มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 24 ลักยิ้มเล็กๆ
“อาจารย์อาเล็กหน้าตาเป็นอย่างไร?”
“หล่อเหลาเป็นที่สุด”
“ในอดีตอาจารย์อาเล็กก็เรียนอยู่ที่นี่เหมือนอย่างพวกเราหรือ?”
“เรียน? เจ้าเห็นถ้ำที่อยู่บนหน้าผาฝั่งตรงข้ามไหม? ตอนนั้นเขานอนอยู่ที่นั่นทั้งวัน ศิษย์ร่วมสำนักต่างหัวเราะเยาะว่าเขาเกียจคร้าน ไหนเลยจะรู้ว่าเขากำลังใช้จิตเลี้ยงกระบี่อยู่!”
“หรือท่านไม่เข้าเรียน เหล่าอาจารย์ก็ไม่ลงโทษท่าน?”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เหล่าศิษย์ขั้นล้างกระบี่พลันได้สติขึ้นมาว่าตนเองมิได้พูดคุยอยู่ในถ้ำ หากแต่อยู่ในห้องเรียน
พวกเขารีบผละออกมาจากริมหน้าต่าง กลับมานั่งยังที่นั่งของตัวเอง กระวนกระวาย ด้วยกลัวว่าอาจารย์เซียนจะลงโทษ
ห้องเรียนนี้สอนเรื่องทฤษฎีกระบี่เบื้องต้น ผู้สอนคืออาจารย์เซียนแซ่หลี่ว์
แต่เหล่าศิษย์ขั้นล้างกระบี่คาดไม่ถึง อาจารย์เซียนแซ่หลี่ว์ไม่เพียงไม่โกรธ แต่กลับยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “อยากดูก็ไปดูที่ริมธารสิ อยู่ตรงนี้จะไปมองเห็นอย่างไร?”
เหล่าศิษย์คล้ายไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง พวกเขาสบตากัน ก่อนจะมั่นใจว่าอาจารย์เซียนกล่าวเช่นนี้จริงๆ จึงส่งเสียงเฮออกมา จากนั้นรีบคารวะพลางวิ่งออกไป
อาจารย์เซียนหลี่ว์เดินมาริมหน้าต่าง มองดูเรือกระบี่ที่อยู่บนท้องฟ้า ลูบเคราตัวเองเบาๆ บนใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มชื่นชม
ตัวเขาที่อนาคตบนหนทางแห่งการบำเพ็ญพรตเคยมืดมัว เนื่องเพราะเรื่องราวที่พบเจอในศาลาหนานซงเหล่านั้น ทำให้เขาถูกเรียกกลับไปยังยอดเขาทั้งเก้าเพื่อบำเพ็ญเพียรอีกครั้ง
เมื่อสี่ปีก่อน ในที่สุดเขาก็บรรลุสภาวะได้สำเร็จ ตอนนี้มาสอนหนังสืออยู่ที่หอสี่เจี้ยน
เมื่อเห็นอดีตนักเรียนกลายเป็นความภาคภูมิใจของชิงซาน แล้วเขาจะไม่ชื่นชมได้อย่างไร?
ในสถานที่อื่นของหอสี่เจี้ยนมีภาพเหตุการณ์ที่คล้ายกันนี้ปรากฏขึ้นมาไม่หยุด
หลินอู๋จือถือแผนการสอนออกมาจากห้องเรียน พลันมองเห็นอาจารย์เหมยหลี่แห่งยอดเขาชิงหรง จึงประสานมือคารวะ
ริมธารพลันมีเสียงโห่ร้องยินดีดังขึ้นมา ทั้งสองคนสบตากัน อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ รู้สึกทอดถอนใจเป็นยิ่งนัก รีบเร่งฝีเท้า
เด็กหนุ่มเกียจคร้านเมื่อสิบสองปีก่อนผู้นั้น วันนี้กลับมาอย่างยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้เลยหรือ
……
……
ริมธารสี่เจี้ยนเคยมีหน้าผาอยู่แถบหนึ่ง ภายหลังในตอนที่กระบี่สามฉื่อแห่งยอดเขาซั่งเต๋อสังหารเจ้าแห่งยอดเขาปี้หูคนก่อนจนตาย ได้ทำให้หน้าผาแห่งนั้นถล่มราบลงมาเป็นหน้ากลองด้วย
หลังจากนั้นภายใต้คำขอของยอดเขาซื่อเยวี่ย ยอดเขาต่างๆ ได้หารือกันและตกลงว่าจะเปลี่ยนหน้าผาแถบนี้ให้กลายเป็นที่จอดเรือกระบี่
เรือกระบี่ค่อยๆ บินลงมา เงาขนาดใหญ่ทอดลงไปบนธารสี่เจี้ยน สายน้ำส่งเสียงซ่าๆ ทันที
ริมธารเต็มไปด้วยผู้คน
ศิษย์ชิงซานรุ่นที่สามหลายสิบคนอย่างหลินอู๋จือ เยาซงซาน เหลยอี้จิงและศิษย์ขั้นล้างกระบี่อีกจำนวนมากต่างส่งเสียงต้อนรับพร้อมกัน “ยินดีต้อนรับอาจารย์อาเล็กกลับมา”
เสียงนี้คล้ายเป็นเสียงฟ้าร้องที่ดังสะท้อนไปในแก่งน้ำ วานรจำนวนนับไม่ถ้วนส่งเสียงตอบรับ
กู้ชิงยืนอยู่ด้านหลังจิ๋งจิ่ว ยิ้มเล็กน้อยพลางคิดว่าอาจารย์ท่านจะยังรังเกียจไหมว่าหนวกหูเกินไป?
เด็กหนุ่มแซ่หยวนใบหน้าแดงเรื่อ รู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก พลางโบกมือให้แก่ศิษย์น้องอวี้ซานที่อยู่ในกลุ่มคน
“เอาล่ะ” ฟางจิ่งเทียนยิ้มพลางกล่าว “ท่านเจ้าสำนักกำลังรอศิษย์น้องจิ๋งอยู่ที่ยอดเขาเทียนกวง”
จิ๋งจิ่วไม่อยากไปยอดเขาเทียนกวง ในขณะที่กำลังคิดว่าจะใช้เหตุผลอะไรมาปฏิเสธ เขาพลันรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง ก่อนจะหมุนตัวมองไปทางยอดเขาโดดเดี่ยวที่อยู่ในส่วนลึกของทะเลเมฆ
เสียงฟิ้วดังขึ้น!
สร้อยกระบี่บินออกไปจากข้อมือเขา เปลี่ยนกลับเป็นกระบี่มิคำนึง กลายเป็นลำแสงสีแดงพุ่งไปทางด้านนั้น
เมื่อเห็นภาพนี้ รอยยิ้มของฟางจิ่งเทียนค่อยๆ หายไป
เหล่าศิษย์ชิงซานที่อยู่ริมธารก็ตกใจเป็นอย่างมาก
หลินอู๋จือและเหมยหลี่สบตากัน ต่างฝ่ายต่างมองเห็นความตกใจและความยินดีในดวงตาของอีกฝ่าย
ในเวลาหลายร้อยปีนี้ ในที่สุดศิษย์สภาวะขั้นคเนจรที่อายุน้อยที่สุดของสำนักชิงซานก็ปรากฏตัวขึ้น
จิ๋งจิ่วมิได้กล่าวอะไรกับฟางจิ่งเทียน หากแต่ขี่กระบี่บินขึ้นไป กูชิงและเด็กหนุ่มแซ่หยวนก็รีบตามไป
ในเวลาแบบนี้พวกเขาย่อมไม่มีทางไปยอดเขาเทียนกวงอีก
เมื่อเทียบกับเรื่องนี้แล้ว การเรียกพบของเจ้าสำนักมิได้สำคัญอะไรเลย
……
……
ภายในยอดเขาเสินม่อ ทุกที่ล้วนแต่มีลมพัด
ผืนป่าถูกพัดจนส่งเสียงฮูมๆ ใบไม้ร่วงปลิดปลิว แต่กลับไม่สามารถกลบเสียงร้องของวานรได้
วานรส่งเสียงร้องดังลั่น แต่นั่นมิใช่การเตือนภัย แล้วก็มิใช่ว่าพวกมันหวาดกลัว หากแต่พวกมันกำลังยินดีอย่างถึงที่สุด
ประตูของกระท่อมหลังเล็กภายในป่าไม่ได้ปิดเอาไว้ มันถูกลมพัดจนเปิดปิดๆ ไม่หยุด ส่งเสียงดังปังๆ
ตำหนักบนยอดเขามีผนึกพลังปิดกั้นเอาไว้ จึงมิได้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ แต่ก็ยังมีใบไม้ปลิวว่อน เศษฝุ่นฟุ้งกระจาย
ภายในส่วนลึกของถ้ำพลันมีเสียงทึบๆ ดังนั้น ผนึกปิดกั้นถูกคลายออก
ฝุ่นควันสายหนึ่งพุ่งออกมาจากด้านไหน มองดูคล้ายมังกรหวงหลงตัวหนึ่ง
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เจ้าล่าเยวี่ยก้าวเดินออกมาจากในถ้ำ
ผมเผ้ายุ่งเหยิง บนเสื้อผ้าเต็มไปด้วยเศษฝุ่น ดูกระเซอะกระเซิง แต่ในสายตากลับเยือกเย็น
ดวงตาของนางยิ่งดูใสกระจ่าง สีขาวสีดำตัดกันราวกลางวันกลางคืน เจตน์กระบี่สายหนึ่งปรากฏขึ้นมา ก่อนจะค่อยๆ หายไป
นางเดินมาถึงริมผา มองเห็นลำแสงสีแดงสายนั้นแหวกอากาศพุ่งเข้ามา ก่อนจะยื่นมือไปรับเอาไว้
นางมองดูกระบี่มิคำนึงที่อยู่ในมือ สีหน้างุนงงเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น?
“ทำไมถึงทำเลอะเทอะขนาดนี้อีกแล้ว?”
เสียงหนึ่งดังขึ้นมา
จิ๋งจิ่วขี่กระบี่บินลงมา
เจ้าล่าเยวี่ยมองเขา จู่ๆ พลันถามขึ้นมาว่า “ยอดเขากระบี่?”
จิ๋งจิ่วไม่รู้ว่านางถามเรื่องนี้ทำไม จึงกล่าวว่า “จั่วอี้”
เจ้าล่าเยวี่ยมั่นใจว่านี่เป็นเขาจริงๆ จึงยิ้มขึ้นมา
ลักยิ้มปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
……
……
กู้ชิงและเด็กหนุ่มแซ่หยวนลงมายังยอดเขา
เมื่อมองเห็นภาพตรงหน้า เด็กหนุ่มแซ่หยวนเหม่อลอย ก่อนกล่าวถามว่า “อาจารย์…มีลักยิ้มด้วยหรือ?”
กู้ชิงกล่าว “มีสิ ในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยที่อาจารย์เสียบดอกไม้ให้นาง อย่างน้อยก็มีคนหลายร้อยคนที่เห็น”
เด็กหนุ่มแซ่หยวนกล่าวอย่างตกตะลึง “ข้าไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง….เอ่อ ทำไมอาจารย์กลับไปล่ะ? อาจารย์อาเพิ่งจะกลับมา หรือว่าอาจารย์จะเก็บตัวบำเพ็ญเพียรอีกแล้ว?”
จิ๋งจิ่วไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ เจ้าล่าเยวี่ยถึงหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในถ้ำ
เรื่องที่ไม่เข้าใจก็ไม่ต้องไปคิด
เขามองดูทิวทัศน์ที่คุ้นเคยบนยอดเขา รับรู้ถึงสายลมฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่น รู้ว่าที่นี่เหมาะแก่การนอนมากกว่าถ้ำที่หนาวเย็น
อย่างน้อยเก้าอี้ไม้ไผ่ก็ไม่ถูกแช่เย็นจนแข็งเกินไป
ความคิดขยับ
เก้าอี้ไม้ไผ่ตัวนั้นปรากฏขึ้นมาตรงที่ที่มันเคยวางอยู่เป็นประจำตรงริมหน้าผา
บนพื้นตรงนั้นมีรอยยุบลงไปหกรอย
จิ๋งจิ่วนอนลงไป ส่งเสียงอืมออกมา
กู้ชิงรู้ว่านั่นคือเสียงที่อาจารย์จะเปล่งออกมาในตอนที่รู้สึกสบายอย่างมาก คล้ายกับการถอนหายใจยาวๆ ของคนปกติทั่วไป
เด็กหนุ่มแซ่หยวนพลันตะโกนออกมา “อาจารย์ อาจารย์กลับออกมาอีกแล้ว?”
เจ้าล่าเยวี่ยเดินออกมาจากในถ้ำ ผมเปียกชื้น น้ำหยดลงมาจากปลายผม บนร่างกายก็เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้าน
กู้ชิงรู้สึกนับถือ ทั้งยังรู้สึกเป็นห่วง อาบน้ำรวดเร็วขนาดนี้ มิได้เหมือนคุณหนูตระกูลใหญ่เลยแม้แต่น้อย
เจ้าล่าเยวี่ยเดินไปหน้าเก้าอี้ไม้ไผ่ ส่งสายตาบอกให้จิ๋งจิ่วขยับขา ก่อนจะนั่งลงไป
จิ๋งจิ่วหยิบเอาหวีไม้จันทราออกมา จากนั้นเริ่มหวีผมให้นาง
……………………………