”
ฮ่องเต้แคว้นฉินดวงตาเป็นประกายเล็กน้อย กล่าวถามด้วยความรู้สึกคาดหวังอย่างที่ยากจะอธิบายได้ว่า “เจ้านึกอะไรออก?”
“กระหม่อมคิดว่าวันนี้พระองค์จะต้องตาย นั่นเป็นเพราะกระหม่อมคิดว่าฮ่องเต้แคว้นฉู่จะปรากฏตัวขึ้นในเมืองเสียนหยาง คล้ายรู้สึกว่าเรื่องนี้จะเปลี่ยนแปลงเรื่องราวต่างๆ อีกมากมาย”
อวิ๋นซีกล่าวว่า “ในเวลานี้กระหม่อมถึงจะนึกขึ้นมาได้ว่าเขาเหมือนจะมีชื่อว่าจิ๋งจิ่ว เป็นคนที่ร้ายกาจอย่างมาก”
ฮ่องเต้แคว้นฉินนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “นึกถึงเรื่องเหล่านั้นขึ้นมาได้ ก็แสดงว่าเจ้าใกล้ตายแล้ว”
“ถูกต้อง แล้วกระหม่อมยังนึกเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ด้วย”
อวิ๋นซีชะงักไปเล็กน้อย กล่าวว่า “แล้วก็นึกขึ้นมาได้อีกหน่อย….อืม เยอะขึ้นแล้ว”
ฮ่องเต้มองดูเขาด้วยรอยยิ้มประหลาด
“…. กระหม่อมนึกขึ้นมาได้หลายเรื่อง ไม่สิ ข้านึกออกหมดแล้ว”
ซีอี้อวิ๋นมองขึ้นไปบนเพดานของท้องพระโรง ก่อนกล่าวว่า “ข้าไม่ใช่คนของโลกนี้จริงๆด้วย”
คำพูดประโยคเดียวที่เรียบง่ายที่แฝงเอาไว้ด้วยอารมณ์มากมาย แต่อารมณ์เหล่านั้นกลับเจือจางเหมือนน้ำ
ฮ่องเต้แคว้นฉินมองเขา พลางกล่าวอย่างดูถูกว่า “รู้สึกว่ามันว่างเปล่าใช่หรือไม่? เป็นถึงศิษย์ของเรือนอี้เหมา แต่กลับหลงอยู่ในโลกปุถุชน ช่างน่าขันเสียจริง”
ซีอี้อวิ๋นส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “ในโลกนั้น ข้าก็เป็นข้า อยู่ในโลกนี้ ข้าก็ยังเป็นข้า”
จากนั้นเขากล่าวอย่างจริงจังว่า “ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนข้าก็เป็นคนแบบนี้ จำได้หรือไม่นั้นไม่สำคัญ แล้วจะถือว่าหลงทางได้อย่างไร?”
ฮ่องเต้แคว้นฉินนิ่งเงียบไปอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวอย่างเบื่อหน่ายว่า “แต่สุดท้ายเจ้าก็ต้องตาย ข้าจะชนะการแสวงมรรคาครั้งนี้ ยันต์เซียนจะตกเป็นของข้าเท่านั้น”
ซีอี้อวิ๋นดึงสายตากลับมา มองไปทางเขาพลางกล่าวว่า “หรือการแสวงมรรคาครั้งนี้มันมีความหมายต่อเจ้าเพียงเท่านี้?”
ไม่รู้เหตุใดฮ่องเต้แคว้นฉินจึงโมโหขึ้นมาอีกครั้ง เขากล่าวเสียงดังว่า “ความหมาย? เอาไว้เจ้าตายไปแล้ว ข้าจะสังหารศิษย์สาวกทั้งหมดของเจ้า เผาหนังสือทั้งหมดของเจ้า ห้ามไม่ให้ใครเผยแพร่คำสอนของเจ้า กระทั่งชื่อของเจ้าก็ห้ามมิให้เอ่ยถึง ข้าจะลบร่องรอยทุกอย่างของเจ้าในโลกนี้ออกไปให้หมด เช่นนี้แล้วเจ้ายังจะมีความหมายอะไรสำหรับโลกนี้? แล้วโลกนี้มันยังจะมีความหมายอะไรสำหรับเจ้า?”
ซีอี้อวิ๋นกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “สัจธรรมคือการมีอยู่ที่อยู่เหนือไปจากการรับรู้ การเรียนรู้มิใช่การประดิษฐ์ เป็นเพียงการค้นพบ เท่านั้น ต่อให้ข้าตายไป หนังสือถูกเผาไป สัจธรรมเหล่านั้นก็ยังจะถูกคนค้นพบอยู่ดี ส่วนความหมายที่โลกนี้มีต่อข้า มันก็คงจะอยู่ในใจของข้า ส่วนข้ามีความหมายอะไรต่อโลกนี้ มันก็จะคงอยู่ในการใจของข้าเช่นเดียวกัน เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว”
สายตาของฮ่องเต้แคว้นฉินยิ่งเยือกเย็น เขากล่าวว่า “เจ้าอวดดีคิดว่าตัวเองเป็นผู้มีเมตตา นักเรียนเหล่านั้นต้องถูกข้าพเจ้าฆ่าตายเพราะเจ้า หรือเจ้ามิรู้สึกละอายใจเลย?”
“กวางร้องอยู่ในป่า มิใช่โศกเศร้า หากแต่โกรธเกรี้ยว เพราะสถานการณ์ที่พวกมันเผชิญอยู่มิใช่สิ่งที่พวกมันต้องรับผิดชอบ”
ซีอี้อวิ๋นมองดูดวงตาเขาพลางกล่าวอย่างจริงจัง “สำหรับข้าแล้ว เจ้าไม่มีความจำเป็นต้องทำแบบนี้เลย”
บนเสาคานของตำหนัก นกชิงเหนี่ยวเกาะอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ มองดูภาพเบื้องล่าง
เหล่าผู้บำเพ็ญพรตในโลกแห่งความเป็นจริงก็กำลังมองดูที่นี่อยู่เช่นเดียวกัน
ลูกดอกกองเป็นเหมือนภูเขาขนาดย่อมย่อมๆ
ซีอี้อวิ๋นนั่งอยู่ในกองเลือด
ฮ่องเต้แคว้นฉินยืนอยู่ตรงหน้าเขา จู่ๆ พลันหัวเราะเสียงดังขึ้นมา
เสียงหัวเราะดังสะท้อนไปมาในท้องพระโรงที่เย็นยะเยือกและอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ดูโหดร้ายทารุณเป็นอย่างมาก
นี่เป็นความโหดร้ายทารุณสำหรับโลกนี้ แล้วก็สำหรับตัวเขา
“หากเป็นเมื่อก่อน บางทีเจ้าอาจจะข่มขู่ข้าได้ แต่ในเวลานี้ข้าได้ลืมเรื่องบางเรื่องที่อยากลืมไปแล้ว ดังนั้นเจ้าจึงไม่อาจทำอะไรข้าได้”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ ฮ่องเต้แคว้นฉินก็หมุนตัวเดินออกไปจากท้องพระโรง
เสียงระเบิดเบาๆ ดังขึ้น
อักขระยันต์ที่อยู่ในม้วนหนังสือได้แสดงผลครั้งสุดท้ายของมันออกมา สะเก็ดไฟลุกขึ้นมาอีกครั้ง
ทหารแคว้นฉินจำนวนหลายร้อยนายกรูกันเข้าไปในท้องพระโรง ฟาดฟันเข้าใส่ซีอี้อวิ๋น
นกชิงเหนี่ยวบินออกไปทางด้านหน้าพระราชวัง ภาพสุดท้ายที่มองเห็นคือภาพนี้
ภายในโรงเรียนหลวงของเมืองเสียนหยางก็กำลังเกิดการฆ่าฟันอย่างโหดเหี้ยมเช่นเดียวกัน
นกชิงเหนี่ยวเกาะลงไปบนชายหลังคาของหอธนู มองไปทางนั้นอย่างเงียบๆ
กองทหารแคว้นฉินล้อมโรงเรียนหลวงเอาไว้อย่างแน่นหนา
บัณฑิตที่เหน็บกระบี่ยาวจำนวนร้อยกว่าคน เตะโต๊ะหนังสือที่อยู่ตรงหน้า เอามาขวางประตูตำหนักที่ทั้งบางและไร้ประโยชน์เอาไว้ พยายามที่จะป้องกันและทำการโจมตีกลับ
ท่ามกลางลูกดอกหน้าไม้ที่ตกโปรยปรายลงมาทั่วท้องฟ้า เลือดสดๆ สาดกระเซ็นไปบนหน้าต่างของตำหนัก มีเพียงเสียงร้องเจ็บปวด ไม่มีเสียงร้องความเมตตา แล้วก็ไม่มีเสียงร่ำไห้
กองทัพแคว้นฉินพังประตูหน้าเข้ามา
เหล่าบัณฑิตผลักประตูตำหนักแล้ววิ่งเข้าไป
ถึงกระบี่จะยาวแค่ไหนก็สามารถชักออกมาฆ่าคนได้ ขอเพียงอยากจะทำ
การต่อสู้อันดุเดือดดำเนินอยู่ครู่ใหญ่
เหล่าบัณฑิตสังหารศัตรูที่มีจำนวนมากกว่าตัวเองหลายเท่า จนกระทั่งกระบี่หัก
พวกเขาล้มลงเพราะลูกธนูที่ยิงลงมา ล้มลงเพราะหอกยาวแทงเข้ามา ล้มลงเพราะมีดดาบที่ฟันเข้ามา ล้มลงไปในกองเลือด ก่อนจะตายจากไป
ทุกที่ในโรงเรียนหลวงของเมืองเสียนหยางล้วนเต็มไปด้วยซากศพและกลิ่นคาวเลือด แมลงวันบินว่อน ส่งเสียงร้องดังหึ่งๆ ดูช่างน่ารำคาญ
กองทัพแคว้นฉินขุดหลุมขนาดใหญ่ในโรงเรียนหลวง เอาศพของบัณฑิตเหล่านั้นโยนลงไป และขนเอาหนังสือที่อยู่ในโรงเรียนหลวงออกมากองไว้ด้านบน ราดน้ำมันตุงลงไปแล้วจุดไฟ
เปลวไฟลุกโชน เกิดเป็นควันดำจำนวนมาก เผาไหม้อยู่เป็นเวลานาน จนกระทั่งพลบค่ำถึงจะดับลง
สีแดงที่อยู่บนท้องฟ้าไม่รู้ว่าเป็นแสงอาทิตย์ยามอัสดงหรือแสงจากเปลวเพลิง
ห่างจากเมืองเสียนหยางไปทางตะวันออกเฉียงใต้เก้าร้อยลี้
ตอนนี้คือฤดูใบไม้ผลิ ทั่วทั้งภูเขาเต็มไปด้วยใบไม้สีแดง ตอนที่กระทบกับแสงอาทิตย์ยามเย็นที่ส่องลงมาและถูกลมพัดพริ้วไหวไปมา มันดูคล้ายกับเปลวไฟจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังเริงระบำ
ภาพนี้งดงามนัก คล้ายกับเมฆที่กำลังลุกไหม้อยู่บนท้องฟ้า
จิ๋งจิ่วยืนอยู่ริมผา ผมเผ้ายุ่งเหยิง หนวดยาวถึงอก เสื้อผ้าขาดวิ่น ดูคล้ายคนป่า
เขามองดูเมืองเสียนหยางที่อยู่ไกลออกไป มิได้พูดอะไร
ในหมู่เขายามเย็นคล้ายว่ามีวัดอยู่แห่งหนึ่ง
……………………………………………………………………