มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 114 ถามกระถางสัมฤทธิ์ (2)
พี่ชายหรือพี่สาวแปดคนก่อนหน้าล้วนแต่ตายไปตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา
ฮองเฮาคลอดเขาออกมาอย่างยากลำบาก ก่อนจะตายไปหลังคลอดเขาออกมา
พูดอีกอย่างก็คือเขาเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของแคว้นฉู่
ตามหลักแล้ว ฮ่องเต้ควรจะมองเด็กคนนี้เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจถึงจะถูก
แต่ฮ่องเต้แคว้นฉู่มิใช่ฮ่องเต้ปกติธรรมดาทั่วไป
ฮ่องเต้แคว้นฉู่ทรงประพันธ์บทกลอนได้ไพเราะ รูปภาพเองก็วาดได้งดงามยิ่ง กิริยาท่าทางและความสามารถล้วนเป็นเลิศ พระองค์ทรงรักฮองเฮาเป็นอย่างมาก พระองค์ทรงปฏิเสธคำขอของเหล่าขุนนางที่ขอให้ตั้งฮองเฮาพระองค์ใหม่ขึ้นมา อีกทั้งยังไล่พระสนมในวังออกไปจนหมด ทุกวันนอกจากว่าราชการแล้ว เวลาส่วนใหญ่ล้วนแต่ใช้ไปกับการดื่มสุราดีดพิณร้องเพลง หวนคิดถึงภรรยาที่ตายจากไป
จิ๋งจิ่วมิได้รู้สึกหวั่นไหว เพราะว่ากลิ่นสุราและเสียงเพลงที่ลอยมาในยามค่ำคืนทุกวันทำให้เขาคิดถึงหนานว่างที่อยู่บนยอดเขาฝั่งตรงข้ามเมื่อในอดีต
ฮ่องเต้แคว้นฉู่มีใจปฏิพัทธ์ต่อผู้เป็นภรรยา ทำให้พระองค์มิได้รักใคร่บุตรชายที่ทำให้ภรรยาของตนต้องตายไปผู้นี้เท่าไร จึงมิยอมสนใจ เพียงแค่เลี้ยงดูให้เสื้อผ้าและอาหารเท่านั้น
แคว้นฉู่อยู่ทางภาคใต้ของแผ่นดิน ไม่ได้ร่ำรวยอะไรเท่าไร แล้วก็มิได้ยิ่งใหญ่อะไร อาณาจักรค่อนข้างอ่อนแอ
เมื่อเทียบกับแคว้นฉิน จ้าว ฉีซึ่งเป็นอาณาจักรที่แข็งแกร่งแล้ว แคว้นฉู่นั้นอ่อนแอจนกระทั่งมักจะถูกมองข้ามอยู่บ่อยครั้ง
จิ๋งจิ่วพึงพอใจสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างมาก กระทั่งรู้สึกว่ามันสมบูรณ์แบบ
หากบำเพ็ญเพียรต่อไปในวัง ใช้ชีวิตต่อไปแบบนี้ มันก็เป็นการยากที่จะเข้าใจสถานการณ์ในโลกภายนอก แต่เขามิได้สนใจ
ในอดีตตอนที่อยู่ชิงซาน เขาเองก็ไม่เคยสนใจเรื่องราวในโลกภายนอกมาก่อน
……
……
หนึ่งปีในความฝัน เท่ากับประมาณวันหนึ่งในโลกแห่งความเป็นจริง
ไข่มุกคืนสวรรค์ฉายภาพขึ้นไปบนท้องฟ้า ภาพเปลี่ยนไปด้วยความเร็วสูงจนทำให้เกิดเป็นเส้นเงาจำนวนนับไม่ถ้วน
ความสามารถในการมองเห็นของเหล่าผู้บำเพ็ญพรตเหนือกว่าคนธรรมดา พวกเขาถึงพอจะมองเห็นเนื้อหาที่อยู่ในภาพที่เคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงเหล่านั้น
บางครั้งภาพก็จะเคลื่อนไหวช้าลง คนที่อยู่ด้านนอกหุบเขามองเห็นเด็กบางคนกำลังเรียนรู้ที่จะพูด เด็กบางคนกำลังแสร้งทำเป็นน่ารัก เด็กบางคนกำลังครุ่นคิดคล้ายคนแก่
ผู้แสวงมรรคาทั้งยี่สิบหกคนอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เหมือนกัน มีการเติบโตที่ไม่เหมือนกัน
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าในภาพที่เคลื่อนไหวช้าลงเหล่านั้นมักจะมีนกชิงเหนี่ยวปรากฏขึ้นมาตัวหนึ่ง บางทีก็อยู่บนกิ่งไม้ บางทีก็อยู่บนชายหลังคา
บางคนรู้สึกว่าดูไม่ชัด หรือไม่ก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าสนใจ จึงออกจากงานชุมนุมไป
แต่หลายๆ คนกลับจ้องมองดูฉากแสงนั้น คล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
ภาพที่เลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็วเหล่านั้นทำให้ผู้คนคิดถึงว่าชีวิตนั้นสั้นเพียงใด
ม้าขาวบินผ่านซอกหิน ประกายไฟจากสายฟ้าและหินเหล็กไฟ[1] ล้วนแต่พูดถึงหลักเหตุผลเดียวกัน
เวลาไหลไปไม่ย้อนกลับ ควรรู้คุณค่า มุ่งไปสู่ธรรมวิถี
บางทีนี่อาจจะเป็นความหมายของงานชุมนุมแสวงมรรคา
สำหรับบางคนแล้ว การทดสอบภายในดินแดนแห่งความฝันอวิ๋นเมิ่งนี้เหมือนเป็นละครฉากหนึ่ง
เซ่อเซ่อและหญิงสาวจากสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยนั่งอยู่ใต้ต้นฮว๋าย แบ่งกันกินปลาแห้ง มองดูภาพที่อยู่บนฉากแสงพลางคาดเดาถึงสถานะของทารกเหล่านั้น
พวกนางไม่รู้ว่าเด็กที่ลอยอยู่บนแม่น้ำคนนั้นคือเหอจาน
เพราะแต่ไหนแต่ไรมาเหอจานขึ้นชื่อเรื่องความโชคดี
แต่พวกนางจำได้ว่าองค์ชายของแคว้นฉู่ผู้นั้นคือใคร
เกิดมาได้สามวันก็สามารถเดินอยู่บนเตียงได้เจ็ดก้าว หรือว่าเจ้ายังคิดจะท่องกลอนออกมาอีก?
คนที่จงใจทำเรื่องที่เอิกเกริกเช่นนี้ มิใช่จิ๋งจิ่วแล้วยังจะเป็นใครได้
กู้ชิงไม่รู้ว่าอาจารย์ของตัวเองกลายเป็นองค์ชายของแคว้นฉู่ เพราะเขาไม่ได้เข้าร่วมงานชุมนุมแสวงมรรคา หากแต่ขี่กระบี่ออกมาจากเขาอวิ๋นเมิ่งหลายร้อยลี้แล้ว
หลังบินออกมาจากขอบเขตข่ายพลังของเขาอวิ๋นเมิ่ง เขาก็บอกลาศิษย์สำนักจงโจวที่มาส่ง จากนั้นมองไปยังหุบเขาที่อยู่ห่างไกลเหล่านั้น ในสายตามีความเป็นห่วง
นี่คือคำสั่งของจิ๋งจิ่ว กู้ชิงไม่ค่อยเข้าใจว่าเป็นเพราะอะไร
แต่เขาจำได้ดี ตอนนั้นจิ๋งจิ่วบอกว่าไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร เขาก็จะกลับไปยังยอดเขาเสินม่อก่อน
คำพูดนี้ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสบายใจ หากแต่ยิ่งทำให้เขารู้สึกเป็นห่วง เพราะไม่ว่าจะฟังอย่างไร ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดประโยคนี้ก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไร
……
……
เหล่าผู้แสวงมรรคาเข้าไปในดินแดนแห่งความฝันอวิ๋นเมิ่งเป็นเวลาสี่ปีแล้ว
ทุกอย่างเป็นปกติ
องค์ชายเก้าแห่งแคว้นฉู่อายุสี่ขวบ หน้าตายังคงงดงาม เพียงแต่พูดน้อย นอกเสียจากเวลาที่จำเป็นต้องพูดจริงๆ
ในที่สุดฮ่องเต้ก็จำลูกชายคนนี้ได้ บางครั้งหลังดื่มสุราแล้วจะแวะมาเยี่ยมเขา
แต่ไม่ว่าอย่างไรองค์ชายเก้าก็ไม่ใกล้ชิดกับฮ่องเต้ ไม่ว่านางกำนัลอาวุโสจะสอนอย่างไร เวลาอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้เขาก็จะนิ่งเงียบไม่พูดอะไร
คำพูดจำนวนมากค่อยๆ แพร่กระจายไปในหมู่ชาวเมืองและในวัง
มีคนบอกว่าองค์ชายเก้าประสูติออกมาได้ไม่ราบรื่น เกรงว่าคงเป็นคนปัญญาอ่อน หน้าตาดีแล้วมีประโยชน์อะไร แล้วก็มีบางคนบอกว่าเขาเป็นครรภ์ปีศาจ แล้วก็มีบางคนที่คิดไม่ดี บอกว่าถ้าเขามิใช่องค์ชาย เกรงว่าคงถูกพวกค้ามนุษย์เลี้ยงเอาไว้ จากนั้นถูกพาไปให้พวกขุนนางและเศรษฐีขังเอาไว้เล่นแล้ว
ในช่วงบ่ายวันหนึ่ง ภายในตำหนักเงียบสงัด องค์ชายเก้ากำลังนอนกลางวัน นางกำนัลสองสามคนพูดคุยเรื่อยเปื่อยอยู่ด้านนอกหน้าต่างที่อยู่ไม่ไกล พวกนางย่อมต้องพูดคุยถึงข่าวลือเหล่านั้น
นางกำนัลบางคนรู้สึกข่าวลือนั้นเป็นเรื่องจริง
องค์ชายเก้าดูค่อนข้างโง่จริงๆ มักจะนั่งเหม่ออยู่ในสวนดอกไม้อยู่คนเดียว แล้วก็ไม่รู้ว่ากำลังมองดูอะไร กำลังคิดอะไร
แต่นางกำนัลบางคนกลับไม่เห็นด้วยกับความเห็นนี้
“องค์ชายทรงชาญฉลาดอย่างมาก ตอนที่ข้ากับพี่เอ๋อเล่นหมากล้อมกัน ดูแล้วใกล้จะจน แต่องค์ชายเสด็จผ่านมาแล้วช่วยข้าเอาไว้ได้”
“องค์ชายเพิ่งจะอายุเท่าไร? ยิ่งไปกว่านั้นมีใครเคยเห็นพระองค์ทรงเรียนหมากล้อมกับอาจารย์มาก่อน? ก็แค่โชคดีเท่านั้นแหละ”
นางกำนัลคนนั้นมองไปรอบๆ หัวเราะเบาๆ พลางกล่าวว่า “แต่ถ้าเจ้าหมายถึงรัฐทายาทของจิ้งอ๋องล่ะก็ อันนั้นก็พอไหวอยู่”
เมื่อได้ยินชื่อรัฐทายาทของจิ้งอ๋อง นางกำลังหลายคนพลันตาเป็นประกายขึ้นมา
กำลังทางการทหารของแคว้นฉู่ไม่อาจเทียบกับแคว้นฉิน จ้าวและฉีได้ คนที่แคว้นฉู่สามารถเอาชนะได้มีเพียงแต่จิ้งอ๋องที่รักษาการอยู่ตรงชายแดนของแคว้นหลัวมานานหลายปีเท่านั้น
ว่ากันว่ารัฐทายาทของจิ้งอ๋องเกิดวันเดียวกับองค์ชายเก้า แต่กลับแตกต่างกันเป็นอย่างมาก
รัฐทายาทผู้นั้นเฉลียวฉลาด อายุเพียงเท่านี้ก็สามารถประพันธ์กลอน ฝีมือในการเล่นหมากล้อมยอดเยี่ยม อ่อนโยนต่อผู้อื่น คล้ายมีปัญญามาตั้งแต่เกิด แล้วก็คล้ายเซียนที่จุติลงมาเป็นมนุษย์
ว่ากันว่าจิ้งอ๋องรักบุตรชายคนนี้มาก มองเขาเป็นเหมือนดั่งแก้วตาดวงใจ ว่ากันว่าเขาเคยพูดคำพูดที่น่าตกตะลึงเป็นอย่างมากประโยคหนึ่งหลังจากที่ืดื่มจนเมามาย
“หากมิเป็นเพราะลูกข้าร่างกายอ่อนแอ อายุสามสิบก็น่าจะรวมแผ่นดินได้แล้ว”
เมื่อพูดถึงข่าวลือนั้นขึ้นมา เหล่านางกำลังยิ่งรู้สึกตื่นเต้น แล้วก็รู้สึกเสียดาย ในใจครุ่นคิดว่าหากรัฐทายาทของจิ้งอ๋องมิได้ร่างกายอ่อนแอมาแต่กำเนิด เช่นนั้นก็คงจะสมบูรณ์แบบ
……
……
การนอนหลับของจิ๋งจิ่วก็คือการบำเพ็ญเพียร ดังนั้นเขามิได้นอนหลับไปจริงๆ หากแต่กำลังฟังสิ่งที่เหล่านางกำนัลกำลังพูดคุยกัน
เขารู้ว่าตัวเองได้เจอพวกเดียวกันเป็นครั้งแรกในโลกนี้ เพียงแต่ไม่มั่นใจว่ารัฐทายาทของจิ้งอ๋องผู้นั้นคือถงเหยียนหรือว่าเชวี่ยเหนียงกันแน่
แต่แน่นอนว่ารัฐทายาทที่ร่างกายไม่แข็งแรงผู้นั้นอาจจะเป็นไป๋เจ่าก็ได้
ผู้แสวงมรรคาเมื่อเข้ามาในดินแดนแห่งความฝันอวิ๋นเมิ่งแล้วจะเปลี่ยนกลายเป็นคนอย่างไร กฎเกณฑ์ตรงนั้นเขาพอจะคาดเดาได้บ้างแล้ว
ส่วนเหตุใดรัฐทายาทของจิ้งอ๋องผู้นั้นถึงไม่ปิดบังตัวตนเลยแม้แต่น้อย หรือไม่กังวลว่าจะถูกผู้แสวงมรรคาคนอื่นพบเข้า ความจริงแล้วตรงนี้เข้าใจได้ง่ายมาก
การทดสอบในการแสวงมรรคามิได้ง่ายดายเหมือนการขึ้นเวทีประลอง มันจำเป็นต้องใช้เวลา แล้วก็มีความเป็นไปได้ต่างๆ นับไม่ถ้วน
รัฐทายาทของจิ้งอ๋องก็เหมือนกับเขา เงื่อนไขในการใช้ชีวิตล้วนแต่ดีอย่างมาก ไม่ว่าจะปิดบังอย่างไร สุดท้ายก็จะต้องถูกผู้แสวงมรรคาคนอื่นพบเห็น
ไม่ว่าเขาจะเป็นถงเหยียนหรือว่าไป๋เจ่า ยิ่งเปิดเผยตัวตนเร็ว มันกลับจะยิ่งทำให้มีความได้เปรียบ
จิ๋งจิ่วรู้ว่าตนเองปิดบังสถานะเอาไว้ไม่ได้
ก็เหมือนกับคำพูดที่เขาเคยพูดกับเจ้าล่าเยวี่ยตอนที่อยู่ริมธารสี่เจี้ยนตอนนั้น —- ยังไงพระอาทิตย์ก็ต้องถูกคนมองเห็น
แต่เขาเองก็มิได้รอให้ศิษย์สำนักอู๋เอินเหมินผู้นั้นและจัวหรูซุ่ยมาหาตนเองเหมือนอย่างรัฐทายาทของจิ้งอ๋อง
เส้นทางที่เขาจะเดินไม่เหมือนกับผู้แสวงมรรคาคนอื่นๆ
เหมือนกับตอนที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง
……………………………………………………………………….
[1]ม้าขาวบินผ่านซอกหิน ประกายไฟจากสายฟ้าและหินเหล็กไฟ ล้วนแต่เป็นการเปรียบเปรยถึงเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว