มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 142 เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับจริงเท็จ
ภายในท้องพระโรง มหาบัณฑิตเฉินและนายพลผู้หนึ่งเคยพูดเย้ยหยันเอาไว้ว่าต่อให้จิ๋งจิ่วสามารถขังขุนนางเหล่านี้เอาไว้ในท้องพระโรงได้มันก็ไม่มีประโยชน์
จิ๋งจิ่วไม่เคยคิดที่จะทำเช่นนั้นมาก่อน หากแต่สังหารพวกเขาทิ้งทั้งหมด
ขุนนางหลายสิบคนนอนจมกองเลือด แต่ตัวเขาเองก็บาดเจ็บเหมือนกัน
นายพลเหล่านั้นพอจะมีฝีมืออยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้นมหาบัณฑิตเฉินก็ยังมีการเตรียมตัวมา เขาได้เชิญยอดฝีมือมาสองสามคนให้ปลอมเป็นขุนนางเข้ามาในท้องพระโรง
แสงอาทิตย์ส่องลงมาบนใบหน้าที่ขาวซีด เขามองไปยังท้องฟ้าที่อยู่ด้านนอกวังหลวง คิดถึงเรื่องราวบางเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วและเรื่องราวบางเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันยาวนานหลังจากนี้
ประวัติศาสตร์มักจะเกิดซ้ำรอยไม่หยุด สิ่งเดียวที่แตกต่างกันก็คือสภาวะของเขาในโลกนี้ค่อนข้างต่ำต้อย
ขันทีน้อยผู้นั้นพาขุนนางที่ยังมีชีวิตรอดเดินเลียบตามมุมท้องพระโรงออกไปด้านนอก ขุนนางเหล่านั้นมองดูพื้นที่มีเลือดเจิ่งนองคิดถึงภาพอันสยดสยองก่อนหน้านี้ ขาของพวกเขาพลันอ่อนระทวยขึ้นมา พวกเขาพยายามฝืนเดินออกมาด้านนอกท้องพระโรง เมื่อมองเห็นฝ่าบาทที่มือถือกระบี่ เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด พวกเขาไหนเลยจะกล้าสบตาตรงๆ ต่างคนต่างพากันคุกเข่าลงไปทันที
“หากยังเดินได้ ก็ไปจัดการให้เรียบร้อย”
เสียงของจิ๋งจิ่วไม่มีอารมณ์ใดๆ
ขุนนางเหล่านั้นไหนเลยจะกล้าเอ้อระเหย ใช้มือยันกายขึ้นมา ก่อนจะรีบเดินออกไปจากวังอย่างรวดเร็ว
ยังมีอีกหลายเรื่องที่จำเป็นต้องให้พวกเขาไปจัดการ ทำให้ทหารหลวงสงบลงนั่นคือขั้นแรก ช่วยขุนนางเหล่านั้นออกมาจากในคุกหลวงคือขั้นที่สอง
ด้านนอกพระราชวังมีความวุ่นวายเล็กน้อย แต่ก็สงบลงอย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่นานประตูวังก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง ขุนนางหลายสิบคนมาถึงหน้าท้องพระโรง คุกเข่าลงตรงหน้าจิ๋งจิ่ว
คนเหล่านี้เพิ่งจะหนีออกมาจากคุกหลวง บนร่างกายยังสวมใส่ชุดนักโทษอยู่ ดูกระเซอะกระเซิงเป็นอย่างมาก
นายพลเผยและเจ้าเมืองโจวคุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุด
คนแรกคือนายพลชื่อดังที่มีบารมีและได้รับความเชื่อใจจากมหาบัณฑิตจางมากที่สุดในแคว้นฉู่ ส่วนตำแหน่งสถานะของอีกคนหนึ่งนั้นแตกต่างเป็นอย่างมาก แต่เขากลับเป็นอัครมหาเสนาบดีที่มหาบัณฑิตจางเตรียมเอาไว้ให้แก่จิ๋งจิ่วในอนาคต
พวกเขาทราบข่าวจากขุนนางคนอื่นๆ ว่าวันนี้ภายในท้องพระโรงเกิดเรื่องอะไรขึ้น รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ จนกระทั่งในเวลานี้ เมื่อเห็นขันทีแหละนางกำนัลหลายสิบคนกำลังเอาน้ำสะอาดราดไปในท้องพระโรงโดยมีขันทีสองสามคนคอยสั่งการ เมื่อเห็นเลือดที่ไหลออกมาจากในท้องพระโรงราวน้ำตก จากนั้นไหลลงมาตามบันไดหินเหล่านั้น พวกเขาถึงได้รู้สึกตกตะลึง ครุ่นคิดว่าที่แท้นั่นคือเรื่องจริง
ฝ่าบาททรงสังหารขุนนางในราชสำนักจนเกือบหมด
จิ๋งจิ่วมองดูนายพลเผยพลางกล่าวว่า “เจ้าไปยังค่ายทหารนอกเมือง หากในเมืองหลวงมีปัญหาอะไร ก็กำจัดทิ้งไปเสีย”
นายพลเผยสีหน้าเปลี่ยนทันที เจ้าเมืองโจวเป็นห่วงว่าฝ่าบาทอาจจะยังไม่ทราบถึงความซับซ้อนของสถานการณ์ในตอนนี้ จึงกล่าวว่า “ค่ายทหารด้านนอกเมืองหลวงไม่มีทางฟังคำสั่งของนายพลเผยแล้วพ่ะย่ะค่ะ เรือนต่างๆ ภายในเมืองหลวงต่างมีการเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว พวกอ๋องเหล่านั้นก็คงไม่มีทางอยู่เฉยเด็ดขาด ไม่แน่พวกเขาอาจจะช่วยโอกาสนี้ก่อความวุ่นวาย ฝ่าบาท….”
“พวกเจ้าเป็นคนที่มหาบัณฑิตเลือก หากเรื่องเล็กๆ แค่นี้ยังจัดการไม่ได้ เช่นนั้นสายตาเขาก็คงจะแย่เกินไปหน่อยแล้ว”
เมื่อคิดถึงมหาบัณฑิตเฉินที่ตายอยู่ในท้องพระโรงและเจ้ากระทรวงจินที่ตายไปเมื่อวานนี้ จิ๋งจิ่วถึงได้พบว่าสายตาของมหาบัณฑิตจางนั้นไม่ได้ดีเท่าไร ยกเว้นก็เสียแต่เรื่องที่เขามองตัวเองออก
“เอาเป็นว่าเรื่องเล็กๆ แค่นี้ไม่ต้องมากวนใจข้า วันนี้ไม่ต้อง ต่อไปก็ไม่ต้อง ในด้านนี้พวกเจ้าต้องตั้งใจเรียนรู้จากเขาให้ดี”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็หมุนตัวเดินไปทางตำหนักเย็น
จัวหรูซุ่ยหาวออกมา ก่อนจะเดินตามออกไป
……
……
กุญแจที่ถูกสนิมกัดกินจนใช้การไม่ได้ถูกกำจัดทิ้ง ประตูด้านข้างที่ปกติเอาไว้ใช้ส่งข้าวของเครื่องใช้ถูกปิดตาย นอกจากนี้แล้ว ในตำหนักเย็นก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรอีก ยังคงเย็นยะเยือกเหมือนแต่ก่อน
จิ๋งจิ่วโยนกระบี่ที่เสียหายอย่างหนักเล่มนั้นลงไปในบ่อน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้วกลับมานั่งลงบนตั่ง เลือดที่ท่วมตัวก่อนหน้านี้ย่อมต้องถูกทำความสะอาดไปหมดแล้ว
จัวหรูซุ่ยยืนอยู่หน้าตั่ง กล่าวว่า “หากมิเป็นเพราะแขนขาดครั้งนั้น บางทีตอนนี้ข้าคงจะลืมเรื่องภายนอกไปกว่าครึ่งแล้ว”
จิ๋งจิ่วกล่าววว่า “ต้องแย่งชิงยันต์เซียน คันฉ่องฟ้ากระจ่างย่อมไม่มีทางปล่อยให้เจ้าลืมเรื่องนี้ไปได้ เรื่องอื่นจะลืมหรือไม่ลืมก็ช่าง”
จัวหรูซุ่ยกล่าวว่า “อาจารย์อา ท่านคิดจะทำอย่างไรกันแน่?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เจ้าล่ะ?”
“ข้ายังคงคิดเหมือนเดิม บำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี่แล้วฆ่าคน”
จัวหรูซุ่ยกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “ฆ่าผู้แสวงมรรคาให้หมด ยันต์เซียนย่อมต้องเป็นของชิงซาน ต่อให้ไม่สำเร็จก็ไม่ได้ทำให้ช่วงเวลาหลายสิบปีนี้สูญเปล่า”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไร”
ศิษย์ชิงซานต่างก็มีนิสัยเด็ดขาดเช่นนี้ การที่จะมีแผนการคล้ายๆ กันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
จัวหรูซุ่ยเพียงแต่ไม่เข้าใจ ในเมื่อจะบำเพ็ญเพียร ในเมื่อจะฆ่าผู้แสวงมรรคาคนอื่นๆ แล้ววันๆ ท่านจะหลบอยู่ในวังนี้ทำอะไร?
เขารู้ว่าต่อให้ตัวเองถามไปก็อาจจะไม่ได้รับคำตอบกลับมา ไม่เห็นหรือว่าตอนนั้นถงเหยียนตายได้น่าเศร้าแค่ไหน จึงยกมือคารวะเตรียมจากไป
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ไปไหน?”
จัวหรูซุ่ยกล่าวว่า “ไปแคว้นจ้าวฆ่าขันทีนั่น”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เหอจานค่อนข้างวิปริต ระวังด้วย”
หลังจัวหรูซุ่ยจากไป ภายในตำนักยิ่งเงียบสงัดและเย็นยะเยือก
วันนี้ภายในเมืองหลวงจะต้องเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นอย่างแน่นอน ไม่รู้ว่านายพลเผยและเจ้าเมืองโจวจะรักษาสถานการณ์เอาไว้ได้หรือไม่ แล้วก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายจะมีคนตายไปมากน้อยเท่าไหร่
จิ๋งจิ่วนั่งอยู่บนตั่ง มองดูท้องฟ้าที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างอย่างเงียบๆ นั่งอยู่ในท่าทางแบบนี้เป็นเวลานาน
ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดเรื่องอะไร น่าจะไม่เกี่ยวข้องกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในเมืองหลวง
แสงอาทิตย์เคลื่อนคล้อย มีคนคอยมารายงานสถานการณ์อยู่ด้านหน้าท้องพระโรงเป็นระยะ แต่ที่น่าสนใจก็คือคนที่มารายงานนั้นมิใช่ขันทีน้อย หากแต่เป็นคุณชายใหญ่แห่งตระกูลจาง
อาจจะเป็นเพราะสำหรับนายพลเผยกับเจ้าเมืองแล้ว คุณชายใหญ่คือคนที่ได้รับความเชื่อใจจากฝ่าบาทมากที่สุด
จิ๋งจิ่วไม่ได้ตอบอะไร เขายังคงมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง นิ่งเงียบไม่พูดอะไร
พระอาทิตย์ค่อยๆ คล้อยตกลง หลังจากท้องฟ้าสีแดงผ่านไปก็เป็นท้องฟ้ายามค่ำคืน ภายในวังเปลี่ยนเป็นมืดสลัว
ไม่รู้เมื่อไร ภายในท้องพระโรงมีโคมไฟดวงหนึ่งสว่างขึ้นมา
พึบพับ พึบพับ
ชิงเหนี่ยวกระพือปีกบินเข้ามาในท้องพระโรง ลงมายืนบนตั่ง ก่อนจะเปลี่ยนร่างกลับเป็นสาวน้อยที่น่ารัก
จิ๋งจิ่วถาม “จัดการแล้ว?”
ชิงเหนี่ยวกล่าว “ความวุ่นวายในค่ายทหารด้านนอกเมืองและทหารหลวงถูกเผยซือหมิงจัดการแล้ว เรือนขุนนางเหล่านั้นก็ถูกควบคุมเอาไว้ เจ้าไม่ต้องกังวลใจ”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าเปล่า”
ชิงเหนี่ยวกล่าวอย่างโมโหเล็กน้อย “คนที่อยู่ด้านนอกนั้นชอบดูการต่อสู้ ข้าถึงได้ใช้ภาพพวกนั้นให้พวกเขาดูไปก่อน แต่สุดท้ายยังไงข้าก็ต้องให้พวกเขาได้ดูเจ้าบ้าง”
“ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยบอกว่าวันๆ ข้าเอาแต่นอนอยู่ที่นี่ คนที่อยู่ด้านนอกหุบเขาหุยอินดูจนเบื่อแล้ว”
“แต่ภาพเหตุการณ์สังหารในท้องพระโรงอย่างวันนี้ พวกเขาชอบดูมากที่สุด ข้าก็ไม่ได้ฉายออกไป ไม่รู้ว่าโดนต่อว่ามากน้อยเท่าไร”
“การที่ไม่สามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์ได้ บางทีอาจจะตื่นเต้นมากกว่า”
“มีเหตุผล มิน่าถึงมีคำชมไม่น้อย”
“ไม่ต้องขอบคุณ”
“เจ้าเองก็ไม่ต้องเกรงใจ”
ชิงเอ๋อร์กล่าวอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย “ต่อไปอย่าให้ข้าเป็นคนส่งสารอีก ถ้าเกิดทำให้ท่านนักพรตไป๋สงสัยขึ้นมาจะทำอย่างไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าจะระวัง”
แสงไฟสีเหลืองส่องไปบนร่างกายของเขา
เพราะฆ่าคนในตอนกลางวัน ใบหน้าของเขาจึงค่อนข้างขาวซีด สีหน้าดูเหนื่อยล้า ผมสีดำปรกลงบนบ่า เกิดเป็นความงามที่ดูหงอยเหงาซึมเซา
เมื่อเห็นภาพนี้ ชิงเอ๋อร์ดูเหม่อลอย หลังจากนั้นครู่หนึ่งถึงได้สติขึ้นมา ก่อนกล่าวอย่างตกใจว่า “เจ้าจุดไฟอย่างนั้นหรือ?”
จิ๋งจิ่วส่งเสียงอืม
น้อยครั้งนักที่ในท้องพระโรงนี้จะจุดไฟ จนกระทั่งเมื่อหลายวันก่อน มหาบัณฑิตจางมาเยือนครั้งหนึ่ง ถึงได้มีไฟตะเกียงลุกขึ้นมา
ชิงเอ๋อร์คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อน ก่อนจะกล่าวถามว่าไม่เข้าใจว่า “เจ้ามุ่งบำเพ็ญเพียร เรื่องนี้ล้วนไม่ใส่ใจ เหตุใดครั้งนี้กลับยินดีลงมือ”
จิ๋งจิ่วกล่าว “บำเพ็ญเพียรต้องการสถานที่ที่เงียบสงบ ข้าทำเรื่องเหล่านี้ก็มิได้ต่างอะไรกับการที่หมีกำจัดภัยร้ายนอกถ้ำของมัน”
ชิงเอ๋อร์มองเขาพลางกล่าวถามว่า “เป็นแบบนั้นจริงๆ หรือ? เพียงแค่นั้นจริงๆ หรือ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “แน่นอน”
ชิงเอ๋อร์มุ่ยปาก กล่าวว่า “บางทีอาจจะเป็นเช่นนั้น…แต่ข้าก็ยังคิดว่าการที่เจ้าลงมือนั้นมีส่วนเกี่ยวของกับมหาบัณฑิตอยู่”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ก็อาจจะเป็นเช่นนั้น”
ดวงตาของชิงเอ๋อร์เป็นประกายขึ้นมา กล่าวว่า “มหาบัณฑิตผู้นั้นมีอะไรแตกต่างจากผู้อื่นหรือ? สำหรับเขาแล้วเจ้าคือสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง สำหรับเจ้าแล้ว…เอาล่ะ เขาอาจจะมีอยู่จริง…ไม่สิ ในเมื่อเจ้าจะออกไปจากดินแดนแห่งความฝัน ยิ่งไปกว่านั้นชีวิตนี้อาจจะไม่กลับมาที่นี่อีก หรือต่อให้กลับมาก็ไม่มีทางได้เจอเขาอีกเช่นกัน อย่างนั้นสำหรับเจ้าแล้ว เขาเองก็คือสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงนี่นา?”
ในคำพูดประโยคนี้มีความจริงและไม่จริงอยู่มากมายจนแยกไม่ออกแล้วว่าอะไรจริงไม่จริง
ชิงเอ๋อร์จ้องมองดวงตาของเขา “จากที่เจ้าเคยบอกมา ทุกคนที่จากไปแล้วไม่กลับมาอีกล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงต้องทำแบบนี้?”
จิ๋งจิ่วมองดูตะเกียงไฟที่ดูสลัว กล่าวว่า “เพราะโลกนี้มีหลายเรื่องที่มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับจริงหรือไม่จริง”
……
……
ด้านนอกหุบเขาหุยอินตกอยู่ในความเงียบ
ฉากลำแสงบนท้องฟ้ายังคงหยุดอยู่ที่ภาพนั้น
แสงไฟสลัวในท้องพระโรงค่อยๆ เลื่อนห่างออกไป แสงไฟภายในเมืองหลวงส่องสว่าง ทหารม้าควบม้าวิ่งไปบนพื้นอิฐ เสียงร่ำไห้ค่อยๆ เบาลง
ไม่มีใครได้ยินบทสนทนาก่อนหน้านี้ของชิงเหนี่ยวและจิ๋งจิ่ว แต่ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดล้วนแต่ถูกทุกคนมองเห็นแล้ว
ไม่ว่าใจของผู้บำเพ็ญพรตจะสงบนิ่งเพียงใด เมื่อเห็นแสงไฟตามบ้านเรือนที่อยู่ในภาพ และคิดถึงความสุขเศร้าพบจากในช่วงเวลาสามสิบวันที่ผ่านมา พวกเขาก็รู้สึกผิดหวังอยู่บ้างเช่นกัน
ขอบตาของเซ่อเซ่อเปียกชื้นขึ้นมา แต่กลับไม่รู้ว่าน้ำตานั้นไหลออกมาเพราะจิ๋งจิ่วและมหาบัณฑิตจาง หรือไหลออกมาด้วยเหตุผลอื่น
ถงเหยียนยืนอยู่ริมผาที่ไกลออกไป คิดถึงคำพูดประโยชน์สุดท้ายที่จิ๋งจิ่วพูดประโยคนั้น นิ่งเงียบเป็นเวลานาน
เหล่านั้นล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่จริง
ในการแสวงหาวิถีธรรม ผู้บำเพ็ญพรตล้วนแต่เคยได้ยินคำพูดทำนองนี้ อาจจะมาจากอาจารย์ อาจจะมาจากเพื่อนร่วมสำนัก เพียงแต่พวกเขาไม่ได้กล่าวอย่างเด็ดขาดและมั่นใจเหมือนอย่างจิ่งจิ่ว
เมื่อฟังคำพูดทำนองเยอะเข้า ผู้บำเพ็ญพรตหลายคนมักจะเกิดความรู้สึกเข้าใจผิดบางอย่าง การแยกแยะสิ่งลวงตาให้ออกจะทำให้สัมผัสกับความเป็นจริงและตัดขาดจากอารมณ์ได้ แต่ก็เหมือนอย่างที่จิ๋งจิ่วว่าเอาไว้ บนโลกมีเรื่องราวมากมายที่เดิมทีก็มิได้เกี่ยวข้องกับจริงปลอม ใครจะไปตัดอารมณ์ความรู้สึกได้จริงๆ? หรือพูดอีกอย่างก็คือ เหตุใดต้องตัดอารมณ์ความรู้สึก?
ด้านหลังหน้าผามีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา ถงเหยียนเหลียวหน้าไปมอง พบว่าเป็นศิษย์สำนักอู๋เอินเหมินที่ตัวผอมดำคนนั้น จึงถามออกไปทันทีว่า “เจ้าคิดอย่างไรเรื่องคำพูดของคุณชายของเจ้า?”
หลิ่วสือซุ่ยตกใจ ในใจครุ่นคิดว่าอีกฝ่ายมองตัวตนที่แท้จริงของตนเองออกแล้วหรือ?
……………………………………………………