มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 152 ถามคำถาม (2)
ในอดีตฮ่องเต้แคว้นฉินชื่นชอบใส่ชุดเกราะที่ทำจากโลหะมี่หยิน ขาวเหมือนดั่งหิมะ เหมาะสมกับชื่อฮ่องเต้ไป๋
แต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาไม่ได้ชื่นชอบสีขาวอีก
วันนี้เขาสวมชุดสีดำที่ดูธรรมดา นั่งลงไปบนบัลลังก์อย่างสบายๆ คล้ายหลอมรวมเป็นหนึ่งกับท้องพระโรงที่อยู่รอบๆ
“ท่านอาจารย์เชิญนั่ง” ฮ่องเต้แคว้นฉินยื่นมือขวาออกไป ทักทายจากระยะไกล
อวิ๋นซีนั่งลงบนที่ว่างในท้องพระโรง มองดูชาเขียวที่วางอยู่บนโต๊ะถ้วยนั้นพลางกล่าวว่า “วิธีการต้อนรับแขกของฝ่าบาทนั้นแตกต่างไปจากผู้อื่นจริงๆ ด้วย”
ที่เขาพูดนั้นมิได้หมายถึงชาเขียวถ้วยนั้น แล้วก็มิใช่วิถีชีวิตอันเรียบง่ายของแคว้นฉิน หากแต่เป็นระยะห่าง
ที่นั่งของฮ่องเต้แคว้นฉินอยู่ห่างจากที่นั่งของเขาในตอนนี้ประมาณเจ็ดสิบจ้าง
ต่อให้เป็นมือสังหารหรือหน้าไม้ที่ร้ายกาจแค่ไหนก็ไม่มีทางเอาชีวิตเขาจากระยะห่างขนาดนี้ได้
“ท่านอาจารย์เป็นคนฉลาด ข้าพเจ้าชอบพูดตรงๆ เวลาหนึ่งถ้วยชาก็น่าจะเพียงพอแล้ว”
ฮ่องเต้แคว้นฉินไม่ได้กล่าวอะไรตามคำพูดของอวิ๋นซี
อวิ๋นซีมองเขาเงียบๆ กล่าวว่า “เชิญฝ่าบาทตรัสมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้กล่าวว่า “สิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการก็คือที่ดินและประชาชน สิ่งที่ท่านต้องการก็คือใจของประชาชน ทั้งสองอย่างล้วนแต่ต้องแย่งชิงเพื่อให้ได้มา โดยเนื้อแท้แล้วมิได้มีอะไรแตกต่างกัน หากท่านยินดีร่วมมือกับข้าพเจ้า หนทางของท่านก็จะเดินไปได้ง่ายขึ้น”
คำแนะนำนี้ดูเหมือนเรียบง่าย แต่ความจริงแล้วกลับน่ากลัวเป็นอย่างมาก ภายในแอบซ่อนรายละเอียดเอาไว้มากมาย และรายละเอียดล้วนแต่เป็นปีศาจ สิ่งที่ปีศาจถนัดที่สุดก็คือการล่อลวงผู้คน
หากคนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งของอวิ๋นซีคือเหอจาน เขาอาจจะรับข้อเสนอของฮ่องเต้แคว้นฉินก็เป็นได้
แต่อวิ๋นซีไม่ได้ตอบรับ เขากล่าวว่า “น่าเสียดาย หนทางที่ข้าแสวงหาสามารถอยู่ในที่ต่างๆ บนโลกได้ แต่ไม่สามารถอยู่บนแคว้นฉินได้”
ฮ่องเต้แคว้นฉินโน้มกายไปข้างหน้าเล็กน้อย มองดูเขาที่อยู่ห่างออกไปพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกเล็กน้อยว่า “เพราะเหตุใด?”
อวิ๋นซีกล่าวว่า “เพราะสิ่งที่ฝ่าบาททรงกระทำคือการใช้กำลัง แต่สิ่งที่กระหม่อมต้องการคือเมตตา”
ฮ่องเต้แคว้นฉินกล่าว “ข้าพเจ้าต้องการใต้หล้า ก็มีแต่ต้องใช้กำลังพิชิตแผ่นดิน หลังได้ใต้หล้ามาแล้ว ข้าพเจ้าย่อมต้องใช้ความเมตตาปกครองใต้หล้า”
อวิ๋นซีกล่าว “เหตุใดพระบาททรงต้องการเกลี้ยกล่อมกระหม่อม?”
ฮ่องเต้แคว้นฉินกล่าว “ที่นี่ไม่ใช่โรงเรียนหลวงแคว้นฉี ข้าพเจ้าเองก็ไม่ใช่นักเรียนของท่าน หรือท่านยังคิดจะทดสอบข้าพเจ้า?”
อวิ๋นซีกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “กระหม่อมเพียงต้องการหารือกับฝ่าบาทเท่านั้น”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็หยิบม้วนหนังสือฉบับหนึ่งจากในแขนเสื้อออกมาวางไว้บนโต๊ะ
ขันทีหยิบม้วนหนังสือขึ้นมาตรวจสอบดูอย่างละเอียด หลังมั่นใจว่าไม่มีพิษและไม่มีกลไกลับแอบซ่อนอยู่ถึงจะยื่นถวายให้แก่ฮ่องเต้
ฮ่องเต้พลิกเปิดม้วนหนังสือ กวาดตามองดูเล็กน้อย ก่อนกล่าวอย่างเย้ยหยันว่า “ล้วนแต่เป็นปัญหาน่าเบื่อที่พวกคนแก่คุยกัน”
อวิ๋นซีกล่าวว่า “ฝ่าบาทคิดอยากจะกลายเป็นเจ้าแห่งใต้หล้า พระองค์ก็ต้องรู้ว่าพระองค์ควรจะแบกรับอะไรบ้าง”
แต่ไหนแต่ไรมาการปกครองใต้หล้านั้นมิใช่การนึ่งปลา แต่ถึงกระนั้นก็ต้องระวัง อย่าได้สะบัดกระทะตามใจชอบ
ฮ่องเต้จะวางตำแหน่งตัวเองบนประวัติศาสตร์อย่างไร จะกำหนดเป้าหมายที่ตัวเองไล่ตามบนโลกนี้อย่างไร สำหรับทุกคนในใต้หล้าแล้ว นี่ล้วนแต่เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก
ฮ่องเต้แคว้นฉินเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ปัญหาเหล่านี้ ข้าพเจ้าแก้ไขไม่ได้”
อวิ๋นซีถอนใจออกมา พลางกล่าวว่า “เช่นนั้นวันนี้ก็พอแค่เพียงเท่านี้แล้วกันพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่จำเป็นต้องคุยเรื่องที่ว่าหากรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งก็จะไม่มีไฟสงคราม ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข โลกสงบสุขอะไรนั่นอีก
แล้วก็ไม่จำเป็นต้องคุยเรื่องสงครามที่ไม่เป็นธรรม วีรบุรุษออกมาปกป้องใต้หล้าอะไรพวกนั้นอีก
ทุกคนต่างมีเหตุผลของตัวเอง
หนทางแตกต่างกัน ก็ยากร่วมมือกันได้
ผู้คนบนโลกจะต้องคิดไม่ถึงแน่นอนว่าการเจรจาที่เป็นที่คนทั้งโลกจับตามองจะจบลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้
ฮ่องเต้แคว้นฉินพลันกล่าวว่า “จริงอยู่ที่ข้าพเจ้าไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่ท่านอาจารย์เสนอมาเหล่านี้ได้ แต่ข้าพเจ้าสามารถจัดการคนที่เสนอปัญหาได้”
เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ อวิ๋นซีพลันยิ้มอย่างสบายๆ ขึ้นมา จากนั้นลุกขึ้นยืนพลางกล่าวว่า “ฝ่าบาทเชิญกระหม่อมมาเสียนหยาง ที่แท้ทรงต้องการสังหารกระหม่อม”
ฮ่องเต้แคว้นฉินหัวเราะเสียงดังพลางกล่าวว่า “ท่านอาจารย์เข้าใจผิดแล้ว ข้าพเจ้าอยากจะให้โอกาสท่านในการสังหารข้าพเจ้าต่างหาก”
อวิ๋นซีเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนกล่าวถามว่า “เหตุใดฝ่าบาทถึงรู้จักกระหม่อมดีเพียงนี้?”
ฮ่องเต้แคว้นฉินหุบยิ้ม กล่าวว่า “เพราะข้าพเจ้ารู้ดีว่าท่านคือใคร รู้ดีกว่าตัวท่านเองเสียอีก พวกท่านคือคนดื้อดึงและเชื่อมั่นในหลักการของตนเองเท่านั้น การที่สามารถมายืนอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าได้ ท่านก็มีโอกาสครั้งนี้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ถ้าไม่พูดเกลี้ยกล่อมข้าก็สังหารข้า หากพลาดโอกาสนี้ไป ท่านไม่มีทางยกโทษให้ตัวเองแน่นอน”
อวิ๋นซีไม่ได้กล่าวอะไรอีก มือขวาค่อยๆ เลื่อนลงไปกุมด้ามกระบี่
มาตรว่าเป็นกระบี่ยาวที่ใช้เป็นเครื่องประดับ มันก็สังหารคนได้เช่นเดียวกัน
ภายในท้องพระโรงตกอยู่ในความเงียบสงัดเป็นเวลานาน คล้ายดั่งสุสาน แต่กลับไม่รู้ว่าอีกประเดี๋ยวใครจะต้องนอนอยู่ที่นี่
……
……
ลมที่มีกลิ่นเหม็นไหม้จางๆ ของน้ำยาเคลือบพัดลอยเข้ามาจากด้านนอกท้องพระโรง พัดชุดของอวิ๋นซีขยับเล็กน้อย
ร่างกายอวิ๋นซีขยับตามชุดขึ้นมา ลอยออกไปเบื้องหน้าเหมือนดั่งเมฆก้อนหนึ่ง กระบี่ยาวทลายปลอกกระบี่ออกมา ถูกเขากุมเอาไว้ในมือ
ฮ่องเต้แคว้นฉินยืนอยู่ห่างออกไปเจ็ดสิบจ้าง มองดูภาพนี้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ฝึบๆๆๆๆๆ เสียงดีดของสายหน้าไม้จำนวนนับไม่ถ้วนดังขึ้นมา ลูกดอกจำนวนนับไม่ถ้วนปกคลุมพื้นที่ว่างทั้งหมดภายในท้องพระโรงเหมือนดั่งพายุฝน
ลูกดอกอันแหลมคมแทงทะลุเสื้อผ้าได้อย่างง่ายดาย แต่กลับยากจะแทงทะลุร่างกายของเขาได้ — ในดินแดนแห่งความฝันของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง ความเร็วของจิ๋งจิ่วเร็วที่สุด การเคลื่อนไหวของเหอจานแปลกประหลาดที่สุด เช่นนั้นการเคลื่อนไหวของอวิ๋นซีก็ลอยล่องมากที่สุด คล้ายดั่งขนนกที่ไม่รับแรงใดๆ แล้วก็ยิ่งดูคล้ายก้อนเมฆ
แต่ฝนลูกดอกที่อยู่ในท้องพระโรงนั้นมีจำนวนมากเกินไป ในตอนที่เขาอยู่ห่างจากฮ่องเต้แคว้นฉินประมาณสิบกว่าจ้าง บนร่างกายก็มีลูกดอกปักอยู่สิบกว่าลูกแล้ว โลหิตสาดกระเซ็นอย่างคลุ้มคลั่ง
ฮ่องเต้แคว้นฉินยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย มือขวาฟาดไปบนมือจับของบัลลังก์ เตรียมจะใช้ทางใต้ดินหลบหนีออกไป
ในอดีตแผ่นเหล็กที่อยู่ในท้องพระโรงได้ถูกจัวหรูซุ่ยต่อยจนทะลุ เขาก็ได้ทำการปรับเปลี่ยนวิธีสุดท้ายที่จะใช้รักษาชีวิตตนเองเอาไว้
อุโมงค์ใต้ดินสร้างขึ้นมาจากหินที่หนาหลายจ้าง ขอเพียงเขาเข้าไปได้ ก็จะไม่มีมือสังหารคนไหนที่จะทำอันตรายเขาได้อีก
ในเวลานี้เอง เขาพลันรับรู้ได้ว่าอากาศภายในท้องพระโรงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ บางอย่าง
นั่นคือกลิ่นเหม็นไหม้จางๆ แต่เขามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่านั่นมิใช่กลิ่นเผาน้ำยาเคลือบจากด้านนอกวัง
สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย หางตาเหลือบมองเห็นว่าในม้วนหนังสือมีประกายไฟเล็กๆ ดวงหนึ่งปรากฏขึ้นมา
ในม้วนหนังสือนั้นเขียนปัญหาเจ็ดข้อที่อวิ๋นซีเสนอมา
ประกายไฟลุกลามอย่างรวดเร็วจนยากจะจินตนาการได้ กลายเป็นเปลวไฟลุกโชน ก่อนจะกลายเป็นระเบิดที่น่าหวาดกลัวในท้ายที่สุด
เสียงตูมดังสนั่น บัลลังก์ถูกระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กลไกที่อยู่ตรงปากอุโมงค์ใต้ดินถูกทำลาย ฮ่องเต้แคว้นฉินถูกกระแทกจนกระเด็นออกไปหลายจ้าง ชุดสีดำถูกฉีกกระจุยกระจาย ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
อวิ๋นซีลงมายืนอยู่ตรงหน้าเขา แทงกระบี่ออกไป
ผัวะๆๆๆๆ เสียงกระแทกของคลื่นอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนดังขึ้น ฝุ่นควันปลิวว่อน บดบังทัศนวิสัยภายในท้องพระโรง
บนใบหน้าและร่างกายของฮ่องเต้แคว้นฉินเต็มไปด้วยบาดแผล เหมือนถุงสุราที่แตกออก เลือดไหลออกมาไม่หยุด
อวิ๋นซีเองก็ไม่อาจยืนอยู่ได้ เขาล้มนั่งลงไปกับพื้น
ลูกดอกที่ฮ่องเต้แคว้นฉินใช้จัดการกับเขาล้วนแต่เป็นลูกดอกที่สั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษ มันถูกอาบยาพิษเอาไว้ เมื่อผสมกับแร่มี่หยินเข้าไปก็จะแหลมคมจนสามารถแทงทะลุเกราะได้ ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญพรตก็ไม่สามารถต้านทานได้
ทหารแคว้นฉินหลายสิบนายกรูกันเข้าไปในท้องพระโรง ส่วนหนึ่งยืนขวางอยู่ด้านหน้าฮ่องเต้แคว้นฉิน อีกส่วนหนึ่งวิ่งเข้าไปหาอวิ๋นซี ด้วยคิดจะฟันเขาเป็นชิ้นๆ
“หยุด?”
ฮ่องเต้ตะโกนเสียงดัง เขาโมโหเป็นอย่างมาก ผลักเหล่าทหารแคว้นฉินแล้วเดินมายืนอยู่ตรงหน้าอวิ๋นซี คล้ายเสือที่ดุร้ายเตรียมจะขย้ำคน
อวิ๋นซีไม่ได้สนใจเขา ก้มหน้าสำลักโลหิตออกมาไม่หยุด
เมื่อเห็นภาพนี้ ฮ่องเต้แคว้นฉินพลันสงบลง เขาโบกมืออย่างเหนื่อยล้าเพื่อบอกให้ทุกคนถอยออกไป
อวิ๋นซีถูกลูกดอกสิบกว่าลูกแทงทะลุหน้าอก แล้วยังปะทะกับฮ่องเต้แคว้นฉินอีกทีหนึ่ง อย่าว่าแต่จะให้สู้อีกเลย กระทั่งยืนก็ไม่สามารถยืนขึ้นมาได้
เหล่าทหารของแคว้นฉินย่อมไม่วางใจ แต่ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งของฝ่าบาท จึงได้แต่ต้องถอยออกไปจากท้องพระโรงอย่างช้าๆ
ภายในท้องพระโรงเงียบสงัดอีกครั้ง คล้ายสุสานจริงๆ
ฮ่องเต้แคว้นฉินจ้องมองดูดวงตาของอวิ๋นซี กล่าวถามว่า “ในหนังสือนั้นคืออะไร?”
อวิ๋นซีกล่าว “ยันต์”
ฮ่องเต้แคว้นฉินกล่าวอย่างตกตะลึงว่า “เจ้าไม่ใช่ว่าลืมไปหมดแล้วหรือ! ทำไมถึงยังเขียนยันต์ได้อีก”
อวิ๋นซีงุนงง จู่ๆ พลันหัวเราะขึ้นมา กล่าวว่า “ที่แท้เมื่อก่อนข้าก็เขียนเป็นอย่างนั้นหรือ”
…………………………………………………………..