มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 86 การแพ้ชนะที่ยิ่งใหญ่และเจ็บปวด
บนยอดเขา เหอกั๋วกงยืนชิดรั้ว ร่างกายโน้มเอียงไปข้างหน้า คล้ายคิดอยากจะมองดูภาพเหตุการณ์ภายในศาลาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เจ้าหน้าที่มองเห็นภาพนี้รู้สึกเป็นกังวล จึงรีบเขาไปพยุงเอาไว้ แต่กลับเห็นว่าบนใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกตกตะลึงและความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
ดูเหมือนหมากกระดานนี้จะตัดสินแพ้ชนะแล้ว แต่สุดท้ายใครกันที่เป็นผู้ชนะ?
……
……
ภายในอารามซานชิง ฉานจึยืนอยู่หน้าธรณีประตู มองดูขุนเขาหลังฝน บนใบหน้ามีรอยยิ้มชื่นชมปรากฏขึ้นมา
ด้านหลังของเขา นักบวชลัทธิเต๋าผู้นั้นวางหมากเสร็จเรียบร้อย เพียงแต่ไม่ได้มองตำแหน่งที่วางหมากเม็ดสุดท้ายให้ชัดเจน
……
……
บรรยากาศภายในวังค่อนข้างตึงเครียด เหล่าขันทีกำลังทำการตรวจสอบรถม้ารอบสุดท้าย
การบินจากในวังไปยังเขาฉีผานใช้เวลาไม่นาน แต่การเตรียมขบวนเสด็จนั้นยุ่งยากเป็นอย่างมาก
ที่ยุ่งยากมากกว่านั้นก็คือเมื่อคืนปากทางออกสู่ทะเลทางตอนใต้ของแม่น้ำจั๋วพังทลายลงมา ฝ่าบาททรงเรียกประชุมด่วน ทำให้เสียเวลาไปมาก
ประตูพระตำหนักเปิดออก อัครมหาเสนาบดีและเจ้ากรมต่างๆ ที่ถูกเรียกตัวมายังมิทันได้ออกมา ก็มีแสงสีเหลืองสว่างแถบหนึ่งพุ่งผ่านหน้าทุกคนไปอย่างรวดเร็ว
รถม้าที่ลอยอยู่เหนือพื้นประมาณครึ่งฉื่อจมลงไปเล็กน้อย เหล่าขันทีรู้ว่าฝ่าบาทประทับอยู่บนรถม้าเรียบร้อยแล้ว จึงรู้สึกโล่งใจ เตรียมตัวออกเดินทาง
เท่าที่พวกเขาจำได้ แต่ไหนแต่ไรมาการประลองระหว่างยอดฝีมือทางวิถีหมากล้อมนั้นใช้เวลาค่อนข้างนาน หากรีบไปเขาฉีผานในเวลานี้น่าจะยังทัน
ประตูวังที่อยู่ไกลออกไปพลันมีความเคลื่อนไหว ขันทีคนหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้ารถม้า กล่าวเสียงเบาๆ สองสามประโยค
ในรถม้ามีเสียงหัวเราะที่แฝงความหมายลึกซึ้งเอาไว้ จากนั้นก็มีเสียงที่กังวานดังขึ้นมา
“ในเมื่อรู้แพ้ชนะแล้ว อย่างนั้นก็ไปที่ตำหนักพระสนมแล้วกัน”
……
……
ในวังเคยแต่งตั้งพระสนมเอาไว้สี่คน พระสนมสองคนในนั้นได้เสียชีวิตและฝังเอาไว้ที่สุสานตะวันออก ยังมีพระสนมอีกคนหนึ่งที่อายุมากแล้ว น้อยครั้งที่จะปรากฏตัวออกมา
ตอนนี้เมื่อพูดถึงพระสนม ย่อมต้องหมายถึงพระสนมหูที่เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท
พระสนมหูแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยนานแล้ว พร้อมรับคำสั่งออกเดินทางทุกเมื่อ
ฝ่าบาททรงไม่ลืมเรื่องที่รับปากนางเอาไว้ หลังตัดสินพระทัยจะไปทอดพระเนตรการประลองหมากล้อมที่เขาฉีผาน ก็มีรับสั่งให้คนมาแจ้งนาง
ความรักใคร่เอ็นดูเช่นนี้พบได้น้อยมากในวังหลวง แต่บนใบหน้าของนางกลับมิได้มีสีหน้าภาคภูมิใจอะไรเลย ในทางกลับกัน สีหน้านางกลับดูร้อนใจ
เดิมทีนางเป็นคนพูดกล่อมให้ฝ่าบาทเสด็จไปทอดพระเนตรการประลองหมากล้อมที่งานชุมนุมเหมยฮุ่ย เพราะนางอยากจะเห็นจิ๋งจิ่วถูกถงเหยียนหรือว่ายอดฝีมือคนอื่นทำให้อับอายขายหน้า
การดำเนินไปของเรื่องราวนั้นดีกว่าที่นางจินตนาการเอาไว้ จิ๋งจิ่วเจอกับถงเหยียนตั้งแต่เริ่มประลอง
แต่เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นกลับเหนือไปจากจินตนาการของนาง
นางเดินไปเดินมาอยู่ตรงริมหน้าต่าง ไม่มีใจจะไปนั่งดูดอกไห่ถังที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างเหล่านั้น กล่าวพึมพำกับตัวเองว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมถึงยังไม่แพ้?”
ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ นางพลันรู้สึกไม่อยากไปเขาฉีผานแล้ว
นางกำนัลคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามา กล่าวว่า “ฝ่าบาทจะเสด็จมาถึงแล้วเพคะ”
พระสนมหูสีหน้างุนงงเล็กน้อย กล่าวว่า “มิใช่ว่าจะเสด็จไปเขาฉีผานหรือ?”
นางกำนัลผู้นั้นมองนางอย่างลังเลเล็กน้อย กล่าวว่า “การประลองหมากล้อมจบลงแล้วเพคะ…”
พระสนมหูขึ้นเรื่องความใสซื่อไร้เดียงสา แต่นางกลับฉลาดเฉลียวเป็นยิ่งนัก เพียงมองสีหน้าของนางกำนัลก็คาดเดาได้ถึงผลลัพธ์ จึงอดอุทานตกใจออกมาไม่ได้ “เป็นไปได้ยังไง?”
……
……
หมากสีขาวของถงเหยียนเม็ดนั้นไม่ได้วางลงไปบนกระดาน หากแต่วางกลับลงไปเบาๆ ในโถใส่หมาก
แพ้ชนะตัดสินแล้ว
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ
เสียงน้ำฝนที่หยดลงมาจากชายหลังคา ล้วนแต่ฟังดูใจหายใจคว่ำ
เสียงวิ้งดังขึ้น กลุ่มคนพลันแตกฮือ
มิใช้เสียงพูดคุย เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าควรจะคุยอะไร แล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะวิจารณ์หมากกระดานนี้และผลการประลองที่ออกมาอย่างไร
เสียงเหล่านั้นล้วนแต่เป็นเสียงอุทานหรือไม่ก็เป็นคำเลียนเสียง
ถงเหยียนได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ที่มีวิถีแห่งหมากล้อมแข็งแกร่งที่สุดในปัจจุบันนี้ ในสายตาของมหาบัณฑิตกัวและหลายๆ คนถึงขนาดมองว่าเขาคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์
แต่วันนี้เขากลับพ่ายแพ้ให้กับจิ๋งจิ่ว
ใครบ้างจะไม่ตกตะลึง?
เหอจานมองดูทั้งสองคนที่อยู่ในศาลา อารมณ์ค่อนข้างสับสนวุ่นวาย จากนั้นเขาสงบสติอารมณ์ ก่อนโค้งตัวคำนับด้วยสีหน้าจริงจัง
เชวี่ยเหนียงและซั่งจิ้วโหลวเองก็คำนับตามเช่นกัน
ผู้คนกว่าครึ่งที่อยู่ตรงนั้นพากันคารวะศาลาเตี้ยที่ดูธรรมดาหลังนั้น
พวกเขากำลังแสดงความเคารพและขอบคุณ
ขอบคุณจิ๋งจิ่วและถงเหยียนที่แสดงหมากกระดานนี้ออกมา
ในที่สุดกู่หยวนหยวนก็ได้สติขึ้นมา เขามองดูความเคลื่อนไหวรอบๆ ก่อนจะถามออกมาอย่างสับสนว่า “ผลประลองออกมาแล้วหรือ? ใครชนะ?”
ไม่ทันรอให้คนอื่นตอบ เขาส่ายศีรษะพลางกล่าวงึมงำกับตัวเองว่า “ใครจะเอาชนะพวกเขาได้….”
สีหน้าของเขาในเวลานี้ยังค่อนข้างเหม่อเลย แต่ภายในใจกลับมีความมั่นใจอย่างหนึ่ง
ไม่มีใครที่จะเอาชนะจิ๋งจิ่วและถงเหยียนบนกระดานหมากล้อมได้
……
……
บนใบนหน้าอันอ่อนเยาว์ของถงเหยียนมิได้แสดงสีหน้าใดๆ ดูเฉยชาเป็นอย่างมาก มิรู้ว่าอารมณ์ความรู้สึกในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
จิ๋งจิ่วยังคงสงบนิ่ง คล้ายมิได้มองเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญอะไรนัก
เมื่อสังเกตเห็นถึงรายละเอียดตรงนี้ ในดวงตาของไป๋เจ่าแสดงสายตาแปลกๆ ออกมา ก่อนจะรู้สึกแปลกใจเมื่อพบว่ากั้วตงได้จากไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
ศิษย์สำนักจงโจวที่ยืนรายล้อมอยู่ข้างกายไป๋เจ่าต่างรู้สึกผิดหวัง พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าศิษย์พี่ถงเหยียนจะแพ้ได้
แต่การแพ้ชนะบนกระดานมันชัดเจนขนาดนั้น ศิษย์พี่ได้วางหมากสีขาวเม็ดนั้นลงไปแล้ว
ไม่มีข้ออ้างใดๆ ไม่มีเหตุผลใดๆ นี่คือการพ่ายแพ้
คนที่รู้สึกเสียใจมากที่สุดคือเซี่ยงหว่านซู
ในนามแล้วเขาคือศิษย์ของถงเหยียน แต่ความจริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการบำเพ็ญเพียรหรือวิถีหมากล้อม ถงเหยียนล้วนแต่เป็นคนสอนเขามากับมือ
ศิษย์พี่แพ้แล้ว นี่ทำให้เขาไม่สามารถยอมรับได้
เขาคิดถึงเมืองไห่โจวเมื่อหนึ่งปีก่อน
ในงานเลี้ยงซื่อไห่ครั้งนั้น เขากล่าวไปสองสามประโยค จากนั้นก็ทำให้เกิดการโต้แย้งจากสาวน้อยที่สวมหมวกลี่เม่า
เหตุใดจึงมีการประลองกระดานนี้? น่าจะเริ่มมาตั้งแต่ตอนนั้นกระมัง
เมื่อคิดถึงจุดนี้ เขาพลันรู้สึกผิดอย่างมาก แล้วก็ยิ่งรู้สึกเสียใจ ก่อนจะมองไปยังที่ที่หนึ่ง
เจ้าล่าเยวี่ยยืนอยู่ตรงนั้น
สายตานางมองไปในศาลา
เซี่ยงหว่านซูรู้ว่านางจะต้องมองไปที่จิ๋งจิ่วอย่างแน่นอน
มุมขมับเปียกเล็กน้อย ใบหน้ากำลังยิ้มเล็กน้อย
สาวงามร่ำไห้ ทำให้รู้สึกสงสาร
แล้วสาวงามยิ้มแย้ม จะไม่ให้คนรู้สึกรักใคร่ได้อย่างไร?
เซี่ยงหว่านซูมองเห็นความรู้สึกชื่นชม มองเห็นความรู้สึกชิดใกล้บนใบหน้านาง
เขายิ่งเสียใจ
นอกจากเจ้าล่าเยวี่ย ยังมีอีกหลายคนที่กำลังมองจิ๋งจิ่วอยู่
เขานั่งนิ่งๆ สีหน้าเฉยชา ผมสีดำที่เปียกชื้นเล็กน้อยดูเหมือนยุ่งเหยิง แต่กลับช่วยเพิ่มความงดงามอย่างหนึ่งให้กับใบหน้าของเขา ราวกับเซียนก็มิปาน
ผู้คนเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่ง
เขานั่งอยู่ที่นี่ แต่กลับเหมือนว่าเขามิได้อยู่บนโลกนี้
……
……
ถงเหยียนลุกขึ้น เดินไปที่ริมริ้ว
เขาทอดมองไปยังทิวทัศน์ด้านนอกภูเขา มองดูอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่ง
จากนั้นเขาค่อยๆ ปิดตาลง พร้อมเงยหน้าขึ้น
เมื่อดวงตาปิดลง ก็ย่อมมิได้ให้ความรู้สึกเหมือนมองไม่เห็นหัวผู้อื่นอีก
ขนคิ้วของเขาค่อนข้างเบาบาง
น้ำฝนค่อยๆ ไหลลงมา ไหลผ่านหางตาและใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ดูค่อนข้างขาวซีดของเขา
สายตาของทุกคนเลื่อนจากตัวจิ๋งจิ่วไปยังแผ่นหลังของถงเหยียน นิ่งเงียบมิกล่าวกระไร
ถงเหยียนแพ้แล้ว แต่การที่สามารถเล่นหมากที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินเช่นนี้ได้ เขาก็สมควรได้รับการเคารพจากทุกคน
ทุกคนรอให้เขาพูดอะไรบางอย่าง
การประลองหมากล้อมในวันนี้ จะกลายเป็นการประลองที่มีชื่อเสียงและเป็นตำนานที่สุดในประวัติศาสตร์
ในเวลานี้ ทุกๆ คำพูด ทุกๆ ความเคลื่อนไหวที่เขามีต่อจิ๋งจิ่วจะถูกจดบันทึกเอาไว้
มิรู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดถงเหยียนก็เอ่ยปากออกมา
เขามิได้หมุนตัว และมิได้ลืมตา คำพูดที่กล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติเอ่ยออกมาจากปาก แฝงเอาไว้ความรู้สึกแข็งกร้าวอย่างที่ยากจะบรรยายได้
“สามารถเดินหมากเช่นนี้ออกมาได้ ชีวิตนี้ไม่มีอะไรให้เสียใจอีก เช่นนี้ยังจะมีอะไรให้ไม่พอใจอีกล่ะ?”
……
……
ครั้นได้ยินคำพูดประโยคนี้ ทุกคนพลันเกิดความรู้สึกนับถือขึ้นมา
สมแล้วที่เป็นคุณชายถงเหยียน มีทั้งมารยาทและจิตใจ ความรักและความเคารพที่มีต่อวิถีหมากล้อมยังคงทำให้ผู้คนรู้สึกนับถือ
แต่ทุกคนคิดไม่ถึงเลยว่าคำพูดที่ถงเหยียนอยากพูดจริงๆ นั้นอยู่ข้างหลัง
“แต่จะให้พอใจได้อย่างไรล่ะ?”
เสียงของถงเหยียนสั่นเครือเล็กน้อยจนยากที่จะสังเกตได้
ภายในนั้นแฝงเอาไว้ด้วยความเจ็บปวดที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการสะกดกลั้นมันเอาไว้
นี่ต่างหากถึงจะเป็นความเจ็บปวดที่แท้จริง
“ก็ข้าแพ้นี่นา”
………………………………………………………….