มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 66 ความหวังดี ปัญหาและความยุ่งยาก
เหอจานเข้าใจความหมายของถงเหยียน
ก็เหมือนกับที่ไป๋เจ่าพูดกับจิ๋งจิ่วในเมืองเจาเกอเมื่อหลายปีก่อน — ปู้เหล่าหลินนั้นเป็นปัญหาที่คงอยู่มานานหลายปี แต่ที่สำนักฝ่ายธรรมะไม่ได้จัดการ เหตุผลหลักๆ เป็นเพราะไม่มีแรงกระตุ้น เหล่าอาจารย์ของแต่ละสำนักคิดว่าเรื่องนี้มันยุ่งยากเกินไป จะส่งผลกระทบต่อการบำเพ็ญเพียรของตนเองได้
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ถงเหยียนและคนอื่นๆ ได้คว่ำโต๊ะตัวนี้ลงผ่านทางหลิ่วสือซุ่ย เอาหลักฐานออกมาวางตรงหน้า เช่นนั้นเหล่าอาจารย์ก็ต้องทำอะไรสักอย่าง
ในอีกแง่หนึ่งก็คือ การต่อสู้ที่เกิดขึ้นนอกเมืองไห่โจวเมื่อวานนี้เป็นฝีมือศิษย์หนุ่มสาวเหล่านี้ที่บีบให้อาจารย์ของตัวเองต้องลงมือ
แต่เหอจานไม่คิดว่ามันจะมีประโยชน์อะไรนัก เขากล่าวเย้ยหยันเล็กน้อย “ไม่ได้ทำเต็มที่ มิอาจเรียกได้ว่าทำสำเร็จ”
ถงเหยียนไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา กล่าวว่า “ลานเมฆถูกทำลาย ภายในร้อยปีสำนักกระบี่ซีไห่ไม่อาจเข้าแผ่นดินได้ นี่ก็คือความสำเร็จ”
เหอจานกล่าวว่า “ตอนนั้นพวกเจ้าบอกว่าจะไม่ทำเรื่องหลอกตัวเองเหมือนอย่างผู้อาวุโส จะไม่มีการประนีประนอมง่ายๆ แล้วตอนนี้มันอะไรกัน?”
สถานการณ์นอกเมืองไห่โจวรุนแรงเพียงนี้ สำนักชิงซานเชิญยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์มาสองคน แต่สุดท้ายก็ยังจบลงด้วยการประนีประนอม
เทพกระบี่ซีไห่สังหารศิษย์น้องของตัวเอง จากนั้นกลับไปโดยไม่ได้รับผลกระทบใดๆ แม้แต่น้อย
เหอจานทราบดี การจะสังหารผู้ยิ่งใหญ่อย่างเทพกระบี่ซีไห่นั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก แต่เขาก็ยังรู้สึกหงุดหงิด
เขามองถงเหยียนพลางกล่าว “ไม่ว่าจะเป็นสำนักจงโจวของพวกเจ้าหรือว่าชิงซานก็ล้วนแต่โคตรน่าเบื่อเลย”
ถงเหยียนยังคงก้มหน้า เขากล่าวเสียงเบาๆ ว่า “เดิมพวกคนแก่ก็ไม่ได้มีเรี่ยวแรงอะไรอยู่แล้ว”
ซูจึเย่ได้ยินพวกเขาคุยถึงอาจารย์พวกเขาอย่างไม่เกรงใจ จึงรู้สึกสนุก ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวถามว่า “พวกเจ้าเป็นอะไรกัน?”
เหอจานเลิกคิ้วขึ้นมาพลางกล่าวว่า “กลุ่มลับที่รวมตัวขึ้นมาจากศิษย์หนุ่มสาวของสำนักต่างๆ?”
บนใบหน้าของซูจึเย่มีสีหน้าที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เขารู้สึกขบขันและรู้สึกหวาดกลัว
เหอจานผายมือ “ข้าไม่รู้ว่าเรียกแบบนี้มันถูกต้องหรือไม่ ตอนนั้นข้าเข้าร่วมการประลองวิถีพรตเป็นครั้งแรกแล้วก็เป็นครั้งสุดท้าย ในคืนหนึ่งทุกคนมารวมตัวดื่มสุรากินเนื้อกัน ดื่มกันค่อนข้างหนัก คุยกันก็ค่อนข้างมากเช่นกัน แล้วจู่ๆ จากนั้นก็คุยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เจ้าอย่ามองข้า ข้าแค่บังเอิญไปอยู่ตรงนั้นพอดี มิได้เกี่ยวข้องลึกซึ้ง อย่างมากก็เป็นแค่สมาชิกห่างๆ คนหนึ่ง ความจริงหากมิเป็นเพราะข้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับถงเหยียน เกรงว่าพวกเขาคงจะฆ่าข้าปิดปากไปนานแล้ว”
ซูจึเย่กล่าวถามว่า “อย่างนั้นพวกเจ้า หรือพูดอีกอย่างคือพวกเขาคิดจะทำอะไร?”
ทั้งๆ ที่ถงเหยียนเล่นหมากล้อมอยู่ริมหน้าต่าง อยู่ห่างจากเขาค่อนข้างใกล้ แต่เขาก็ยังถามเหอจาน
เหอจานมองถงเหยียน ยิ้มพลางกล่าวว่า “เรื่องที่พวกเขาคิดทำ ย้อมต้องเป็นการกำจัดคนอย่างพวกเจ้าให้หมด”
ซูจึเย่เป็นใคร? เขาเป็นนายน้อยแห่งสำนักเสวียนอิน เป็นคนของพรรคมารที่มีชื่อเสียง แล้วก็เป็นศัตรูของสำนักฝ่ายธรรมะ
เมื่อได้ยินคำพูดของเหอจาน เขาพลันหัวเราะขึ้นมา ก่อนกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้าช่วยข้า ย่อมไม่มีทางฆ่าข้าปิดปาก อย่างนั้นเหตุใดจึงให้ข้าล่วงรู้เรื่องนี้?”
ถงเหยียนวางหมากอีกครั้ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา มองดูเขาแล้วกล่าวเสียงเบาๆ “สำนักเสวียนอินมิใช่ของเจ้าอีกแล้ว อย่างนั้นก็กลับตัวสู่ทางที่ถูกต้องเสียเถอะ”
ซูจึเย่เก็บรอยยิ้ม ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แล้วข้าจะได้ประโยชน์อะไร?”
ถงเหยียนกล่าว “พวกเราสามารถช่วยเจ้าชิงเอาสำนักเสวียนอินกลับมาได้”
ซูจึเย่กล่าว “หากสามารถชิงเอาสำนักเสวียนอินกลับมาได้ เหตุใดข้าต้องเปลี่ยนด้วย?”
ถงเหยียนกล่าว “เพราะถ้าเป็นแบบนั้น เจ้าจะสามารถนำสำนักเสวียนอินทั้งสำนักเปลี่ยนมาอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้องได้”
ซูจึเย่นิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “เจ้าช่างทะเยอะทะยานนัก”
ถงเหยียนกล่าว “มิใช่ทะเยอทะยาน หากแต่เป็นความหวังดี”
ซูจึเย่กล่าว “คนฉลาดอย่างเจ้าน่าจะเข้าใจดี สิ่งที่แบ่งระหว่างธรรมะกับอธรรม หลักๆ แล้วก็คือวิธีในการบำเพ็ญพรต”
ไม่ว่าจะเป็นสำนักเสวี่ยหมัวในอดีตหรือว่าสำนักเสวียนอินและสำนักฝ่ายอธรรมอีกจำนวนมากในเขาเหลิ่งซาน สิ่งที่พวกเขาไม่เหมือนกับสำนักฝ่ายธรรมะ นอกจากเรื่องความโหดร้ายและการสังหารผู้บริสุทธิ์แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือวิธีการบำเพ็ญพรตของพวกเขามีความโหดร้ายเป็นอย่างมาก อย่างเช่นกินเลือด อย่างเช่นการบูชายัญ อย่างเช่นหน่อมารช่วงชิงวิญญาณ
“นั่นเป็นเพราะสายแร่วิญญาณมีปัญหาหรือไม่ก็วิธีการบำเพ็ญเพียรไม่ถูกต้อง พวกเจ้าเลยต้องใช้วิธีแบบนี้มาทดแทนพลังวิญญาณจากในธรรมชาติ ปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้”
สีหน้าของถงเหยียนเรียบเฉย กล่าวว่า “หลิ่วสือซุ่ยฝึกวิชาลับของสำนักเสวี่ยหมัวจนถึงขั้นห้าก็ยังไม่จำเป็นต้องฆ่าคนเลยแม้แต่คนเดียว นี่คือข้อพิสูจน์”
“เขาอาจจะเป็นอัจฉริยะ ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่อยู่ในชิงซานตอนแรกสุดจะต้องมีโชคดีอะไรบางอย่างแน่ วิธีแบบนี้ไม่สามารถนำมาใช้อย่างแพร่หลายได้”
ซูจึเย่กล่าว “ต่อให้เจ้าและจิ๋งจิ่วซึ่งเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลกนี้ร่วมมือกันก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้”
ถงเหยียนกล่าว “ข้าไม่ได้ต้องการจะแก้ไขปัญหาของพรรคมารทั้งหมด แต่ข้าคิดว่าอย่างน้อยปัญหาของสำนักเสวียนอินนั้นมีหวังที่จะได้รับการแก้ไข”
ซูจึเย่ค่อยๆ เลิกคิ้ว กล่าวว่า “เจ้าคิดจะแก้ไขอย่างไร?”
ถงเหยียนกล่าวเสียงเบาๆ “ด้านล่างเขาเหลิ่งซานมีสายแร่วิญญาณอยู่มากมาย ส่วนใหญ่ปนเปื้อนและไม่สะอาด มีแค่หนึ่งหรือสองสายที่พอใช้ได้”
ดวงตาของซูจึเย่หรี่เล็กลง
สายแร่วิญญาณเป็นรากฐานของสำนักบำเพ็ญพรต สำนักจงโจวและสำนักชิงซานครอบครองสายแร่วิญญาณที่ดีที่สุดสองเส้นของแผ่นดินเฉาเทียนไปแล้ว สำนักอื่นๆ ที่เหลือก็มีสายแร่วิญญาณเป็นของตัวเอง
ผ่านมาหลายหมื่นปี เหล่าผู้บำเพ็ญพรตไม่รู้ว่าพลิกแผ่นดินเฉาเทียนค้นหาไปแล้วกี่รอบ แต่ก็ไม่สามารถหาสายแร่วิญญาณแห่งใหม่ได้
ต่อให้สามารถหาสายแร่วิญญาณที่ไม่มีเจ้าของได้ ก็ต้องถูกสำนักใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุดเหล่านั้นแย่งชิงไปอย่างแน่นอน
ใต้เขาเหลิ่งซานมีสายแร่วิญญาณอยู่มากมาย แต่พลังของสายแร่วิญญาณกลับมีความยุ่งเหยิงมากเกินไป สายแร่เพียงสายเดียวที่ถือว่าเป็นสายแร่ชั้นดีก็อยู่ด้านล่างทะเลสาบเทียนฉือลงไปสามร้อยลี้
มีสายแร่หนึ่งหรือสองสายที่่ว่านั้นที่ไหนกัน
มีอยู่แค่สายเดียวเท่านั้นแหละ
และสำนักคุนหลุนก็อยู่ที่นั่น
คำพูดของถงเหยียนประโยคนี้หมายความว่าอย่างไร?
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงจะไม่กล้าคิดลึกลงไป แต่ซูจึเย่กลับจำเป็นต้องคิดให้ลึกขึ้น
เขายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องคิดให้ละเอียด
แต่เขาเองก็รู้ดีว่าต่อให้ตัวเองรับปากถงเหยียนไป เขาก็ต้องรอไปอีกนานกว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้น อาจจะเป็นเวลาอีกหลายร้อยปีหลังจากนี้
เขากล่าวว่า “พวกเจ้าแก้ไขปัญหาของตัวเองก่อนจะดีกว่า”
เหอจานไม่เข้าใจ กล่าวถามว่า “ยังมีปัญหาอะไรอีก?”
ซูจึเย่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ครั้งนี้หลิ่วสือซุ่ยทำความดีความชอบได้อย่างมาก แต่เขาสังหารลั่วไหวหนานไป หรือว่านี่มิใช่ปัญหา?”
เหอจานตกตะลึง ในใจครุ่นคิดว่านี่เป็นปัญหาใหญ่จริงด้วย — สำนักกระบี่ซีไห่ถอยออกไปนอกทะเล ปู้เหล่าหลินจะต้องเงียบหายไปเป็นเวลานานอย่างแน่นอน แต่ถ้าปัญหาของหลิ่วสือซุ่ยแก้ไขได้ไม่ดี สำนักชิงซานและสำนักจงโจวปะทะกันขึ้นมา สถานการณ์ของแผ่นดินเฉาเทียนก็มีแต่จะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
“นั่นเป็นเรื่องที่จิ๋งจิ่วต้องกังวล เจ้าไปต้มโจ๊กผักเถอะ”
คำพูดของถงเหยียนมีความหมายลึกซึ้ง เพียงแต่ซูจึเย่และเหอจานฟังไม่เข้าใจ
ต้มโจ๊กผักย่อมต้องเป็นเรื่องของเหอจาน
เหอจานหงุดหงิดเล็กน้อย กล่าวว่า “แล้วทำไมเจ้าไม่ไปทำ?”
ถงเหยียนมองดูกระดานหมากล้อม ก่อนกล่าวว่า “ข้าต้องเล่นหมาก”
เหอจานเดินไปในสวนผัก เมื่อเห็นสีเขียวตรงหน้า ในใจพลันรู้สึกหงุดหงิด เขานั่งยองๆ ลงไปเด็ดผักพลางบ่นว่า “ถ้าเอามาห่อเนื้อน่าจะอร่อยไม่น้อย”
ทันใดนั้นเอง ปลายนิ้วของเขาก็ไปสัมผัสกับของแข็งๆ อย่างหนึ่งเข้า
……
……
ทั้งสองคนที่อยู่ในห้องเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกัน ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่าง
ไอพลังสายนี้เยียบเย็นถึงเพียงนี้ กระทั่งแสงอาทิตย์ก็ดูคล้ายอ่อนแรงลงไปมาก
เหอจานเดินกลับเข้ามาในห้อง เอาของที่อยู่ในมือวางลงไปบนโต๊ะ มิได้กล่าวกระไร
ซูจึเย่และถงเหยียนมองไป พบว่านั่นเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง
ไอพลังที่เยียบเย็นนั้นแผ่กระจายออกมาจากกระบี่เล่มนี้
สำนักจงโจวไม่ค่อยใช้กระบี่
สำนักเสวียนอินก็เช่นกัน
แต่มิได้หมายความว่าพวกเขาจะมองไม่ออก
กระบี่เล่มนี้มิใช่ของธรรมดาอย่างแน่นอน
ซูจึเย่มองไปทางเหอจานพลางกล่าวถามว่า “นี่มันเรื่องอะไร?”
เหอจานกล่าว “ข้าเก็บมันได้ในสวนผักเมื่อครู่นี้”
ซูจึเย่คิดถึงเรื่องโชคดีที่เพิ่งจะคุยกันไปเมื่อครู่นี้ จึงกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ข้าพลันรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนักที่ถูกเจ้าเก็บกลับมาจากเมืองอี้โจว”
ถงเหยียนเดินมาที่โต๊ะ มองดูกระบี่เล่มนั้นอย่างเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวว่า “แต่ข้ากลับคิดว่าสิ่งที่เจ้าเก็บกลับมาคือปัญหายุ่งยาก”
……………………………..