มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 21 สาวไหม
กู้ชิงกล่าว “ข้าทราบขอรับ เขาก็เลยตายไปตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน”
จิ๋งจิ่วมองเขา กล่าวว่า “พวกตาแก่นั่นไม่มีทางลงมือแน่ เขาตายยังไง?”
กู้ชิงตกใจเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดเหตุใดอาจารย์ถึงวิเคราะห์ในจุดนี้ได้ จากนั้นกล่าวอธิบายต่อว่า “อาจารย์อาล่าเยวี่ยตัดสินใจทำเรื่องนี้ เขาเลยตายขอรับ”
จิ๋งจิ่วรู้สึกแปลกใจ ในใจครุ่นคิดว่ากว่าล่าเยวี่ยจะก้าวข้ามลั่วไหวหนานได้ อย่างน้อยต้องใช้เวลาอีกสี่ปี เหตุใดเมื่อสามปีก่อนก็สังหารอีกฝ่ายได้แล้ว?
กู้ชิงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อนให้ฟัง มิได้ปิดบังใดๆ แม้แต่น้อย
เมื่อทราบว่าในเรื่องนี้ยังมีหลิ่วสือซุ่ยและถงเหยียนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกระดานหมากล้อม จิ๋งจิ่วจึงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นส่งสายตาบอกให้เขาพูดต่อ
กู้ชิงกล่าว “สือซุ่ยหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปที่ไหน อาจารย์อาล่าเยวี่ยเก็บตัวบำเพ็ญพรต พูดให้ถูกคือบรรลุเข้าสู่ขั้นคเนจร”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่าไม่เลว ไม่รู้ว่านี่เป็นการกล่าวชมคำพูดประโยคไหน
กู้ชิงไม่ลืมที่จะเล่ารายละเอียดที่สำคัญ เขากล่าวว่า “กระบี่พรหมจรรย์ที่สังหารลั่วไหวหนานเป็นกระบี่ที่เสินหวงมอบให้”
จิ๋งจิ่วรู้สึกแปลกใจ เขากล่าวว่า “กระบี่ของตาแก่ที่อยู่ทะเลใต้น่ะหรือ?”
กู้ชิงกล่าว “ใช่ขอรับ หลังเกิดเรื่องท่านเจ้าสำนักได้เดินทางไปยังเขาอวิ๋นเมิ่ง”
จิ๋งจิ่วกล่าว “สองสามีภรรยาของสำนักจงโจวน่าจะทราบเรื่องนี้ดี ฮ่องเต้ทรงมอบกระบี่ให้พวกเจ้าก็น่าจะมิได้มีความหมายอะไรลึกซึ้ง พระองค์เพียงแต่ฉวยโอกาสตามน้ำไปเท่านั้น”
กู้ชิงตกใจอีกครั้ง ในใจครุ่นคิดว่าเหตุใดอาจารย์ถึงวิเคราะห์ได้มั่นใจขนาดนี้?
เขาคิดถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ พลางกล่าวว่า “คนที่เป็นนำศิษย์ชิงซานเดินทางมาครั้งนี้คือฟางจิ่งเทียนขอรับ”
เมื่อได้ยินชื่อนี้ จิ๋งจิ่วพลันนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนที่ถ้ำปลอมของนักพรตจิ่งหยางเปิดออก เขานิ่งเงียบไปครู่ก่อนจะกล่าวว่า “ไม่เป็นไร”
เรื่องราวเล่าจบแล้ว ทั้งสองคนเดินกลับเข้ามาในถ้ำ
เห็นได้ชัดว่าไป๋เจ่าที่อยู่ในถ้ำกำลังฝึกวิชาบางอย่างอยู่ ในเวลานี้ได้เข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญแล้ว
ศิษย์สำนักจงโจวตั้งข่ายพลังอยู่ด้านนอก ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าใกล้ แต่แน่นอนว่าไม่มีทางที่พวกเขาจะขวางจิ๋งจิ่ว
หากจิ๋งจิ่วคิดร้ายต่อไป๋เจ่าจริงๆ ในช่วงเวลาหกปีที่ผ่านมาที่อยู่ใต้ดิน เขาสามารถลงมือทำร้ายนางได้ทุกเมื่อ
จิ๋งจิ่วเดินเข้าไปในถ้ำ ส่งสัญญาณบอกให้กู้ชิงและเด็กหนุ่มแซ่หยวนไปพักผ่อน จากนั้นเขาเดินไปยังมุมมุมหนึ่ง เงยหน้ามองดูรังไหมหิมะ
ไยไหมที่เล็กละเอียดเหล่านั้นดูงดงาม ที่จริงแล้วตัวรังไหมมิได้ขาวโพลนไปเสียทั้งหมด แต่ในจิตสำนึกของเขายังคงเคยชินกับการเรียกมันว่ารังไหมหิมะ เพราะว่าเส้นไหมเหล่านั้นล้วนแต่สกัดออกมาจากของเหลวที่อยู่ในศพของหนอนหิมะ สามารถป้องกันความหนาวเย็นได้ การที่ไป๋เจ่าสามารถมีชีวิตอยู่ในความหนาวเย็นอันโหดร้ายเช่นนี้ได้เป็นเวลาหกปี ไยไหมเหล่านี้มีส่วนช่วยอย่างมาก
ภายในถ้ำได้จัดวางไข่มุกราตรีเอาไว้เป็นจำนวนมาก แสงอันอ่อนโยนตกกระทบลงบนรังไหมหิมะ ส่องสว่างจนมองเห็นร่างที่ผอมบางที่อยู่ด้านในได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
สองตาของจิ๋งจิ่วคมดุจกระบี่ เขาสามารถมองทะลุเส้นไหม จนมองเห็นดวงตาที่ปิดสนิทและริมฝีปากที่ขาวซีดของหญิงสาว
เมื่อหกปีก่อน นิ้วเขาแตะลงไป ถ่ายทอดวิชานี้ให้แก่ไป๋เจ่า เพียงแค่คิดอยากลองดูว่าจะสามารถช่วยให้นางฟื้นฟูจินตันที่แตกให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรือไม่
แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าไป๋เจ่าที่ฝึกพลังจักรวาลของเขาอวิ๋นเมิ่งมาแต่เล็ก จะเหมาะสมกับวิชาของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยขนาดนี้
ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มียาวิเศษ ไร้หินผลึกคอยช่วยเหลือ อีกทั้งการดูดซับพลังวิญญาณในธรรมชาติก็เป็นไปอย่างยากลำบาก แต่กลับเข้าสู่สมาธิได้หกปีแล้ว นี่เหนือไปจากที่เขาคาดคิดเอาไว้มาก
แต่แน่นอน วิชาแบบนี้เมื่อมีปัญญาที่ฉานจึได้มอบให้ไว้ แล้วใช้เพียงใจในการพิสูจน์ ปัจจัยภายนอกต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในการฝึกก็ถือว่าน้อยกว่าวิชาอื่นมาก
เมื่อเห็นริมฝีปากที่เริ่มแดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย จิ๋งจิ่วจึงมั่นใจว่าไม่เป็นอะไร ก่อนจะเดินไปอีกด้านหนึ่งของถ้ำ
ปลายถ้ำด้านนั้นอยู่ติดกับหน้าผา หมอกอันหนาวเย็นในเวลากลางคืนยังไม่สลายไป เมื่อลอยเข้ามาปะทะหน้า คล้ายดั่งมีเข็มเหล็กจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังทิ่มแทง
จิ๋งจิ่วเคยชินกับความหนาวเย็นแบบนี้แล้ว เขามองลงไปยังเบื้องล่างด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ในส่วนลึกของหมอกอันหนาวเย็น คล้ายมีพายุหิมะโหมกระหน่ำ เพียงแต่ระยะห่างของมันกับปากถ้ำเกรงกว่าคงห่างกันหลายพันจ้าง จึงไม่อาจส่งผลกระทบมาถึงที่นี่ได้
หนอนหิมะที่อยู่ในหน้าผาได้มุดออกไปจากถ้ำ คลานตามหน้าผาลงไปยังส่วนลึกของหมอกอันหนาวเย็น บนหน้าผามีคราบน้ำเหนียวๆ ที่พวกมันทิ้งเอาไว้ ส่องประกายวิบวับ อสูรขาหิมะจำนวนนับหลายหมื่นกำลังมุ่งหน้าขึ้นไปทางเหนือด้วยความเร็วสูงอยู่ในส่วนลึกของหมอก นอกจากนี้เขายังมองเห็นปีศาจที่เพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรกอีกจำนวนมาก แล้วก็ยังเห็นสัตว์ประหลาดขนสีขาวที่กระโดดเหมือนกระต่าย
เขาเอามือยื่นออกไปในพายุหิมะที่อยู่นอกหน้าผา ความคิดขยับเล็กน้อย ด้วงหิมะตัวหนึ่งปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา
เมื่อเทียบกับหกปีก่อนแล้ว รูปร่างของด้วงหิมะตัวนี้มิได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก เพียงแค่ไม่ได้โปร่งแสงเหมือนอย่างแต่ก่อนอีก ทั่วทั้งร่างแผ่ไอเย็นออกมา
เปลือกของมันคล้ายทำขึ้นมาจากหยกน้ำแข็งหมื่นปี ให้ความรู้สึกที่แข็งแกร่งจนยากจะทำลายได้
ในพริบตาที่เขาพลิกฝ่ามือ ด้วงหิมะที่แกล้งตายมาโดยตลอดพลันตื่นขึ้นมา พร้อมทั้งกางขาสีขาวที่เป็นเหมือนไม้ไผ่ซี่เล็กๆ จำนวนหกขาออก เกาะฝ่ามือของเขาเอาไว้แน่นพลางส่งเสียงร้องที่ฟังดูร้อนใจ ฟังดูคล้ายกับเสียงหิมะกระแทกไปบนหน้าผา
เมื่อรับรู้ได้ถึงความหมายของมัน อารมณ์ของจิ๋งจิ่วแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดว่าจะตามตนเองไปทำไม ถึงแม้ที่ชิงซานจะไม่ร้อน แต่มันก็มิได้หนาวเย็น ไม่เหมาะจะให้สิ่งมีชีวิตของแคว้นเสวี่ยอยู่อาศัยแน่นอน
แต่ในเมื่อด้วงหิมะอยากจะตามเขากลับไป เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร พลางเก็บมันกลับเข้าไปใหม่อีกครั้ง
จากนั้นเขาเงยหน้ามองไปทางเหนือ
สายตาเขาทอดมองผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืนกับหมอกอันหนาวเย็นและพายุหิมะอันคุ้มคลั่งที่อยู่ไกลออกไป ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ยอดเขาโดดเดี่ยวที่อยู่ห่างออกไปหลายหมื่นลี้
นับตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน จิตสำนึกสายนั้นแปรเปลี่ยนเป็นสงบขึ้น มิได้กระวนกระวาย แล้วก็มิได้อ่อนไหวขนาดนั้นอีก
แต่ความรู้สึกของเขากลับยิ่งไม่ค่อยดี
เพราะขอเพียงสัญชาตญาณที่จะกลืนกินทุกสรรพสิ่งของอีกฝ่ายยังไม่ถูกกำจัด ยิ่งสงบนิ่งเท่าไรมันก็ยิ่งน่ากลัวเท่านั้น
เขาเข้าใจแล้วว่าศิษย์พี่อยากจะให้ตนเองดูอะไร
“ข้าจะไปแล้ว”
เขากล่าวกับยอดเขาโดดเดี่ยวที่อยู่ไกลออกไปแห่งนั้น
ยอดเขาโดดเดี่ยวไม่มีการตอบสนอง
จิ๋งจิ่วหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในถ้ำ
……
……
ช่วงเวลากลางดึก กู้ชิงตื่นขึ้นมา ก่อนจะหยิบเอายาไป๋เฉ่าให้จิ๋งจิ่วกินอีกเม็ด
จากนั้นเขาเดินออกไปนอกถ้ำ นั่งลงข้างเซี่ยงหว่านซู พลางกล่าวถามว่า “ทางนั้นว่าอย่างไรบ้าง?”
เซี่ยงหว่านซูกล่าว “ให้พวกเราระมัดระวัง รีบพาพวกเขากลับไป”
กู้ชิงรู้สึกตกใจ พลางกล่าวว่า “ไม่มีคนมา?”
“ใช่”
เซี่ยงหว่านซูเหลียวหน้ากลับไปมองดูในถ้ำ พลางกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ไม่รู้หลายปีมานี้พวกเขาผ่านมันมาได้อย่างไร”
กู้ชิงคิดถึงชุดขาวขาดๆ ของอาจารย์และร่างกายที่อ่อนแอ พลางถอนใจออกมา “นั่นสิ”
เซี่ยงหว่านซูกระเถิบเข้ามาใกล้ กล่าวถามเสียงเบาว่า “ผู้อาวุโส…จิ๋งจิ่วได้บอกหรือเปล่า ศิษย์พี่ของข้าเป็นอะไรกันแน่?”
กู้ชิงกล่าว “อาจารย์บอกว่าไม่เป็นอะไร เช่นนั้นก็ไม่เป็นอะไร ไม่ต้องกังวล”
……
……
วันที่สอง
รังไหมหิมะที่อยู่ในถ้ำเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ในตอนที่มีลมพัดผ่านมา ผิวของรังไหมกระเพื่อมเบาๆ คล้ายผิวน้ำ ราวกับว่ารังไหมกำลังอ่อนตัวลง
เหล่าศิษย์สำนักจงโจวสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ จึงยิ่งรู้สึกวิตกกังวล
กู้ชิงมั่นใจแล้วว่าอาจารย์ของทั้งสองสำนักล้วนแต่ไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามา จึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
พอตกเย็น แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดไปบนหน้าผา จิ๋งจิ่วยืนขึ้นมา เก็บเก้าอี้ไม้ไผ่ เดินออกไปนอกถ้ำ
ศิษย์สำนักจงโจวที่ตั้งข่ายพลังอยู่ด้านนอกถ้ำต่างรู้สึกตกใจ ครุ่นคิดในใจว่าเจ้าจะไปไหน? เซี่ยงหว่านซูตอบสนองไวที่สุด เขามองไปในถ้ำด้วยสีหน้าตื่นเต้น
เปลือกนอกของรังไหมหิมะมีเส้นไหมเส้นหนึ่งลอยขึ้นมา ถูกลมพัดผ่าน พลิ้วไหวแผ่วเบา เมื่ออยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น ดูไปคล้ายกับผีเสื้อกลางคืนที่งดงามที่อยากจะตัดเส้นไหมที่อยู่ด้านหลังร่างกายทิ้งไป
………………………………..