มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 111 ชื่อของเจ้า (1)
จิ๋งจิ่วและจัวหรูซุ่ยเพิ่งจะต่อสู้กันมาในหุบเขาแห่งนั้น ไม่ได้มีความผูกพันในฐานะที่เป็นศิษย์ร่วมสำนักอะไร แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน เมื่อเข้าไปยังดินแดนแห่งความฝันอวิ๋นเมิ่งแล้วจะต้องต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันอย่างแน่นอน
สาเหตุที่เจ้าสำนักชิงซานเห็นด้วยกับที่จิ๋งจิ่วจะเป็นตัวแทนสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยลงประลอง บางทีอาจเป็นเพราะคิดเช่นนี้ก็เป็นได้ ศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของชิงซานสองคนร่วมมือกัน ไม่แน่อาจจะสู้กับสำนักจงโจวได้จริงๆ ก็เป็นได้
จัวหรูซุ่ยไม่ได้กลายเป็นคนที่จะผ่านด่านเป็นคนต่อไป หลังจากทุกคนภายในหอพบว่ากระทั่งคำตอบของเหอจานก็สามารถผ่านด่านเข้าไปได้ พวกเขาจึงรู้สึกมีความมั่นใจขึ้นมา ต่างคนต่างแย่งกันยกมือเพื่อตอบคำถาม
ชิงเอ๋อร์มองดูคนผู้หนึ่งพลางถามว่า “สามรวมกับหกสิบเท่ากับเท่าไหร่?”
คนผู้นั้นครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “หนึ่งปี”
เห็นได้ชัดว่าเขามีความมั่นใจในคำตอบของตัวเอง พลางมองไปรอบด้านอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
วิธีการตอบคำถามของเขาเหมือนกับวิธีการตอบของเหอจานก่อนหน้านี้ แต่ถ้าเกิดเขาตอบออกมาว่าสามร้อยหกสิบวัน มันก็เหมือนเป็นการไปยืมคำตอบของคนอื่นมาตอบ ดังนั้นจึงมีการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย
หนึ่งปีมีสามร้อยหกสิบวัน
ทุกคนครุ่นคิด พบว่าวิธีคิดแบบนี้มีเหตุผล
แต่คิดไม่ถึงว่าชิงเอ๋อร์จะกล่าวออกมาว่า “ผิด ควรจะเป็นหกสิบสาม”
ผิดก็คือผิด ยังคงเป็นเป็นคำตอบนี้อยู่หรือนี่!
บนใบหน้าของทุกคนเผยให้เห็นสีหน้าเหลวไหล ในใจมีคำพูดประโยคนั้นปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง — แบบนี้ก็ได้หรือ?
คนผู้นั้นงง ก่อนจะกล่าวอย่างไม่ยอมรับว่า “ได้ยังไง? ยังไงท่านก็ต้องบอกเหตุผลให้ข้าฟังหน่อย”
ชิงเอ๋อร์มองเขา กล่าวว่า “เพราะเจ้าน่าเกลียดเกินไป ข้าไม่ชอบเจ้า ข้าไม่อยากให้เจ้าเข้าไป นี่ก็คือเหตุผล”
คนผู้นั้นไหนเลยจะยอมได้ สะบัดแขนทั้งสองข้าง ตะโกนอย่างโมโห คัดค้านความอยุติธรรมที่ตนเองได้รับ
ไป๋เจ่ายืนอยู่ด้านข้าง มิได้สนใจ
ในสายตาอันอ่อนเยาว์ของชิงเอ๋อร์มีความดุร้ายปรากฏขึ้นมา แขนพันข้างงอกออกมาจากด้านหลัง ออกแรงตบมือไปทีหนึ่ง
เสียงที่ดังสนั่นราวสายฟ้าฟาดดังสะท้อนไปทั่วหุบเขา
คนผู้นั้นหายตัวไปจากในหอ ตอนที่ปรากฏตัวอีกครั้งก็ไปอยู่ตรงช่วงกึ่งกลางของหุบเขาหุยอินแล้ว จากนั้นถูกกระแทกไปบนหน้าผา นอนสลบลงไป
ทุกคนใบหน้าขาวซีดเล็กน้อย ในใจเกิดความรู้สึกหวาดกลัว
ชิงเอ๋อร์ตะโกนว่า “คนต่อไป!”
ในเวลานี้ทุกคนมองออกแล้วว่าคำถามที่ดวงจิตของคันฉ่องฟ้ากระจ่างผู้นี้ถามออกมานั้นไม่ได้มีกฎเกณฑ์อะไรเลย คล้ายเพียงแค่ดูอารมณ์ของนางเท่านั้น
เมื่อคิดถึงสภาพของผู้เข้าร่วมประลองก่อนหน้านี้ผู้นั้น ภายในหอพลันเงียบสงัด ไม่มีใครยกมือขึ้นเป็นเวลานาน หนังตาของจัวหรูซุ่ยตกลงมาอีกครั้ง
ถงเหยียนจดจำรายละเอียดของเสื้อผ้าและความเคลื่อนไหวของผู้เข้าร่วมประลองทั้งหมดได้แล้ว จึงเดินออกมา
ทุกคนรู้สึกค่อนข้างสงสัยหรือพูดอีกอย่างก็คือระแวง คันฉ่องฟ้ากระจ่างเป็นของวิเศษของสำนักจงโจว อย่างนั้นแม่นางชิงเอ๋อร์จะเข้าข้างถงเหยียนด้วยการถามคำถามง่ายๆ กับเขาหรือเปล่า?
กระดานหมากล้อมกระดานหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าของถงเหยียน หรือว่าจะเล่นหมากล้อม? กลุ่มคนแตกตื่นขึ้นมาเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดว่าจะเล่นหมากล้อมกับถงเหยียนอย่างนั้นหรือ นี่มันเข้าข้างกันชัดเจนเกินไปหน่อยหรือเปล่า?
เม็ดหมากสีดำหกเม็ดและเม็ดหมากสีขาวหกเม็ดปรากฏขึ้นบนกระดาน ไม่ได้วางกระจัดกระจาย หากตั้งซ้อนกันอยู่ ไหวเอนเบาๆ ตามสายลม คล้ายว่าพร้อมจะตกลงมาได้ทุกเมื่อ
ชิงเอ๋อร์บินลงไปบนกระดาน บนใบหน้าเล็กๆ เต็มไปด้วยสีหน้าอยากจะลองดู นางกล่าวว่า “เล่นหมากล้อมข้าสู้เจ้าไม่ได้ พวกเรามาเล่นดีดลูกแก้วกัน”
ถงเหยียนงุนงงเล็กน้อย จากนั้นถึงได้รู้ว่าที่แท้นางก็คือเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่มักจะมาเล่นกับตนเองในสมัยที่เป็นเด็กคนนั้น
ตอนนั้นเขานึกว่านางเป็นปีศาจที่อยู่ในเขาอวิ๋นเมิ่ง จึงไม่กล้าพูดกับอาจารย์และอาจารย์หญิง ใครจะไปคิดบ้างว่าที่แท้นางเป็นดวงจิตของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง
……
……
เมื่อหมากสีขาวเม็ดหนึ่งร่วงตกลง ถงเหยียนก็เป็นฝ่ายชนะในเกมดีดลูกแก้วครั้งนี้
ทุกคนมองเห็นอย่างชัดจน การดีดลูกแก้วกระดานนี้ดูเหมือนง่ายดาย แต่ความจริงแล้วกลับซับซ้อนเป็นอย่างมาก
ผู้บำเพ็ญพรตสามารถควบคุมแรงและความแม่นยำได้ดีกว่าคนธรรมดา แต่การจะดีดให้เม็ดหมากล้อมที่วางซ้อนกันกระเด็นออกไปทีละเม็ดนั้นยังคงเป็นเรื่องที่ยุ่งยากอย่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้นคู่ต่อสู้ของเขาก็คือดวงจิตของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง
ชิงเอ๋อร์นั่งยองๆ อยู่บนกระดานจ้องมองดูการดีดครั้งสุดท้ายของถงเหยียน ก่อนจะลุกขึ้นมาอย่างเศร้าสร้อยแล้วกล่าวว่า “เอาล่ะ ถือว่าเจ้าชนะ”
ถงเหยียนชนะได้อย่างเฉียดฉิว กระทั่งเขาก็ยังรู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นเล็กน้อยในตอนสุดท้าย เขามองเด็กหญิงตัวเล็กผู้นั้น ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปด้านหลังหอ
จัวหรูซุ่ยรีบฉวยโอกาสนี้เดินมาด้านหน้ากระดาน ก่อนกล่าวทั้งๆ ที่หนังตาห้อยตกว่า “พวกเราก็มาเล่นดีดลูกแก้วกันเถอะ?”
ในเวลานี้ชิงเอ๋อร์กำลังรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เมื่อเห็นท่าทางของเขาที่ดูเศร้าสร้อยเสียยิ่งกว่าตนก็อดรู้สึกสงสัยขึ้นมาไม่ได้ จึงถามว่า “ทำไมเจ้าถึงดูไม่มีชีวิตชีวาเลย?”
จัวหรูซุ่ยกล่าว “เมื่อคืนนอนไม่พอ”
ชิงเอ๋อร์คิดในใจ แค่เรื่องแบบนี้ยังวิตกกังวลถึงเพียงนี้ ดูแล้วคงจะไม่มีอนาคตอะไร จึงกล่าวว่า “เอาล่ะ คำถามของข้าคือ…”
จัวหรูซุ่ยกล่าวเสียงอ่อนแรงว่า “คำถามของท่าน ข้าก็ตอบไปแล้วมิใช่หรือ?”
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ
ชิงเอ๋อร์งุนงงไปครู่ก่อนจะเข้าใจความหมายของเขา บนใบหน้าเผยให้เห็นสีหน้าตกใจ กล่าวว่า “เจ้าหมายถึงที่ข้าถามเจ้าว่าทำไมไม่มีชีวิตชีวา?”
จัวหรูซุ่ยกล่าวว่า “ใช่น่ะสิ”
คนอื่นรู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมา ในใจครุ่นคิดว่าหลายปีมานี้สำนักชิงซานเป็นอะไรไปกันหมด?
ชิงเอ๋อร์หมดคำพูด แต่กลับพบว่าที่เขาพูดมันก็มีเหตุผล ในใจเกิดความรู้สึกพ่ายแพ้ จึงกล่าวว่า “ถือว่าเจ้าร้าย เข้าไปเถอะ”
จัวหรูซุ่ยค่อยๆ ก้าวเดินเข้าไปด้านหลังหอ
ชิงเอ๋อร์บินจากกระดานหมากล้อมขึ้นไปบนอากาศ เมื่อเห็นภาพนี้อารมณ์ก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี ในใจครุ่นคิดว่าคนต่อไปตนเองจะต้องเล่นงานให้หนัก จะได้ระบายอารมณ์หงุดหงิดนี้ออกไป
จิ๋งจิ่วเดินเข้ามา
ชิงเอ๋อร์มองดูใบหน้าเขา พลันตกตะลึงจนลืมกระพือปีก ร่วงตกลงไปบนกระดานหมากล้อม
นางได้สติขึ้นมา ใบหน้าแดงเรื่อเล็กน้อย กล่าวถามเสียงเบาๆ ว่า “เจ้า…ชื่ออะไร?”
“จิ๋งจิ่ว”
“ช่างไพเราะยิ่งนัก”
จิ๋งจิ่วผ่านการทดสอบไปแบบนี้
ภายในหอฮือฮาขึ้นมา
ไป๋เจ่ายิ้มขึ้นมาอย่างเหนื่อยใจ ก้าวเดินออกไปข้างหน้า
……
……
ด้านหลังหอนั้นคือส่วนลึกของหน้าผาของหุบเขาหุยอิน ด้านบนมีโพรงหินอยู่โพรงหนึ่ง ดูคล้ายเพดานที่เปิดโล่ง
จิ๋งจิ่วไม่ชอบสถานที่นี้ แต่มิได้แสดงอะไรออกมา
แสงสว่างสาดลงมาจากโพรงหินนั้น สว่างสว่างพื้น
บนพื้นคือข่ายพลังสัมฤทธิ์ทรงกลมขนาดพื้นที่ประมาณห้าสิบจ้าง
หากมองข้ามรอยแตกและลวดลายที่อยู่ด้านบนไป จะมองว่ามันเป็นคันฉ่องบานใหญ่ก็ได้
คันฉ่องสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่แผ่ไอพลังที่ยากจะบรรยายได้ออกมา ไอพลังที่ว่านี้เบาบางเสียยิ่งกว่าน้ำหอมที่กลิ่นเบาบางที่สุดไม่รู้กี่เท่า แต่ทุกคนกลับรับกลิ่นมันได้อย่างชัดเจน หรือพูดอีกอย่างก็คือรับรู้ได้ รู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมาก เมื่อสูดดมเข้าไปครั้งหนึ่ง ร่างกายคล้ายว่าเบาขึ้นกว่าเดิม ค่อนข้างคล้ายคลึงกับกลิ่นเวลาที่ชิงเอ๋อร์สะบัดแขนเสื้อ
ที่น่ามหัศจรรย์ก็คือกลิ่นที่เบาบางเช่นนี้กลับให้ความรู้สึกที่เข้มข้นเป็นอย่างมาก แม้นจะเป็นนมวัวหรือสุราที่ร้อนแรงก็ไม่อาจเทียบได้
ดูแล้วนี่คงเป็นคันฉ่องฟ้ากระจ่าง
จิ๋งจิ่วมองไปรอบด้าน ก่อนจะเห็นว่าภายในถ้ำมีอาสนะอยู่ยี่สิบหกใบ
ด้านล่างอาสนะแต่ละใบจะมีเส้นเล็กๆ เส้นหนึ่งยื่นออกมา ทอดยาวเข้าไปในคันฉ่องฟ้ากระจ่าง
หากสังเกตดูดีๆ ก็จะพบว่าเส้นเล็กๆ เหล่านั้น ความจริงแล้วเป็นสายน้ำสายหนึ่ง บนสายน้ำมีเรือรูปแบบต่างๆ
บนเรือเหล่านั้นมีไต้ก๋ง มีพ่อค้า มีหญิงสาวที่เลิกผ้าม่านชมทิวทัศน์ มีหญิงสาวที่กำลังให้นมลูก ดูมีชีวิตชีวาคล้ายมีชีวิต แต่ไม่มีพลังชีวิต เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สิ่งมีชีวิต
คนที่เข้ามาก่อนหน้ากำลังหลับตาทำสมาธิ จัวหรูซุ่ยเองก็เช่นกัน
มีความเป็นไปได้สูงว่าพลังที่เบาบางแต่เข้มข้นสายนั้นจะเป็นพลังเซียนที่แผ่ออกมาจากคันฉ่องฟ้ากระจ่าง การได้บำเพ็ญเพียรอยู่ในพลังเซียนนั้นเป็นเรื่องที่ผู้บำเพ็ญพรตทุกคนต่างปรารถนา
จิ๋งจิ่วมองดูศิษย์สำนักอู๋เอินเหมินผู้นั้น จากนั้นเลือกนั่งลงไปบนอาสนะใบหนึ่ง ยื่นมือไปกวักลมมาด้านหน้า กัดเข้าไปคำหนึ่ง มั่นใจว่าเป็นพลังเซียนที่แท้จริง
………………………………………………………………………….