มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 20 เรื่องราวในหกปี
กู้ชิงงุนงน จากนั้นจึงอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
เด็กหนุ่มแซ่หยวนยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดดวงตา
ศิษย์ชิงซานคนอื่นๆ หัวเราะออกมาพลางตะโกนว่า “คารวะอาจารย์อา!”
ศิษย์สำนักอื่นๆ เองก็หัวเราะออกมาเช่นกัน
ฮ่าๆๆๆ!
เสียงหัวเราะมีความสุขดังสะท้อนไปบนที่ราบหิมะ หมอกอันหนาวเย็นที่อยู่ทางหน้าผาคล้ายจะถอยออกไป
เหล่าศิษย์สำนักจงโจวเองก็ดีใจเช่นกัน เพียงแต่เหตุใดถึงไม่เห็นศิษย์พี่?
เซี่ยงหว่านซูพุ่งเข้าไปในถ้ำ ในขณะที่ผ่านตัวจิ๋งจิ่ว พลันยกมือขึ้นมาคารวะ
กู้ชิงเดินเข้าใปในถ้ำ คุกเข่าโขกศีรษะคำนับจิ๋งจิ่ว
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ลุกขึ้น”
กู้ชิงลุกขึ้นมองดูใบหน้าเขา พบว่าเขาซูบผอมลงไปกว่าแต่ก่อนเล็กน้อย ในใจรู้สึกตกใจ
หากเป็นผู้บำเพ็ญพรตธรรมดา ต่อให้ไม่ถูกความหนาวเย็นอันโหดร้ายแช่แข็งจนตาย ก็ต้องมีปัญหาเนื่องเพราะตัดขาดจากโลกภายนอกมาหกปี
การบำเพ็ญเพียรด้วยการอดอาหารมิอาจแก้ไขทุกปัญหาได้
แต่กู้ชิงรู้ว่าอาจารย์ของตนไม่จำเป็นต้องทำสิ่งเหล่านี้
สายตาของเขามองไปยังเสื้อผ้าของจิ๋งจิ่ว ก่อนจะรู้สึกตกใจขึ้นมาอีกครั้ง
ชุดสีขาวที่มาจากยอดเขาเสินม่อนี้สามารถป้องกันน้ำไฟ กระบี่ธรรมดายากจะตัดขาด แต่ในเวลานี้กลับฉีกขาดเสียหาย ริมเสื้อผ้าล้วนแต่เต็มไปด้วยรอยแหว่ง!
หมอกอันหนาวเย็นมันน่ากลัวถึงเพียงนี้เลยหรือ เช่นนี้ในหกปีนี้เขาผ่านมันมาได้อย่างไร?
กู้ชิงมิได้สนใจอะไรมากมายขนาดนั้นอีก แม้นจะรู้ว่าเป็นการเสียมารยาท แต่เขาก็ยังแผ่จิตจำแนกลงไปยังร่างกายของจิ๋งจิ่ว ก่อนจะยิ่งรู้สึกตกตะลึง
ปราณกระบี่ของจิ๋งจิ่วแทบจะเหือดแห้ง ร่างกายอ่อนแอจนถึงขีดสุด!
กู้ชิงรีบเดินเข้าไป กุมมือของเขาเอาไว้
เดิมเขาคิดอยากถาม ในเมื่อได้ยินเสียงของพวกข้าแล้ว เหตุใดท่านจึงมิใช้กระบี่มิคำนึงฟันผนังออกมา เหตุใดต้องทนฟังเสียงที่น่าหนวกหูนั่น หรือเป็นเพราะคิดว่าภาพตัวเองนอนรออยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่มันน่าดู?
ตอนนี้เขาถึงได้รู้ว่าที่แท้จิ๋งจิ่วไม่มีแรงจะขยับเขยื้อนแล้วจริงๆ
“ยาไป๋เฉ่า!” กู้ชิงกล่าวเสียงเบา
เด็กหนุ่มแซ่หยวนเข้ามาในถ้ำนานแล้ว ครั้นได้ยินคำพูดนี้ เขาจึงรีบหยิบเอายาออกมา
จิ๋งจิ่วรับเอายาไปกิน เมื่อเห็นสีหน้าร้อนใจของทั้งสองคน จึงรู้สึกตื้นตันใจขึ้นมาเล็กน้อย เตรียมจะอธิบายสักสองสามประโยคเพื่อบอกว่าตนไม่เป็นอะไร
ทันใดนั้นภายในถ้ำพลันมีเสียงอุทานตกใจดังขึ้นมา
กู้ชิงและเด็กหนุ่มแซ่หยวนหมุนตัวกลับไปมอง ก่อนจะเห็นภาพที่น่าตกใจเช่นกัน
ภายในถ้ำตรงส่วนที่ติดกับผนังถ้ำ มีผืนหนังกึ่งโปร่งแสงอยู่ชั้นหนึ่ง กินพื้นที่ขนาดใหญ่มาก เมื่อดูจากลวดลายแล้ว คล้ายจะเป็นศพของหนอนหิมะที่แห้งเหี่ยว
ถึงแม้นจะแห้งเหี่ยวแล้วแต่ก็ยังใหญ่ขนาดนี้ อย่างนั้นตอนที่มีชีวิตอยู่ หนอนหิมะตัวนี้จะน่ากลัวขนาดไหน
แต่สิ่งที่ทำให้ศิษย์สำนักจงโจวส่งเสียงอุทานตกใจมิใช่หนอนหิมะตัวนี้ หากแต่เป็นสิ่งที่อยู่ตรงมุมหนึ่งของถ้ำ
สิ่งนั้นดูคล้ายรังไหม ถักทอขึ้นมาจากเส้นไหมเส้นเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วน เส้นไหมเหล่านั้นดูงดงาม กระทั่งใช้จิตจำแนกตรวจสอบดูก็ยังไม่รู้ว่าทำมาจากอะไร
เมื่อมองลอดผ่านเส้นไหมเส้นเล็กๆ เหล่านั้นไป ก็คล้ายจะมองเห็นร่างของคนผู้หนึ่งอยู่ในรังไหม สองเท้านั่งขัดสมาธิ คล้ายกำลังปรับลมปราณ
ยังจะเป็นใครได้อีก?
ร่างที่อยู่ในรังไหมย่อมต้องเป็นไป๋เจ่าที่ศิษย์สำนักจงโจวกำลังค้นหาอย่างยากลำบาก
สภาพของไป๋เจ่าในเวลานี้ดูแปลกอย่างเห็นได้ชัด คล้ายว่านางกำลังฝึกวิชาอะไรบางอย่างอยู่ เซี่ยงหว่านซูและศิษย์สำนักจงโจวคนอื่นๆ ย่อมมิกล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า แล้วก็ยิ่งไม่กล้าใช้อาวุธวิเศษ พวกเขาได้ให้ศิษย์คนหนึ่งลองใช้กระสวยตัดทองตัดเส้นไหมดูว่าจะสามารถตัดได้หรือเปล่า
คิดไม่ถึงว่าเส้นไหมที่ดูงดงามเหล่านั้นกลับไม่ขาดเลยแม้แต่เส้นเดียว แต่พื้นผิวของกระสวยตัดทองกลับมีรอยแตก เสียงอุทานตกใจดังขึ้นมาอีกครั้ง
ศิษย์สำนักจงโจวมองไปทางจิ๋งจิ่ว
มีเขาเพียงคนเดียวที่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
จิ๋งจิ่วกล่าว “ไม่เป็นไร อีกสองวันก็ออกมาได้แล้ว”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เซี่ยงหว่านซูและศิษย์จงโจวคนอื่นๆ จึงรู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ พวกเขารีบแจ้งข่าวกลับไปยังเมืองไป๋เฉิง ขณะเดียวกันก็เริ่มวางข่ายพลังเอาไว้ด้านนอกถ้ำ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับการป้องกัน
ศิษย์สำนักจงโจงอธิบายสถานการณ์ในเวลานี้ให้ผู้บำเพ็ญพรตของสำนักอื่นฟังคร่าวๆ ก่อนจะกล่าวขอบคุณพวกเขาอีกครั้ง ขอให้พวกเขาช่วยเข้าใจ แต่แน่นอนว่ามิได้บอกเล่ารายละเอียดอะไร
ผู้บำเพ็ญพรตเหล่านั้นย่อมต้องเข้าใจ พวกเขาบอกว่าไม่เป็นไร ทั้งยังเสนอตัวรับผิดชอบหน้าที่ลาดตระเวนพื้นที่รอบนอก
ถงหลูยังคงยืนอยู่ไกลๆ เมื่อมองดูถ้ำที่อยู่ในส่วนลึกของอุโมงค์ที่กำลังยุ่งวุ่นวาย อารมณ์ของเขายิ่งสับสนมากขึ้นเรื่อยๆ
ภายในถ้ำ กู้ชิงพลันพบว่ากระบี่เหล็กยังคงลุกไหม้ จึงรีบเตือนจิ๋งจิ่ว
จิ๋งจิ่วขยับความคิด เปลวไฟบนกระบี่เหล็กพลันดับลง
เขามองดูกระบี่เหล็ก รู้สึกไม่ค่อยชินเท่าไร
กระบี่เหล็กลุกไหม้มาหกปี เขาเคยชินกับการที่มีเปลวไฟลุกไหม้อยู่บนกระบี่เหล็กเล่มนี้ไปเสียแล้ว ทั้งยังรู้สึกว่ากระบี่เหล็กมันก็ควรจะมีลักษณะเป็นเช่นนั้น
ในเวลานี้เขาถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่าเดิมทีตัวกระบี่เหล็กนั้นไม่มีเปลวไฟ
ด้านนอกถ้ำมีลมพัดเข้ามา เขาถึงได้นึกขึ้นมาได้ ที่แท้มิใช่ทุกสายลมที่หนาวเหน็บเช่นนั้น
เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ เขาก็ผล็อยหลับลงไป
กู้ชิงและเด็กหนุ่มแซ่หยวนคอยเฝ้าอยู่ข้างกาย มิยอมจากไปไหน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์ยาไป๋เฉ่านั้นหรือเป็นเพราะว่าหมอกอันหนาวเย็นนั้นจากไปแล้ว สีหน้าของจิ๋งจิ่วจึงค่อยๆ แดงเรื่อขึ้น
ในช่วงเวลากลางดึก เขาตื่นขึ้นมา ก่อนจะพบว่ารอบกายมิได้เงียบสงัดเหมือนอย่างเมื่อหกปีก่อนอีก หากแต่มีเสียงซุบซิบพูดคุยกันเยอะแยะมากมาย
เขาสำรวจดูตัวเอง ก่อนจะมั่นใจว่าไม่เป็นอะไร จึงลุกขึ้นยืน เตรียมจะเดินออกไปนอกถ้ำ
กู้ชิงและเด็กหนุ่มแซ่หยวนเหนื่อยล้าจนถึงขีดสุด พวกเขานั่งพิงเก้าอี้ไม้ไผ่งีบหลับไป ครั้นได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็ตื่นขึ้นมาทันที ก่อนจะรีบลุกขึ้นยืน
“พวกเจ้าอยู่ที่นี่ อย่าไปไหนไกล ข้าจะออกไปขยับร่างกายหน่อย”
จิ๋งจิ่วกล่าว
กู้ชิงไหนเลยจะยอมฟัง เขาเข้าไปพยุงแขนของจิ๋งจิ่วเอาไว้ สายตามองดูศิษย์สำนักจงโจวที่อยู่ในถ้ำ พลางกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “อาจารย์ ปราณกระบี่ของท่านใกล้จะไม่เหลือแล้ว”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เป็นแบบนี้มาโดยตลอด ไม่เป็นไร”
ที่เขาพูดเป็นความจริง
หมอกอันหนาวเหน็บนั้นทำให้การหมุนเวียนของทุกสรรพสิ่งบนโลกแปรเปลี่ยนเป็นช้าลง กระทั่งพลังวิญญาณบนโลกก็คล้ายจะจับตัวเป็นก้อน ยากที่จะดูดซับได้
เขาคำนวณเอาไว้อย่างชัดเจน ในตอนที่หมอกหนาที่สุด ความเร็วในการดูดซับพลังวิญญาณภายในถ้ำจะลดลงเหลือไม่ถึงสามในร้อยส่วนของเวลาปกติ
เขาต้องใช้เพลิงกระบี่รักษาอุณหภูมิภายในถ้ำเอาไว้ เดิมปราณก่อกำเนิดก็ถูกเผาเผลาญออกไปเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว ความเร็วในการดูดซับพลังวิญญาณเช่นนี้ยิ่งทำให้ไม่สามารถฟื้นฟูปราณก่อกำเนิดได้ตลอดเวลาเหมือนอย่างปกติ ดังนั้นจึงทำได้เพียงฟื้นฟูได้เท่าไรก็ใช้ออกไปเท่านั้น พูดอีกอย่างก็คือในช่วงเวลาหกปีนี้ ปราณก่อกำเนิดของเขาไม่เคยเต็มเลย เรียกได้ว่าโคจรอย่างยากลำบากในระดับที่ต่ำที่สุด
การที่ร่างกายของเขาอ่อนแอลงก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับหมอกอันหนาวเย็นด้วยเช่นกัน เพราะทุกอย่างเปลี่ยนเป็นช้าลง แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวลจริงๆ ขอเพียงขยับตัวเคลื่อนไหวสักครู่หนึ่งก็จะดีขึ้น
กู้ชิงยังคงไม่วางใจ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมให้เขาออกไปเดินข้างนอกในเวลากลางคืนคนเดียว
จิ๋งจิ่วจึงได้แต่ต้องให้เขาตามตัวเองออกไป
กู้ชิงส่งสายตาบอกเด็กหนุ่มแซ่หยวนให้เฝ้าในถ้ำเอาไว้ ส่วนตัวเองพยุงจิ๋งจิ่วเดินออกไปข้างนอกถ้ำ
ศิษย์สำนักจงโจวหลายคนกำลังตรึงข่ายพลังอยู่ด้านนอกถ้ำ เมื่อเห็นจิ๋งจิ่วจึงรีบลุกขึ้นทำการคารวะ
กู้ชิงพยุงจิ๋วจิ่วเดินผ่านอุโมงค์ขึ้นไป ก่อนจะมาถึงที่ราบหิมะด้านบน
ผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวที่เข้าร่วมการประลองวิถีพรตเหล่านั้นมองเห็นเขา ต่างพากันลุกขึ้นยืน
นี่คือการแสดงความเคารพต่อจิ๋งจิ่ว
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องราวที่ลั่วไหวหนานบอกเล่ามา เพียงแค่เขามีชีวิตอยู่รอดในหมอกอันหนาวเย็นที่น่ากลัวเช่นนี้ได้ถึงหกปี มันก็คู่ควรแก่การที่ทุกคนจะเคารพเขาแล้ว
สิ่งที่ทำให้ผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวเหล่านี้ยิ่งตกตะลึงก็คือหลังถูกช่วยออกมา จิ๋งจิ่วยังคงดูสงบนิ่งถึงเพียงนี้ คล้ายมิได้แยแสต่อความทุกข์ยากใดๆ เลย จิตใจเช่นนี้มีใครบ้างไม่นับถือ?
สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ จิ๋งจิ่วเคยชินกับการใช้ชีวิตตัดขาดจากโลกภายนอกเช่นนี้ที่สุดแล้ว ในทางกลับกัน ความคึกคักวุ่นวายในคืนนี้กลับทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยชิน
พวกเขาเดินมาถึงที่หนึ่งบนที่ราบหิมะ รอบข้างไม่มีคน ก้อนเมฆกระจายตัวออกอย่างน่าประหลาด แสงดาวสาดส่องลงมาบนพื้น พื้นสีขาวส่องประกายระยิบระยับ
จิ๋งจิ่วมองกู้ชิง
กู้ชิงรู้ว่าอีกประเดี๋ยวอาจารย์จากสำนักต่างๆ จะเดินทางมาถึง ต้องรีบเล่าเรื่องต่างๆ ให้หมด เพื่อที่จะไม่ทำให้อาจารย์ที่ไม่รู้ว่าในหกปีนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างเกิดความเข้าใจผิด
อันดับแรกเขาใช้คำพูดที่กระชับที่สุดและตรงที่สุดเล่าเรื่องราวที่ลั่วไหวหนานเคยเล่าให้ฟังเรื่องนั้นออกมา
จิ๋งจิ่วกล่าว “โกหก”
………………………………………..