มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 42 เหตุใดเจ้าสำนักจึงยิ้ม?
ยักษ์หาวออกมา นั่นเป็นเพราะความง่วง
ความง่วงเกิดจากความเบื่อหน่าย
สาเหตุที่เบื่อหน่ายเป็นเพราะคนที่อยู่บนเกาะเหล่านั้นไม่สามารถออกมาจากหมอกได้ เขาเองก็ไม่สามารถเข้าไปในหมอกแห่งนั้นได้ ยิ่งไปกว่านั้นบนทะเลไม่มีเรือ ไม่มีใครคนอื่น
เพราะก่อนหน้านั้น เขาได้ส่งเสียงตะโกนออกไปทีหนึ่ง
หลังจากนั้นสองชั่วยาม บนท้องทะเลที่เงียบสงบผืนนั้นพลันเกิดลมอันรุนแรงขึ้นมา ใบเรือถูกพัดจนเหมือนแก้มเด็กที่ปูดบวมขึ้นมา ส่งเสียงดังฟู่วๆ
เมฆที่อยู่เหนือท้องทะเลถูกพัดจนสลายหายไป เผยให้เห็นท้องฟ้าสีคราม แต่กลับมีเสียงสายฟ้าดังขึ้นมา นั่นคือเสียงตะโกนของยักษ์ที่ถูกกาลอวกาศบิดเบือนจนเปลี่ยนรูปร่าง
เรือเทพลำหนึ่งที่มุ่งหน้ามาจากเกาะเผิงไหลกำลังล่องเข้าไปยังส่วนลึกของทะเลอย่างเงียบๆ และมีความสุข
เรือลำนี้เตรียมจะมุ่งหน้าไปยังหมู่เกาะที่อยู่ในทะเล แล้วยังจะไปยังแผ่นดินแปลกหน้าที่อยู่ไกลออกไป หลังจากนี้อีกเจ็ดปีค่อยกลับมา
การเดินทางที่ทะเยอทะยานเช่นนี้กลับต้องมาถูกบีบให้หยุดลงเพราะลมพายุและเสียงฟ้าร้องที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นมา
หัวหน้าเรือเดินมายังด้านหน้าสุดของดาดฟ้าเรือ ลมพัดมารุนแรงจนเขาต้องหรี่ตา มือขวาโบกไปมา ส่งสัญญาณบอกให้มนุษย์วิหคที่ออกไปสำรวจดูปรากฏการณ์อันตรายให้รีบกลับมา
เสียงพลั่กดังขึ้นเบาๆ มนุษย์วิหคลงมาบนดาดฟ้าเรือ เขาเก็บปีกทั้งสองข้าง บนใบหน้ายังมีความรู้สึกหวาดกลัวหลงเหลืออยู่
“ข้าถูกท่านมาพาจากแผ่นดิน มายังท้องทะเลได้สิบปีแล้ว แต่ข้าไม่เคยเจอเรื่องที่แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน”
ลมค่อยๆ สงบลง สายตาของหัวหน้าเรือยังคงหรี่เล็ก ให้ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยสติปัญญาและประสบการณ์ เขากล่าวว่า “นี่เป็นการเตือนจากท่านเทพทะเล”
มนุษย์วิหคได้ยินชื่อเทพทะเลเป็นครั้งแรก จึงกล่าวถามอย่างตกใจว่า “เทพทะเลหรือขอรับ?”
หัวหน้าเรือกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ในอดีตเรือที่อยู่ใต้เท้าพวกเราลำนี้เกือบถูกน้ำวนยักษ์กลืนกินลงไปเพราะลมรุนแรงที่พัดลงมาอย่างกะทันหัน หลังหลุดออกมาได้อย่างยากลำบาก กลับไปชนเข้ากับภูเขาน้ำแข็งจนเกือบจะจมลงก้นทะเล ตอนนั้นเป็นท่านเทพทะเลมาช่วยพวกเราไว้”
มนุษย์วิหคคิดในใจหรือเทพทะเลก็คือวีรบุรุษแห่งแผ่นดินแปลกหน้านั้น? แต่เรื่องเล่าเรื่องนั้นมันไม่ใช่เรื่องจริงมิใช่หรือ?
เขาจำได้ชัดเจน ในตอนที่เรื่องเล่านี้แพร่กระจายกลับมายังแผ่นดินเฉาเทียน ทุกคนต่างคิดว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมา เพราะไม่มีใครเข้าใจว่าวีรบุรุษจากแผ่นดินประหลาดนั้นก้าวข้ามทะเลได้อย่างไร แล้วคนเพียงคนเดียวจะสามารถช่วยเรือเทพที่หนักอึ้งปานขุนเขาได้อย่างไร?
จนกระทั่งในวันนี้เขาถึงได้รู้ว่า ที่แท้วีรบุรุษจากแผ่นดินแปลกหน้าคนนั้นมิใช่คน หากแต่เป็นเทพองค์หนึ่ง
“แจ้งเรือสินค้าและเรือเทพทุกลำให้เลี้ยวกลับทันที”
หัวหน้าเรือหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในเรือ
มนุษย์วิหคเดินตามมา กล่าวถามว่า “อย่างนั้นพวกเราออกเดินทางอีกทีเมื่อไรขอรับ?”
หัวหน้าเรือกล่าวว่า “ก็รอจนกว่าจะมีคำสั่งจากท่านเทพทะเล”
……
……
เขาคุนหลุนและยอดเขาปี้หูของชิงซานมีความคล้ายคลึงกัน ด้านบนสุดมีทะเลสาบอยู่แห่งหนึ่ง
เพียงแต่ทะเลสาบบนยอดเขาคุนหลุนมีขนาดใหญ่กว่า ดูแล้วเหมือนทะเลที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ถูกขนานนามว่าเทียนฉือ
บนหน้าผาที่อยู่รอบทะเลสาบเทียนฉือล้วนแต่เป็นหิมะ หนาวเย็นเป็นอย่างมาก แต่บนผิวน้ำกลับอบอุ่น ว่าอันว่าด้านล่างคือภูเขาไฟที่หลับใหลอยู่ แล้วยังมีอีกคำกล่าวหนึ่งบอกว่าสายแร่วิญญาณที่อยู่ด้านล่างทะเลสาบเทียนฉือนั้นมีต้นกำเนิดเดียวกับสายแร่เพลิงของสำนักเสวียนอิน
บนผิวน้ำเต็มไปด้วยหมอกเบาบาง สกัดกั้นความหนาวเย็นเอาไว้ด้านนอก บางส่วนคือหมอกจริงๆ ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นผลที่เกิดจากข่ายพลังของสำนักคุนหลุน
ตรงกลางทะเลสาบเทียนฉือที่ถูกหมอกปกคลุมมีเกาะอยู่แห่งหนึ่ง บนเกาะมีพืชพรรณสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วน มีนกกระเรียนโผบินอยู่ในนั้น พลังวิญญาณเต็มเปี่ยม ดูคล้ายดินแดนแห่งเซียนก็มิปาน
เจ้าสำนักคุนหลุนเหอเว่ยดึงสายตากลับมาจากทะเลสาบที่ถูกหมอกปกคลุม ตัดขาดการเชื่อมต่อกับนกหานเฮ่า มองไปทางกลุ่มคนที่อยู่ภายในตำหนักพลางยิ้มขึ้นมา
เขาคือหนึ่งในผู้นำของโลกแห่งการบำเพ็ญพรตฝ่ายธรรมะ แต่นิสัยกลับมิค่อยดีเท่าไร เรียกได้ว่าเย็นชาฉุนเฉียว ทว่าในเวลานี้กลับยิ้มขึ้นมา นี่แสดงให้เห็นว่าอารมณ์เขาดีทีเดียว
เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเจ้าสำนัก เหล่าผู้อาวุโสและศิษย์ที่ยืนอยู่ทั้งสองด้านของตำหนักต่างรู้สึกตกใจ จากนั้นรีบครุ่นคิดว่าตัวเองควรจะกล่าวชมรอยยิ้มของเจ้าสำนักว่าอบอุ่นเหมือนดังลมในฤดูใบไม้ผลิ หรือว่าควรจะรีบเข้าไปถามว่าเหตุใดเจ้าสำนักจึงยิ้ม?
ดูเหมือนอารมณ์ของเหอเว่ยจะมิเลวจริงๆ จึงมิได้ทำให้พวกเขาลำบากใจ หากแต่กล่าวออกมาตรงๆ ว่า “พวกเจ้าทำดีมาก ข้าชอบ”
เหล่าศิษย์คุนหลุนไม่เข้าใจ ในใจครุ่นคิดว่าปีนี้ไม่มีงานชุมนุมเหมยฮุ่ย ในงานเลี้ยงซื่อไห่สำนักเราก็มิได้ทำผลงานโดดเด่น แล้วเหตุใดเจ้าสำนักจึงกล่าวชมเช่นนี้?
“ได้ยินว่าเมื่อหลายวันก่อนสำนักเสวียนอินเกิดเรื่อง?”
เหอเว่ยมองไปทางชายหนุ่มวัยกลางคนที่ยืนอยู่ทางขวามือคนที่สาม
ชายวัยกลางคนผู้นั้นมีนามว่าซ่งเชียนจี เป็นศิษย์น้องของเขา สภาวะสูงส่ง หากใช้สภาวะของดินแดนใต้มาแบ่ง เวลานี้เขาน่าจะอยู่ในขั้นคเนจรระดับสูงแล้ว
สำนักคุนหลุนและสำนักเสวียนอินต่างอยู่ในเขาเหลิ่งซาน อยู่ไม่ห่างกันมาก ภารกิจที่สำคัญที่สุดในเวลาปกติก็คือขี่กระบี่ลาดตระเวนไปรอบๆ คอยสังเกตความเคลื่อนไหวของพรรคมาร
ซ่งเชียนจีมีนิสัยเยือกเย็นระแวดระวัง ฝีมือการขี่กระบี่ก็ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก จึงเหมาะที่จะทำเรื่องนี้มากที่สุด หลายปีมานี้ภารกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสำนักเสวียนอินล้วนแต่เขาเป็นคนรับผิดชอบ
“สำนักเสวียนอินเกิดความวุ่นวายภายใน น่าจะมีคนตายไปไม่น้อย จนถึงตอนนี้ยังไม่ทราบสาเหตุขอรับ แต่ดูแล้วน่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ซูจึเย่ถูกลอบสังหารที่อี้โจว”
ได้ยินซ่งเชียนจีรายงานเช่นนี้ สีหน้าของเหอเว่ยคร่ำเคร่งขึ้นมาเล็กน้อย ศิษย์สำนักคุนหลุนที่อยู่ในตำหนักเองก็ตกใจ
ซูจึเย่ที่ถูกสำนักเสวียนอินและพรรคมารส่วนใหญ่มองว่าเป็นความหวังที่จะฟื้นฟูพรรคมารขึ้นมาใหม่อีกครั้งจะมาตายเช่นนี้จริงๆ อย่างนั้นหรือ? เหตุใดจนถึงตอนนี้ เจวี่ยนเหลียนเหรินยังไม่สามารถยืนยันได้อีก?
“ข้าจะไปดูหน่อย” เหอเว่ยกล่าว
ซ่งเชียนจีตกตะลึงเล็กน้อย กล่าวว่า “ศิษย์พี่ เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ เหตุใดท่านต้องออกหน้าเองล่ะขอรับ?”
เหอเว่ยมองเขาด้วยสายตาหงุดหงิด กล่าวว่า “ก็ถ้าเจ้ารู้ว่าเป็นเพราะอะไร ข้ายังต้องไปดูเองไหมล่ะ?”
ภายในตำหนักเงียบสงัด เหล่าศิษย์สำนักคุนหลุนต่างก้มหน้ามิกล่าวกระไร พวกเขาต่างรู้สึกเจ้าสำนักไม่ชื่นชอบอาจารย์อาซ่งมาโดยตลอด แม้นจะไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร
……
……
ลำแสงกระบี่ตกลงมา
ที่นี่อยู่ห่างจากสำนักคุนหลุนสองพันกว่าลี้ เข้ามายังส่วนที่รกร้างที่สุดของเขาเหลิ่งซาน แล้วก็เป็นเขตที่อันตรายที่สุดด้วย
บริเวณเขาอันรกร้างมีหุบเขาที่มืดมิดอยู่แห่งหนึ่ง ก้อนหินบนภูเขาเป็นสีแดง แผ่กระจายกลิ่นคาวเลือดบางๆ ออกมา ให้ความรู้สึกชั่วร้ายเป็นอย่างมาก
ในส่วนที่ลึกที่สุดของหุบเขานั้นก็คือศูนย์กลางลัทธิของสำนักเสวียนอิน ใต้พื้นดินคือสายแร่เพลิงเส้นนั้น มีความร้อนแรงมากกว่าเมื่อเทียบกับสายแร่ที่อยู่ด้านล่างสำนักคุนหลุน เพียงแต่เมื่อไม่มีทะเลสาบเทียนฉือช่วยลดความร้อน การบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี่จะทำให้ธาตุไฟเข้าแทรกได้ง่าย
ที่สำนักเสวียนอินเลือกที่นี่เป็นศูนย์กลางของสำนักเป็นเพราะในวิชามารที่สืบทอดต่อกันมาของพวกเขามีวิธีที่ชั่วร้ายอย่างมากที่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้
เหอเว่ยมองไปทางนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย มิได้มีทีท่าว่าจะเข้าไป
ช่วงเวลาหลายร้อยปีมานี้พรรคมารเสื่อมอำนาจ แต่สำนักเสวียนอินสืบทอดต่อกันมาหลายพันปี รากฐานหยั่งลึก ตอนนี้ต่อให้ตกต่ำเพียงใด ก็ไม่มีทางที่จะถูกพรรคฝ่ายธรรมะบุกเข้าไปสังหารในศูนย์กลางลัทธิอย่างแน่นอน
แม้จะยืนห่างออกมาหลายสิบลี้ แต่เขาก็ยังสามารถรับรู้ได้ถึงจิตสังหารอันรุนแรงที่แอบซ่อนอยู่ในหุบเขานั้น ในใจครุ่นคิดว่านั่นน่าจะเป็นข่ายพลังหมื่นธวัชที่ร่ำลือกัน
ซ่งเชียนจีมองดูเขา ในใจครุ่นคิด หรือว่าเจ้าอยู่ไกลขนาดนี้แล้วจะมองเห็นอะไรได้มากขึ้น?
เหอเว่ยพลันกล่าวขึ้นมา “เจ้ารู้ไหมว่าทำไมวันนี้ข้าถึงมีความสุข?”
ซ่งเชียนจีคิดในใจว่าใครจะไปรู้ได้ล่ะ จากนั้นกล่าวตอบไปด้วยสีหน้าเคารพและระมัดระวัง “คิดว่าสำนักเราคงจะมีเรื่องน่ายินดีอะไรบางอย่างขอรับ”
“ถูกต้อง ปู้เหล่าหลินชั่วช้าเจ้าเล่ห์ขนาดนี้ แต่หลายปีมานี้กลับส่งเจ้าและหลิวเซียงมาเป็นหนอนบ่อนไส้อยู่ในสำนักข้าแค่สองคน ข้าพอใจกับเรื่องนี้มาก”
เหอเว่ยตบบ่าซ่งเชียนจี
กระบี่เครื่องเคลือบที่โปร่งใสเล่มหนึ่งพุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขา
ซ่งเชียนจีส่งเสียงร้องเจ็บปวด
กระบี่เครื่องเคลือบเล่มนี้แทงทะลุหัวไหล่ของเขา ทะลวงเข้าไปร่างกายของเขา จากนั้นก็พุ่งออกมาจากส่วนที่เป็นของลับของเขา โลหิตสดๆ สาดกระจาย
……………………………..