มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 141 เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมา ดอกไม้พากันร่วงโรย (2)
ในการประชุมวันนี้ มหาบัณฑิตเฉินนั้นอยากจะรู้ว่าข่าวลือนี้เป็นจริงหรือไม่ และแน่นอนว่าไม่ว่าคำตอบจะเป็นแบบไหนเขาก็ได้เตรียมตัวเอาไว้แล้ว
ต่อให้ฝ่าบาททรงเป็นผู้ที่บำเพ็ญเพียรเพื่อจะบรรลุกลายเป็นเซียนที่มีสภาวะสูงส่งจริงๆ แต่เขาก็ยังไม่อาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของแคว้นฉู่ได้!
จิ๋งจิ่วย่อมไม่มีทางตอบคำถามนี้
ขันทีน้อยผู้นั้นเฉลียวฉลาดเป็นยิ่งนัก เขาฝืนสะกดความตื่นเต้นภายในใจเอาไว้ กล่าวตะคอกออกไปว่า “รับราชโองการ? ฝ่าบาททรงไม่ได้มีพระราชโองการ ท่านรับราชโองการของใคร!”
เสียงของขันทีน้อยเล็กแหลม เนื่องเพราะตื่นเต้นแล้วก็แหบพร่าเล็กน้อย เสียงของเขาฟังดูแล้วจึงเหมือนกับเสียงไก่ตัวผู้ที่ถูกคนบีบคอ ฟังดูแย่เป็นอย่างมาก
เสียงที่ฟังดูแย่นี้ดังสะท้อนไปมาในท้องพระโรงอันกว้างขวาง มหาบัณฑิตเฉินสีหน้าตกตะลึงไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร
จิ๋งจิ่วไม่คิดจะปล่อยให้เรื่องที่น่าเบื่อเช่นนี้ดำเนินต่อไป เขามองดูเหล่าขุนนางที่อยู่ในท้องพระโรงพลางกล่าวว่า “มหาบัณฑิตจาง คือคนที่ข้าพเจ้าเลือก พวกเจ้าเล่นงานเขาก็เหมือนเล่นงานข้าพเจ้า”
คำพูดประโยคนี้หยาบกระด้าง ไร้ซึ่งรสชาติ แล้วก็ดูไม่เข้ากับลักษณะท่าทางที่เหล่าขุนนางควรจะมี ดูเหมือนการพูดจาของหญิงสาวที่อยู่ในโลกภายนอกมากกว่า
เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่มิได้รู้สึกหวาดกลัว แต่กลับรู้สึกขำขัน ขุนนางบางคนถึงขนาดหลุดหัวเราะออกมาจริงๆ
จิ๋งจิ่วมิได้สนใจพวกเขา หากแต่กล่าวต่อว่า “…. นั่นก็คือตายทั้งครอบครัว”
คำพูดประโยคนี้เรียบง่าย ไม่ได้มีรังสีแห่งการฆ่าฟันแม้แต่น้อย แล้วก็มิได้เป็นเหมือนสายฟ้าที่ฟาดลงมา หากแต่เป็นเหมือนลมที่พัดผ่าน แต่กลับทำให้ทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรงต่างรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือก
ขันทีน้อยผู้นั้นอุ้มใบรายชื่อก้าวเดินออกไปข้างหน้าสองก้าว ก่อนจะกลืนน้ำลายลงไปอย่างตื่นเต้นแล้วเริ่มประกาศรายชื่อออกมา ขุนนางที่ถูกเขาเรียกชื่อเดินออกมาจากแถว สีหน้าดูค่อนข้างสับสน ขุนนางเหล่านี้มีจำนวนน้อย มีเพียงแค่เจ็ดแปดคน ส่วนขุนนางที่ไม่ได้ถูกเรียกชื่อก็รู้สึกไม่เข้าใจเช่นกัน ในใจครุ่นคิดว่าฝ่าบาททรงคิดจะทำอะไร
ขันทีน้อยคิดถึงคำพูดที่จะพูดหลังจากนี้ สีหน้ายิ่งดูวิตกกังวล เสียงยิ่งแหบพร่า
เขาไม่ใช่คนที่ยอดเยี่ยมอะไร เพียงแต่เมื่อหลายวันก่อนตอนที่ตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อปัสสาวะ เขาได้พบเห็นเงาดำสองสามเงา แอบเข้ามาในท้องพระโรงเพื่อเตรียมวางเพลิง เขาจึงได้รวบรวมความกล้าตะโกนออกไป
หลังตะโกนเสร็จ เดิมเขานึกว่าตนเองคงจะต้องตายเสียแล้ว ใครจะไปคิดบ้างว่าไฟนั้นมิได้ลุกขึ้น เขาเองก็ไม่ตาย ในทางกลับกัน เขากลับกลายเป็นคนที่ฝ่าบาททรงไว้วางพระทัย
แต่แน่นอน นี่อาจเป็นเพราะฝ่าบาททรงรู้จักตนเองเพียงแค่คนเดียว เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ อารมณ์ตื่นเต้นของขันทีน้อยก็ผ่อนคลายลง เขากระแอมลำคอ กล่าวกับเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่อยู่ในท้องพระโรงว่า “คนที่ถูกเรียกชื่อไม่มีความผิด คนที่เหลือมีความผิดที่ไม่อาจให้อภัยได้…”
เขายังไม่ทันพูดจบก็ถูกขัดจังหวะ
ภายในท้องพระโรงแตกตื่นวุ่นวาย เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่มองไปทางจิ๋งจิ่วที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ ในสายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกตกตะลึง ในใจครุ่นคิดว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนจริงๆ อย่างนั้นหรือ?
ฝ่าบาทพระองค์ทรงไม่มีอะไรเลย ไม่มีขุนนาง ไม่มีกองทัพ ไม่มีองครักษ์ กระทั่งขันทีก็มีเพียงเด็กน้อยที่ยังไม่ประสีประสาผู้นี้เพียงคนเดียว แล้วพระองค์คิดจะกำจัดขุนนางของทั้งแคว้นฉู่อย่างนั้นหรือ? ทรงไปเอาความคิดที่บ้าคลั่งเช่นนี้มาจากไหน? หรือฝ่าบาทจะทรงเป็นเหมือนอย่างที่เล่าลือกันจริงๆ มิใช่คนปัญญาอ่อนก็เป็นคนบ้า?
“หรือฝ่าบาททรงคิดจากตัดสินใต้หล้าด้วยลัญจกรเพียงอันเดียว?
มหาบัณฑิตเฉินหัวเราะขึ้นมา มองดูจิ๋งจิ่วที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ บนใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าสมเพช “เมืองหลวง จังหวัดต่างๆ ขุนนาง นายพล บัณฑิต ประชาชน ล้วนแต่เป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะ ใครจะฟังพระองค์พ่ะย่ะค่ะ? ต่อให้พระองค์ทรงโน้มน้าวองครักษ์บางส่วนได้ หรือกระทั่งตัวพระองค์เอง….”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาหยุดชะงักไปเล็กน้อย มิได้พูดสิ่งที่ตนเองคาดเดาเอาไว้ออกมาจนหมด สีความรู้สึกเย้ยหยันบนใบหน้ายิ่งดูรุนแรงขึ้น
แม่ทัพคนหนึ่งแค่นหัวเราะออกมาพลางกล่าวว่า “ต่อให้พระองค์ทรงสามารถขังพวกกระหม่อมเอาไว้ในวังเพียงได้เพียงครู่ แล้วมันจะมีประโยชน์อันใดพะยะค่ะ?”
ถูกต้อง ต่อให้จิ๋งจิ่วคิดหาวิธีปิดพระราชวังเอาไว้ได้ เขาก็ไม่สามารถที่จะรั้งขุนนางชั้นผู้ใหญ่เหล่านี้เอาไว้ในวังได้นาน และบีบบังคับให้พวกเขายอมรับในอำนาจของตนได้
ก่อนที่ขุนนางเหล่านี้จะเข้ามาในวัง พวกเขาได้เตรียมตัวเอาไว้แล้ว ขอเพียงพวกเขาอยู่ในวังนานเกินไป ผู้ดูแลและผู้นำตระกูลของแต่ละตระกูลก็จะเคลื่อนไหว กองทัพที่อยู่ด้านนอกเมืองหลวงก็จะบุกเข้ามา
ทหารหลวงจะเลือกอย่างไรระหว่างฮ่องเต้ปัญญาอ่อนที่ถูกขังมาเป็นเวลาหลายปีกับราชสำนักทั้งราชสำนัก นี่ก็เป็นเรื่องที่ง่ายอย่างมากเช่นเดียวกัน
มาถึงตอนนั้น พระราชวังจะทนได้นานเท่าไร? ทันทีที่วังถูกบุก ฝ่าบาทพระองค์จะทรงจัดการกับตัวเองอย่างไร
มหาบัณฑิตเฉินจ้องมองดวงตาของจิ๋งจิ่วอย่างเงียบๆ รอคอยคำตอบของเขา
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าไม่เคยคิดจะขังพวกเจ้าเอาไว้ที่นี่”
เมื่อกล่าวประโยคนี้จบ ประตูท้องพระโรงพลันปิดลง เงามืดตกลงบนร่างกายและหัวใจของทุกคน
ขันทีน้อยผู้นั้นได้รับการเตือนเอาไว้ก่อนล่วงหน้า เขาหอบเอาสมุดรายชื่อเอาไว้ พร้อมพาขุนนางที่ถูกเรียกชื่อหลบไปยังมุมด้านหลังบัลลังก์
……
……
ภายในท้องพระโรงมืดสลัว ด้านนอกท้องพระโรงกลับสว่างเจิดจ้า
จัวหรูซุ่ยยืนพิงประตูท้องพระโรง หรี่ตามองดูพระอาทิตย์ยามเช้าที่กำลังลอยขึ้นมา ร่างกายแผ่กลิ่นอายที่ดูเกียจคร้าน
คุณชายใหญ่ตระกูลจางยืนอยู่ข้างกายเขา กล่าวถามด้วยใบหน้าซีดขาวว่า “แบบนี้จะไม่เป็นอะไรจริงๆ หรือ?”
“ไม่อย่างนั้นล่ะ?” จัวหรูซุ่ยดึงหนังตาลงพลางกล่าว “รายชื่อเจ้าก็เป็นคนเขียนเอง ถ้าผิดพลาดก็เป็นความผิดพลาดของเจ้า”
คุณชายใหญ่ร้อนใจขึ้นมา พลางกล่าวว่า “ข้าหมายถึงเรื่องรายชื่ออย่างเหรอ? ข้าหมายถึงเรื่องที่ฝ่าบาทยังทรงอยู่ในท้องพระโรงต่างหากล่ะ!”
ภายในท้องพระโรงพลันมีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นมา จากนั้นก็เป็นเสียงเนื้อหนังถูกของมีคมเชือดเฉือนดังขึ้นไม่หยุด
คุณชายใหญ่มองไม่เห็นภาพในท้องพระโรง จึงได้แต่คาดเดา เขาตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก เริ่มรู้สึกอยากจะอาเจียน เพียงแต่เขามิได้กินอะไรมา อาเจียนอย่างไรก็อาเจียนไม่ออก
ในเวลานี้เอง ประตูท้องพระโรงพลันมีเสียงทึบๆ ดังขึ้นมา จากนั้นก็เป็นเสียงร้องขอความช่วยเหลือ น่าจะเป็นเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่กำลังพุ่งชนประตูด้วยคิดอยากจะหนีออกมา
คุณชายใหญ่ไม่สนใจความรู้สึกพะอืดพะอม รีบใช้หัวไหล่ดันประตูท้องพระโรงเอาไว้ สีหน้าหวาดกลัว เหงื่อท่วมร่างกาย
เมื่อเห็นสภาพที่ทุลักทุเลของเขา จัวหรูซุ่ยรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก กล่าวว่า “ไม่เลว ในเวลาแบบนี้ก็ควรจะทำประโยชน์บ้าง เมื่อก่อนเจ้าเคยวางแผนลอบสังหาร พ่อของเจ้ากลัวว่าเจ้าจะถูกฮ่องเต้ฆ่าตาย ถึงได้ส่งเจ้าไปหลบอยู่ทางใต้ ฮ่องเต้ของพวกเจ้าคนนั้นเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย ในเวลาแบบนี้หากไม่ทำความดีความชอบเสียหน่อย เกิดเขาคิดถึงเรื่องในอดีตขึ้นมา เผลอๆ
อาจจะฆ่าเจ้าก็เป็นได้”
ในช่วงเวลาที่ตึงเครียดเช่นนี้ คุณชายใหญ่ไหนเลยจะฟังรู้เรื่องว่าอีกฝ่ายพูดอะไรบ้าง เขาทำได้เพียงแค่ดันประตูเอาไว้อย่างสุดชีวิต
โลหิตสายหนึ่งกระเด็นมาถูกประตูท้องพระโรง ทำเอาเขาตกใจจนตัวสั่นขึ้นมา ก่อนจะตะโกนออกมาอย่างคลุ้มคลั่งว่า “เจ้ายังไม่เข้าไปช่วยอีกหรือ?”
เขาคิดว่าในเมื่อคนชุดดำคือนักฆ่าที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลก ต่อให้ไม่อาจช่วยฝ่าบาทสังหารขุนนางชั่วเหล่านี้ได้ อย่างน้อยก็น่าจะสามารถช่วยฝ่าบาทออกมาได้
จัวหรูซุ่ยกล่าวอย่างแปลกใจว่า “เขายังจำเป็นต้องให้พวกเราเป็นห่วงอีกหรือ?”
คุณชายใหญ่เข้าใจความหมายของเขาผิด สายตาเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นขึ้นมา กล่าวว่า “ในท้องพระโรงมีองครักษ์อยู่กี่คน? หรือว่าเจ้าเชิญยอดฝีมือมาหลายคน?”
“มีเขาแค่คนเดียวนั่นแหละ” จัวหรูซุ่ยมิได้สนใจว่าคำพูดประโยคนี้จะทำให้ใบหน้าของคุณชายใหญ่แปรเปลี่ยนเป็นขาวซีด เขาโบกมือเพื่อบอกให้ขันทีสองสามคนที่อยู่ไม่ไกลเดินเข้ามา พลางกล่าวว่า “พวกเจ้าไปเตรียมน้ำสะอาดเอาไว้ จำไว้ เตรียมไว้เยอะๆ ไม่อย่างนั้นพอเลือดแข็งตัวแล้วมันจะล้างยาก”
ความจริงไม่ว่าจะเป็นเขาหรือว่าคุณชายใหญ่ก็ล้วนแต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดขันทีวัยกลางคนสองสามคนนี้ถึงได้ใจกล้าถึงเพียงนี้ ในเวลาแบบนี้ยังจะกล้าอยู่ที่นี่อีก
ขันทีสองสามคนนั้นยิ้มพลางกล่าวว่า “ท่านทั้งสองโปรดวางใจ เรื่องแบบนี้พวกเราเคยทำมาหลายครั้งแล้ว”
……
……
ผ่านไปไม่นาน เสียงภายในท้องพระโรงก็เงียบหายไป เงียบสงัดจนรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน
คุณชายใหญ่ตระกูลจางมองไปด้านในอย่างหวาดกลัว แต่กลับมองไม่เห็นอะไร หัวไหล่ค่อยๆ เลื่อนออกจากประตูท้องพระโรง
ประตูท้องพระโรงค่อยๆ เปิดออก จิ๋งจิ่วเดินออกมา
ผมเผ้าของเขายุ่งเหยิง ทั่วทั้งตัวชโลมไปด้วยเลือด มือขวาถือกระบี่อยู่เล่มหนึ่ง ใบหน้าค่อนข้างขาวซีด
คุณชายใหญ่รีบคุกเข่าลงไป ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง
จิ๋งจิ่วทอดตามองออกไป “บอกแม่เจ้าว่าเชือกรัดผมอันนี้ไม่ค่อยทนเท่าไร”
………………………………………………….