มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 70 ได้รับมา
กั้วตงกล่าว “ที่ไม่บอกเจ้าเป็นเพราะไม่อยากให้เจ้าเอาชื่อเสียงของข้าไปทำอะไรเหลวไหลข้างนอก แต่ตอนนี้ดูเหมือนการปิดบังเจ้าดูจะไม่ค่อยเหมาะสักเท่าไร เจ้าถึงได้มีความคิดที่น่าขันเช่นนี้ วันนี้ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ เจ้าเป็นศิษย์ของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยของข้า มิใช่ผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนัก ภายหน้าหากมีสำนักไหนคิดอยากจะแย่งตัวเจ้าไปเป็นศิษย์ก็ให้ไล่พวกเขาไปซะ”
ตอนนี้เหอจานค่อยๆ ได้สติขึ้นมาจากความตกตะลึง เมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์เล็กน้อย ในใจครุ่นคิด อะไรคือการบอกไม่ให้เอาชื่อเสียงของท่านไปทำอะไรเหลวไหลข้างนอก? ข้าไม่รู้เสียหน่อยว่าตัวเองยังมีญาติอยู่ แล้วญาติคนนั้นยังเป็นคนสำคัญของโลกแห่งการบำเพ็ญพรตด้วย ที่สำคัญที่สุดก็คือจนกระทั่งถึงตอนนี้ข้ายังไม่รู้เลยว่าท่านซึ่งป้าของข้าคนนี้เป็นใครกันแน่!
ในเวลานี้ เขาย่อมต้องอยากรู้เรื่องบางเรื่องมากที่สุด แต่ในขณะที่กำลังจะถามกลับถูกกั้วตงห้ามเอาไว้ “อย่าถามข้าเรื่องพ่อแม่ของเจ้า เพราะข้าไม่อยากคิดถึง แล้วก็ไม่อยากพูดถึง อย่างน้อยก็ในตอนนี้ พอเจ้าเกิดมาก็ถูกข้าเอาไปให้ศิษย์หลานหลานซีเลี้ยงดู เจ้าคิดว่านางเป็นแม่เจ้าก็แล้วกัน”
แม่ชีหลานซีเป็นผู้อาวุโสของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยที่มีชื่อเสียงอย่างมาก เพียงแต่เมื่อหลายสิบปีก่อนจู่ๆ ก็หายตัวไป ที่แท้หายตัวไปเลี้ยงเด็ก
เหอจานคิดถึงแม่ชีชราที่สั่งสอนและเลี้ยงดูตนเองคนนั้น ในใจพลันรู้สึกอบอุ่น ดังนั้นจึงมิได้ถามต่อ แต่กลับเกิดความรู้สึกสงสัยขึ้นมามากมาย
ป้าของตนเองผู้นี้เป็นผู้อาวุโสของแม่ชีหลานซีหรือนี่ อย่างนั้นมิเท่ากับว่ามีสถานะใกล้เคียงกับเจ้าสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยหรอกหรือ?
กั้วตงเดินเข้าไปในเพิงบวบ
เหอจานรีบตามไป ก่อนกล่าวถามว่า “ป้า เมื่อตอนเด็กๆ ผ้าที่ท่านให้ข้าชิ้นนั้นคืออะไร?”
กั้วตงกล่าว “ผ้าธารชำระ”
เหอจานกล่าวถาม “แล้วกระดูกมังกรตอนนั้นล่ะ? เอาไปแช่เหล้าดื่มจะมีประโยชน์ไหม?”
กั้วตงกล่าว “มีแต่คนปัญญาอ่อนถึงจะใช้อย่างนั้น”
เหอจานลูบจมูกอย่างขวยเขิน ก่อนกล่าวว่า “อย่างไรซะตอนนั้นก็มียาอยู่เยอะ ก็เลยไม่ได้คิดเอาไปปรุงยา”
กั้วตงครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ จึงมองเขาพลางกล่าวว่า “คำนวณจากเวลาแล้ว ปีนี้เจ้าน่าจะบรรลุขั้นประตูหยกแล้ว ยาสามแก่นเม็ดนั้นให้กินพร้อมเหล้าแรงๆ จะได้ผลดีที่สุด”
เหอจานยิ่งรู้สึกไม่ดีเข้าไปใหญ่ เขากล่าวว่า “ตอนนั้นเงินขาดมือ ข้าก็เลยเอายากล่องนั้น….ขายไปแล้ว”
กั้วตงมองเขาอย่างเงียบๆ ก่อนกล่าวว่า “สำนักฝ่ายธรรมะเมื่อเห็นยากล่องนั้นจะต้องรู้แน่ว่าเป็นยาจากไหน สำนักเล็กๆ เจ้าไม่มีทางเอาไปขายแน่ ข้าสงสัยนักว่าเป็นใครที่กล้าซื้อยาของเจ้าไป”
เหอจานลังเลอยู่ครู่ ก่อนกล่าวว่า “สาวน้อยคนหนึ่งจากสำนักเสวียนหลิง”
กั้วตงคิดถึงภาพที่ตนเองเห็นในการประลองหมากล้อมในงานชุมนุมเหมยฮุ่ย จึงกล่าวเตือนว่า “นางอายุน้อยกว่าเจ้ามากนัก”
ครั้นกล่าวจบประโยคนี้ นางก็เหยียบอากาศลอยขึ้นไป ก่อนจะหายลับไปในแสงแดดยามเช้า
เหอจานมองดูท้องฟ้าที่ถูกแสงแดดยามเช้าย้อมจนเป็นสีแดง เขานิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นจึงถอนใจออกมา
“ต่อให้ไม่พอใจหลานอย่างข้า แต่จะเย็นชาไปหน่อยหรือเปล่า ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เอาแค่ยาสามแก่นอันนั้น จะให้เพิ่มอีกซักเม็ดมิได้เชียวหรือ?”
ตั้งแต่เล็กเขาเติบโตมาในสำนักชี หลังแม่ชีชราลาโลกไปก็เริ่มใช้ชีวิตคนเดียว มิอาจถือว่าลำบาก แต่ก็คล้ายคนไร้หลักที่ลอยไปลอยมา วันนี้เขาพลันพบว่าตัวเองมีญาติเพิ่มมาอีกคน ที่แท้ตนก็เป็นคนที่มีที่มาที่ไป โลกตรงหน้าพลันเปลี่ยนไปจากเดิม แสงอาทิตย์ที่ร้อนแรงดูอบอุ่นขึ้นมา จากนั้นเขาคิดถึงคำพูดประโยคนั้นของกั้วตง รู้สึกแปลกเล็กน้อย นับแต่วันนี้ไปตัวเองคือศิษย์ของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย? สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยมีแต่ผู้หญิงมิใช่หรือ? ยิ่งไปกว่านั้นท่านป้าเป็นใครกันแน่?
แต่แน่นอน ในเวลานี้เขามั่นใจแล้ว ก็เหมือนอย่างที่ถงเหยียนคาดการณ์เอาไว้ ท่านป้าจะต้องเป็นคนสำคัญของโลกแห่งการบำเพ็ญพรตอย่างแน่นอน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในใจเขาพลันเกิดอารมณ์พุ่งพล่านขึ้นมาอย่างรุนแรง
ก็เหมือนกับตอนที่บุตรชายผู้สืบทอดของลู่กั๋วกงทราบว่าเบื้องหลังตระกูลตัวเองคือนักพรตจิ่งหยางอย่างไรอย่างนั้น
ยังจะมีใครเทียบได้อีก?
……
……
เมืองไป๋เฉิงในช่วงต้นฤดูร้อนยังไม่ถือว่าร้อน
เทียบกับเมื่อหลายปีก่อน แนวหิมะได้ถอยไปทางเหนือหลายร้อยลี้ บนทุ่งกว้างเต็มไปด้วยต้นหญ้ากระจัดกระจายเป็นหย่อมๆ ต้นข้าวและแตงยังไม่สามารถเจริญเติบโตได้ ในบรรดาพืชผักธัญญาหารที่ส่งมาจากเมืองจวี้เย่ก็ไม่มีบวบเช่นกัน
กั้วตงเดินไปถึงหน้าวัดเล็กๆ แห่งนั้น แต่มิได้เดินเข้าไป หากแต่หมุนตัวนั่งลงไปบนธรณีประตู มองไปยังทุ่งกว้างทางเหนือ จากนั้นหยิบเอาแตงกวาจากในแขนเสื้อออกมากัดไปคำหนึ่ง
เสียงที่ทุ้มต่ำเสียงนั้นดังขึ้นมาทางด้านหลังนาง “ที่แท้เจ้าก็คอยเลี้ยงดูเด็กเหล่านี้มาโดยตลอด เจ้าหวังจะให้พวกเขากลายเป็นข้า?”
กั้วตงมิได้หมุนตัวกลับมา นางกล่าวว่า “การจะกลายเป็นเทพนั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบาก ที่เจ้าทำได้เป็นเพราะความอดทนของเจ้า มิได้เกี่ยวกับข้า”
เสียงนั้นกล่าวขึ้นมา “อย่างนั้นเจ้ามองว่าใครมีโอกาสมากที่สุด?”
กั้วตงกล่าว “ในสถานที่แปลกประหลาดอย่างชิงซาน ศิษย์อันดับหนึ่งกลับเป็นกั้วหนานซานที่รู้จักหน้าที่ความรับผิดชอบของตน นี่ค่อนข้างจะเหนือความคาดหมายของข้า ลั่วไหวหนานสูญเสียใจแห่งเต๋าภายในวันเดียว นี่ก็เหนือความคาดหมายของข้าเช่นกัน ถงเหยียนเย็นชาสันโดษเกินไป ไม่เหมาะจะเป็นผู้นำ ส่วนไป๋เจ่าที่ตอนแรกข้ามองว่าเหมาะสมที่สุดก็ค่อนข้างอ่อนแอ ยากจะต้านทานลมฝนได้ ที่น่าเสียดายที่สุดก็คือช่วงนี้นางมีอุปสรรค เกรงว่ายากจะก้าวข้ามไปได้”
เสียงนั้นกล่าวอย่างทอดถอนใจ “หากมิรู้สาเหตุ จะแก้ไขได้อย่างไร คนมีความรัก มักจะเป็นเช่นนี้”
กั้วตงนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ข้ายังเคยมองเจ้าล่าเยวี่ยไว้ด้วย ค่อนข้างพอใจทีเดียว เสียดายที่นางขึ้นไปยอดเขาเสินม่อแล้ว ยากจะสลัดนิสัยประหลาดของจิ่งหยางได้”
เสียงนั้นกล่าวว่า “เหตุใดต้องใส่ใจถึงเพียงนี้?”
กั้วตงใช้แตงกวาชี้ไปยังส่วนลึกของทุ่งกว้าง พลางกล่าวว่า “ตอนนั้นข้าอยากจะฆ่านางที่อยู่ในแคว้นเสวี่ย เที่ยวเดินทางไปพูดกล่อมสำนักต่างๆ สุดท้ายมีเพียงคนครึ่งที่ยอมช่วยข้า เจ้าคือคนหนึ่ง ท่านเผยคืออีกครึ่งหนึ่ง ตอนนั้นข้าเข้าใจแล้วว่าคนอย่างพวกเรานั้นถือเป็นพวกแปลกประหลาดในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต พวกแปลกประหลาดนั้นมีจำนวนน้อย ไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากนัก พวกเราต้องการคนที่คิดเหมือนกันมากกว่านี้ ดังนั้นข้าจึงอยากจะชี้นำทางให้พวกเขาตอนที่พวกเขาอายุยังน้อย ด้วยหวังว่าความคิดของพวกเขาจะไม่คร่ำครึโบราณไปตามกาลเวลา”
เสียงนั้นถอนใจออกมาพลางกล่าวว่า “คนหนุ่มสาวพอแก่ลงก็จะกลายเป็นคนแก่ แล้วยังจะเป็นคนหนุ่มสาวเหมือนในอดีตได้อย่างไรล่ะ?”
กั้วตงกล่าว “มีเหตุผล แต่ก็ต้องลองดู”
เสียงนั้นกล่าว “ข้ารู้เรื่องเวลาของเจ้า แต่เจ้าดูเหมือนจะใจร้อนไปหน่อย”
กั้วตงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันเล็กน้อย “เจ้าน่าจะรู้ดี ทุกคนเริ่มใจร้อนขึ้นมาแล้ว”
……
……
หน้าผาที่พังถล่มลงมานอกเมืองไห่โจวคล้ายกับบาดแผลที่น่ากลัวบนผิวโลก ทุกที่ล้วนแต่เต็มไปด้วยเศษหินและต้นไม้ที่หักโค่น มิอาจตั้งตระหง่านอยู่ได้
ภาพในทะเลยิ่งน่ากลัว ทุกที่เต็มไปด้วยโขดหิน โขดหินเตี้ยๆ ก็จมอยู่ภายใต้ฟองสีขาวของคลื่นทะเล โขดหินสูงๆ ก็ชี้ขึ้นไปยังท้องฟ้าราวกระบี่อันแหลมคม
ท้องทะเลในรัศมีสิบกว่าลี้ล้วนแต่เป็นเช่นนี้ ทอดยาวไปถึงส่วนลึกของมหาสมุทร เชื่อมต่อกับหินโสโครกที่มีชื่อเสียงแถบนั้น
โขดหินเหล่านี้เคยอยู่บนท้องฟ้า เป็นส่วนหนึ่งของภูเขาลอยฟ้าที่ถูกเมฆห่อหุ้มเอาไว้
ในคืนนั้น เทพกระบี่ซีไห่ใช้กระบี่ฟันลานเมฆจนขาดสะบั้น ภูเขาลอยฟ้าตกจากฟ้าลงมาข้างล่าง หากมิเป็นเพราะปู้ชิวเซียวจากเรือนอี้เหมาและยอดฝีมืออีกหลายคนร่วมมือกันช่วยเหลือ เกรงว่าคงจะทำให้เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง ประชาชนในเมืองไห่โจวจะต้องบาดเจ็บล้มตายกันเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน
บริเวณโขดหินโสโครกและเศษซากยังมีรอยเลือดอีกเป็นจำนวนมาก เพียงแต่ไม่รู้ว่ารอยเลือดนั้นมาจากผู้บำเพ็ญพรตที่ต่อสู้ในคืนนั้นหรือว่าวาฬบินที่บาดเจ็บสาหัสตัวนั้น
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินยืนอยู่ริมผา มองดูภาพตรงหน้า จากนั้นขยี้จมูก จมูกยิ่งดูแดงขึ้นกว่าเดิม
สายตาของเขามองไล่ตามโขดหินโสโครกที่อยู่บนน้ำทะเลออกไป ก่อนจะมองเห็นโขดหินโสโครกแถบนั้นที่มีอยู่แต่เดิมก่อนหน้านี้ ในใจพลันเกิดความคิดคาดเดาบางอย่างขึ้นมา หรือเมื่อนานมาแล้วตรงริมทะเลตะวันตกจะมีภูเขาลอยฟ้าอยู่เช่นกัน จากนั้นถูกยอดฝีมือในเวลานั้นโจมตีจนร่วงตกลงมา?
ต่อให้การคาดเดาที่ว่านี้เป็นความจริง แต่ในเมื่อกระทั่งตัวเขาเองก็ยังไม่รู้เรื่อง เช่นนั้นมันจะต้องเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายหมื่นปีก่อนอย่างแน่นอน
ทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนในตอนนี้น่าจะมีเพียงสำนักชิงซานหรือสำนักจงโจวแค่ไม่กี่สำนักที่มีบันทึกอยู่
เขามองชายหนุ่มที่อยู่ข้างกาย ในใจอยากจะถามว่าเคยได้ยินเรื่องนี้หรือไม่ แต่ภาพที่เห็นทำให้เขาต้องงุนงงไปเล็กน้อย
อินซานยืนสองมือไพล่หลังอยู่ริมผา ปล่อยให้สายลมพัดโชยใบหน้าของตน สายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกยินดีและผ่อนคลาย คล้ายร่ำสุรามาอย่างไรอย่างนั้น
ปรมาจารย์แห่งสำนักเสวียนอินกล่าว “ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นไปอย่างที่เจ้าต้องการ”
อินซานยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “การได้มาย่อมต้องน่ายินดี”
………………………………