มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 107 เดิมข้าก็อยู่ในขั้นคเนจรระดับกลาง (1)
หลายๆ เรื่องไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศก็ถูกคนอื่นล่วงรู้ได้ อย่างเช่นความรู้สึกที่ไป๋เจ่ามีต่อจิ๋งจิ่ว อย่างเช่นการแพ้ชนะในการประลองกระบี่ของชิงซานครั้งนี้
เบื้องหน้าต้นไม้ที่หักโค่น จัวหรูซุ่ยยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดโลหิตที่ไหลออกมาตรงมุมปาก มองดูจิ๋งจิ่วด้วยสายตาแปลกๆ
ก่อนหน้านี้จิ๋งจิ่วสามารถสังหารเขาได้อย่างง่ายดาย แพ้ชนะย่อมเป็นที่รู้กันแล้ว
ร่างกระบี่ไร้ลักษณ์แต่กำเนิดที่ร่ำลือกันช่างร้ายกาจจริงๆ ถึงขนาดมองข้ามความต่างของสภาวะไปได้เลยอย่างนั้นหรือ?
“หากมิเป็นเพราะศิษย์น้องจัวออมมือให้ ท่านจะมีโอกาสได้ลอบโจมตีเขาจนบาดเจ็บหรือ?”
ในท้องฟ้ายามค่ำคืนมีเสียงที่เย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้น
ทุกคนใจเล็กน้อยเมื่อได้ยิน เมื่อครุ่นคิดถึงภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ก็พบว่าคำพูดนี้มีเหตุผล
การต่อสู้ระหว่างผู้บำเพ็ญพรตด้วยกัน น้อยมากที่จะเกิดเหตุการณ์ที่ยืนใกล้กันเหมือนอย่างจิ๋งจิ่วและจัวหรูซุ่ยก่อนหน้านี้ — จัวหรูซุ่ยอยู่ในขั้นคเนจรระดับต้นบริบูรณ์ เพียงแค่ทิ้งระยะห่าง ใช้สภาวะบดขยี้ มาตรว่าวิถีกระบี่ของจิ๋งจิ่วจะแข็งแกร่งเพียงใด ปราณกระบี่มหาศาลแค่ไหน หรือแม้นจะเป็นร่างกระบี่ไร้ลักษณ์แต่กำเนิด เขาก็ไม่มีโอกาสที่จะเอาชนะได้
ในตอนแรกสุด ที่เหอจานกล่าวกับถงเหยียนว่าจัวหรูซุ่ยกำลังออมมือให้จิ๋งจิ่วก็ด้วยเหตุผลข้อนี้
สิ่งที่ทุกคนตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือเสียงนี้มาจากกลุ่มศิษย์ชิงซาน
คนผู้นั้นไม่ได้ควบคุมน้ำเสียงของตนเอง ทำให้ทุกคนฟังออกถึงความอคติที่มีต่อจิ๋งจิ่วอย่างชัดเจน
จิ๋งจิ่วเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้ายามค่ำคืน จำได้ว่าศิษย์คนนั้นชื่อเจี่ยนหรูอวิ๋น เป็นศิษย์อันดับที่เท่าไรของยอดเขาเหลี่ยงว่างก็จำไม่ได้แล้ว
ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เจี่ยนหรูอวิ๋นหวาดระแวงในตัวหลิ่วสือซุ่ยมาโดยตลอด เขาพยายามติดตามคดีที่จั่วอี้ถูกสังหาร จนผลสุดท้ายทำให้เจี่ยนหรูซานผู้ซึ่งเป็นน้องชายของตนเองต้องจบชีวิตลงไป
หลังจากเรื่องนั้นความแค้นที่เขามีต่อยอดเขาเสินม่อและหลิ่วสือซุ่ยก็ยิ่งรุนแรง แล้วเขาจะยอมปล่อยให้จิ๋งจิ่วจากไปเช่นนี้ได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้เขาจึงกล่าวชี้ความจริงออกมา
จิ๋งจิ่วเดินกลับไปตรงหน้ากระบี่เหล็ก ยื่นมือไปดึงกระบี่ขึ้นมาจากพื้น จากนั้นโยนขึ้นไปในท้องฟ้า
ดูคล้ายเป็นการเคลื่อนไหวง่ายๆ เพียงแต่สะบัดแขนเสื้อเล็กน้อย แต่ภายในหุบเขากลับมีสายลมอันรุนแรงพัดโบกขึ้นมา
ลำแสงกระบี่สายหนึ่งแหวกอากาศขึ้นมา พุ่งเข้าไปหากลุ่มศิษย์ชิงซาน
ลำแสงกระบี่สายนั้นตรงดิ่ง คล้ายกับมีมือยักษ์ที่มองไม่เห็นวาดเส้นลงไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
เสียงดังกัมปนาทราวฟ้าคำราม กระบี่เหล็กพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไปสิบกว่าลี้ มาถึงตรงหน้าเจี่ยนหรูอวิ๋น
กระบี่นี้รวดเร็วเป็นยิ่งนัก เจี่ยนหรูอวิ๋นมิทันได้ทำการตอบสนองใดๆ ดูแล้วต้องถูกฆ่าตายเป็นแน่
ทันใดนั้นเอง นิ้วที่เรียวเล็กนิ้วหนึ่งยื่นออกมา ดีดไปบนกระบี่เหล็กเบาๆ ทีหนึ่ง
เสียงติ๊งเสียงหนึ่งดังชัดเจน กระบี่เหล็กหมุนกลับมา
หนานว่างหดนิ้วกลับ ยิ้มเล็กน้อยมิกล่าวอะไร
กระบี่เหล็กบินกลับมายังพื้นดินด้วยความเร็วที่เร็วกว่าเดิม จิ๋งจิ่วยื่นมือไปรับเอาไว้
ในตอนนี้เจี่ยนหรูอวิ๋นจึงได้สติขึ้นมา
สีหน้าเขาขาวซีด รู้ว่าหากมิเป็นเพราะอาจารย์อาหนานยื่นมือขัดขวางเอาไว้ ในเวลานี้ศีรษะของตัวเองคงจะหลุดออกจากบ่า ร่วงลงไปข้างล่างแล้ว
ในท้องฟ้ามีเสียงฮือฮาดังขึ้นมา
เหอจานและคนอื่นๆ ที่อยู่ในหุบเขาต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก
สายตาของจัวหรูซุ่ยที่กำลังจ้องมองดูจิ๋งจิ่วอยู่ตรงด้านหน้าต้นไม้ที่หักโค่นยิ่งดูแปลกประหลาด
……
……
หลังจากเสียงฮือฮาก็เป็นความเงียบสงัด
ภายในท้องฟ้ายามค่ำคืนไม่มีเสียงใดๆ
อยู่ห่างกันสิบกว่าลี้ แต่จะสังหารศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างในกระบี่เดียว นี่มันสภาวะระดับไหนกัน?
กระบี่นั้นของจิ๋งจิ่วดูเคลื่อนไหวได้ดั่งใจคิด เห็นได้ชัดว่ายังเหลือแรงอยู่ แสดงให้เห็นว่าสภาวะที่แท้จริงอาจจะอยู่เหนือขึ้นไปจากที่เขาแสดงออกมา
หรือตอนนี้เขาบรรลุไปสู่ขั้นคเนจรระดับกลางแล้ว? อยู่เหนือจัวหรูซุ่ย?
หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ อย่างนั้นคำพูดของเจี่ยนหรูอวิ๋น ความคิดของเหอจาน และการคาดเดาของทุกคนก็จะกลายเป็นเรื่องตลก
หากในตอนแรกสุดจัวหรูซุ่ยอาศัยสภาวะที่สูงกว่าของตัวเองควบคุมกระบี่โจมตีจากระยะไกล เขาก็คงจะพ่ายแพ้อย่างหมดรูปยิ่งกว่านี้
หนานว่างมองไป๋หรูจิ้งพลางกล่าวหยอกล้อว่า “ตอนนี้เจ้ายังคิดจะไล่เขาออกจากสำนักอีกไหม?”
……
……
“วันนี้ดูเหมือนจะไม่สะดวกแล้ว”
จิ๋งจิ่วถือกระบี่เดินมาตรงหน้าไป๋เจ่า
ผ้าชิ้นนั้นถูกเขาโยนลงพื้น ก่อนหน้านี้มันถูกเพลิงกระบี่เผาจนขาด ไม่สามารถใช้ได้อีก
ไป๋เจ่าพยักหน้า จากนั้นหยิบเอาผ้าขาวผืนหนึ่งออกมาเหมือนนักแสดงกายกรรม
จิ๋งจิ่วรับเอาผ้าขาวผืนนั้นมา พบว่าทอขึ้นมาจากไหมฟ้า จึงพยักหน้าขอบคุณ จากนั้นเอาผ้าพันกระบี่เหล็กแล้วสะพายไว้ด้านหลัง
เหอจานถามอย่างไม่เข้าใจ “ตอนนี้ทุกคนต่างรู้แล้วว่าเจ้าบรรลุไปถึงขั้นคเนจร เหตุใดถึงยังต้องสะพายกระบี่เอาไว้อีก?”
จริงอยู่ที่ตอนนี้จิ๋งจิ่วสามารถเก็บกระบี่เข้าไปในร่างกาย แต่นั่นมิใช่การเก็บเข้าไปในร่างกายจริงๆ
ก็เหมือนกับตอนนี้ที่เขาเป็นผู้บำเพ็ญพรตขั้นคเนจรระดับกลางที่มีอายุน้อยที่สุดอย่างไร้ข้อโต้แย้ง แต่นั่นมิใช่สภาวะขั้นคเนจรที่แท้จริง
พูดอีกอย่างก็คือกระบี่เหล็กของเขายังไม่สามารถรวมเป็นหนึ่งกับโอสถกระบี่ได้ เพราะวิถีการบำเพ็ญเพียรวิถีใหม่ของเขาไม่จำเป็นต้องใช้กระบี่เหล็กมาหล่อเลี้ยงจนเกิดเป็นผีกระบี่
การเอากระบี่เหล็กไปเก็บไว้ในที่ที่ไกลแสนไกล ทุกครั้งที่จะใช้ต้องหยิบเอาออกมาใหม่ รู้สึกค่อนข้างยุ่งยาก
ถึงแม้ทุกครั้งที่เขาหยิบเอาเก้าอี้ไม้ไผ่ออกมาจะไม่เคยคิดถึงปัญหานี้มาก่อนก็ตาม
ถ้าจะอธิบายเรื่องนี้มันก็ยุ่งยากอย่างมากเช่นกัน ดังนั้นจิ๋งจิ่วจึงไม่ได้อธิบาย
จัวหรูซุ่ยไม่รู้ว่าไปนั่งอยู่บนตอไม้ที่หักโค่นต้นนั้นตั้งแต่เมื่อไร เขากล่าวถามว่า “ท่านใช้เพลงกระบี่อะไรกันแน่? ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน ในหนังสือก็ไม่มีเขียนไว้”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เพลงกระบี่ที่เจ้าไม่เคยเห็นยังมีอีกมาก ต่อไปก็อย่าเอาแต่นอนอยู่ในถ้ำ ออกมาเดินดูอะไรข้างนอกบ้าง มีประโยชน์ต่อเจ้า”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็หมุนตัวเดินออกนอกหุบเขาไป
ทุกคนมองดูแผ่นหลังของเขา รู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก
หลายคนกำลังอุทานตกใจ
หลังจากเจ้าล่าเยวี่ยปรากฏตัวขึ้นมาบนโลกก็ไร้ซึ่งคู่ต่อสู้ ไม่ง่ายเลยกว่าที่จัวหรูซุ่ยจะเอาชนะไปได้ แต่ผลสุดท้ายผ่านไปแค่ไม่กี่วันก็ถูกจิ๋งจิ่วเอาชนะกลับมาได้
สมแล้วที่ยอดเขาเสินม่อซึ่งเป็นที่พักของนักพรตจิ่งหยางนั้นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งโลกบำเพ็ญพรต คนที่ออกมาล้วนแต่เป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง
เมื่อเห็นจิ๋งจิ่วบรรลุสภาวะขั้นคเนจร เรียกได้ว่าบรรลุเข้าไปสู่ระดับกลางแล้ว คนที่ดีใจที่สุดย่อมต้องเป็นไป๋เจ่า หรือพูดอีกอย่างก็คือรู้สึกชื่นชม
การบำเพ็ญเพียรของจิ๋งจิ่วไม่ได้หยุดลงจากการที่ถูกขังอยู่ในที่ราบหิมะเป็นเวลาหกปี ความรู้สึกผิดของนางลดลงไปมาก
ท่าทีของเซ่อเซ่อยังคงเหมือนเมื่อก่อน นางมองดูจัวหรูซุ่ยที่คล้ายกำลังครุ่นคิดอะไร ก่อนจะมุ่ยปากพูดว่า “ตัวเขาขี้เกียจขนาดนั้น ยังมีหน้ามาว่าคนอื่นอีกหรือ?”
เหอจานคิดถึงงานชุมนุมเหมยฮุ่ยในครั้งนั้น รู้สึกทอดถอนใจ
“ตอนนั้นเห็นเจ้ากับจิ๋งจิ่วเล่นหมากล้อมกัน ข้าก็มิได้เล่นหมากล้อมอีก วันนี้เห็นพวกเขาประลองกระบี่กัน หลังจากนี้ข้าก็คงไม่ใช้กระบี่อีกแล้วล่ะ”
ถงเหยียนมองดูเขา กล่าวว่า “แต่ปัญหาก็คือ เดิมทีเจ้าก็มิได้ใช้กระบี่อยู่แล้ว”
……
……
กลับมาถึงเรือนลอกคราบ เท้าแตะลงไปบนพื้นเรือน สัมผัสที่ไม่เรียบลื่นแผ่ขึ้นมาอย่างชัดเจน จิ๋งจิ่วรู้สึกว่าตนเองค่อนข้างเหนื่อย
สำหรับเขาแล้ว นี่เป็นเรื่องที่พบเห็นได้น้อยมาก — พรสวรรค์และความสามารถในการต่อสู้ของจัวหรูซุ่ยนั้นแข็งแกร่งจริงๆ สมแล้วที่หลิ่วฉือฝากความหวังเอาไว้กับเจ้าเด็กนี่
เมื่อเดินเข้าไปในเรือน กู้ชิงกำลังทำสมาธิอยู่ ขาทั้งสองข้างนั่งขัด บนศีรษะมีควันสีขาวลอยขึ้นมา กระบี่บินเล่มหนึ่งหมุนอย่างช้าๆ อยู่ในควัน
จิ๋งจิ่วมองดูอย่างเงียบๆ
พรสวรรค์ของกู้ชิงนั้นไม่เลว อีกทั้งยังขยันขันแข็ง เขามักจะคิดว่าศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของตนผู้นี้บรรลุเข้าสู่ขั้นคเนจรไปแล้ว ตอนนี้ถึงได้รู้ว่ายังขาดอีกเพียงเล็กน้อย
หากไม่ไปเสียเวลาสามปีอยู่ในเมืองเจาเกอ บางทีเขาอาจจะบรรลุเข้าสู่ขั้นคเนจรไปแล้ว
กระทั่งเมื่อหลายวันก่อนไป๋หรูจิ้งได้พูดขึ้นมา จิ๋งจิ่วถึงได้ทราบถึงคำวิจารณ์บางอย่างที่โลกภายนอกมีต่อกู้ชิง
ประจบสอพลออาจารย์? เขามิได้สนใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย เป็นศิษย์ก็ควรจะทำเช่นนี้อยู่แล้ว