มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 81 สรรพสิ่งเป็นเหมือนดั่งหมากล้อม
เสียงระฆังดังขึ้น หมายความว่าบุคคลสำคัญอย่างฉานจึและเหอกั๋วกงได้เดินทางมาถึงเขาฉีผานแล้ว
เหอกั๋วกงเดินไปยังริมรั้วที่อยู่บนปลายยอดเขา ทอดมองลงมายังป่าที่เขียวขจีเบื้องล่าง คล้ายกำลังครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่าง
เขาเป็นผู้ดำเนินงานชุมนุมเหมยฮุ่ย การที่มีความคิดต่างๆ นาๆ อยู่ในหัวมันก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ เพราะฉานจึมิได้ปรากฏตัวออกมาเลย
ฉานจึพักผ่อนอยู่ในอารามซานชิงที่อยู่ตรงไหล่เขา
สมณะสูงศักดิ์แห่งนิกายฝอจงพักผ่อนอยู่ในอารามของเต๋า เรื่องนี้ไม่ว่าดูยังไงก็รู้สึกแปลก แต่เหอกั๋วกงรู้ว่าฉานจึมิเคยใส่ใจสิ่งเหล่านั้น เขาจึงมิได้พูดอะไรมาก
เหอกั๋วกงมองไปยังพระราชวังที่อยู่ไกลออกไป ก่อนจะกล่าวกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่ข้างกายว่า “เริ่มเลยแล้วกัน”
เสียงระฆังดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง การประลองหมากล้อมของงานชุมนุมเหมยฮุ่ยได้เปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการ
ในภูเขาไม่รู้มีผู้บำเพ็ญพรตมากน้อยเท่าไรเริ่มขยับตัว พวกเขาต่างมุ่งหน้าไปยังศาลาที่ตนเองหมายตาเอาไว้
เมื่อมองลงไปจากบนยอดเขาที่เหอกั๋วกงอยู่ พวกเขาดูคล้ายตัวหมากที่กำลังเคลื่อนไหวไปบนกระดาน ให้ความรู้สึกเหมือนกองทัพกำลังเคลื่อนพลอยู่บนสนามรบ
ไม่ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่กับที่หรือก้าวเดินอยู่ ต่างยังคงจับตามองไปยังที่สองสามที่
คนที่ได้รับความสนใจมากที่สุดย่อมต้องเป็นถงเหยียน ผู้คนต่างอยากรู้ว่าเขาจะเลือกผู้ใดเป็นคู่ต่อสู้คนแรก
หรือว่าเขาจะเลือกศาลาเปล่าสักหลัง แล้วรอให้คนอื่นมาท้าเหมือนอย่างงานชุมนุมเหมยฮุ่ยครั้งก่อนๆ?
ความเคลื่อนไหวของยอดฝีมือคนอื่นๆ อย่างเหอจาน เชวี่ยเหนียง กู่หยวนหยวน ซั่งจิ้วโหลวเองก็ได้รับความสนใจ ยังมีสายตาอีกเป็นจำนวนมากมองไปยังจิ๋งจิ่วที่อยู่ริมธาร
ถงเหยียนยืนอยู่ริมผาคนเดียว สายตามองดูก้อนเมฆเคลื่อนผ่านตรงหน้าภูเขา ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหว
เหอจานกับสาวน้อยยังคงย่างปลาดื่มสุราอยู่บนลำธาร
เชวี่ยเหนียง ซั่งจิ้วโหลวและกู่หยวนหยวนขยับแล้ว พวกเขาเดินไปยังศาลาที่ตนเองเลือกเอาไว้โดยไม่มีอะไรผิดคาด
เมื่อเห็นภาพนี้ สีหน้าของผู้บำเพ็ญพรตบางคนแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
หากสุดท้ายพวกเขายังไม่สามารถเลือกศาลาได้ ก็จะถูกผู้ดำเนินงานจัดให้ไปอยู่ในศาลาที่มีคนรออยู่
พอจะนึกภาพออกเลยว่า ศาลาของทั้งสามคนนี้จะต้องว่างอยู่ตลอดแน่นอน
เพราะไม่มีใครคิดอยากจะมาเจอศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นนี้ตั้งแต่การประลองรอบแรก
หมากล้อมเป็นเรื่องสง่างาม หากวิ่งไปวิ่งมาบนภูเขา เช่นนั้นคงจะดูเป็นการเสียมารยาทไปหน่อย ทว่าความเร็วในการเดินของผู้บำเพ็ญพรตเหล่านั้นกลับยิ่งเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
พวกเขาเดินไปยังศาลาหลังอื่น
ผ่านไปไม่นาน ผู้บำเพ็ญพรตที่เข้าร่วมประลองหมากล้อมส่วนใหญ่นั่งอยู่ในศาลาเรียบร้อย
มีคนสังเกตเห็นว่าจิ๋งจิ่วยังคงนั่งอยู่บนพื้นหญ้าริมธาร
“นี่เขากำลังเลียนแบบคุณชายถงเหยียนหรือ?”
มีผู้บำเพ็ญหัวเราะเยาะขึ้นมา “ช่างน่าขันเสียจริง”
มีคนกล่าวว่า “เหอจานเองก็ยังไม่ได้เลือกศาลานะ”
ผู้บำเพ็ญพรตคนนั้นยิ้มเยาะพลางกล่าวว่า “เหอจานเป็นใคร? แล้วเขาเป็นใคร?”
……
……
มีบางศาลาที่เริ่มประลองหมากกันแล้ว
ด้านนอกศาลามีคนรับผิดชอบจดบันทึกหมากอยู่ ดูแล้วเหมือนเป็นการเก็บบันทึกข้อมูล แต่ความจริงแล้วทุกคนต่างรู้ว่าบันทึกการเดินหมากเหล่านี้จะถูกส่งลงไปยังด้านล่างยอดเขา — ในเมืองเจาเกอวันนี้ไม่รู้ว่ามีขุนนางมากน้อยเท่าไรกำลังรอคอยบันทึกหมากเหล่านี้อยู่ พวกเขายินดีที่จะจ่ายค่าตอบแทนจำนวนมากเพื่อบันทึกการเดินหมากเหล่านี้ ในเมื่อราชสำนักไม่สามารถห้ามได้ เช่นนั้นหารายได้นิดหน่อยจากมันก็ถือว่าไม่เลว
ยังมีศาลาอีกหลายหลังที่มีคนนั่งอยู่เพียงคนเดียว
มีคนสีหน้าเรียบเฉย มีคนกำลังบ่นพึมพำพูดกับตัวเอง โดยหวังว่าถงเหยียนจะไม่มาทางนี้
เหอจานเดินกลับมา เขาถือไหสุรามายืนอยู่ด้านข้างจิ๋งจิ่ว ก่อนกล่าวถามว่า “ลองหน่อยไหม?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าไม่ดื่มสุรา”
เหอจานกล่าว “แต่เจ้าเล่นหมากล้อม”
จิ๋งจิ่วมองดูเขา
เหอจานกล่าว “ถ้าอยากเอาชนะถงเหยียน ก็ต้องผ่านข้าไปก่อน”
จิ๋งจิ่วจึงเข้าใจความหมายของเขา
เจ้าล่าเยวี่ยและศิษย์พี่ชุ่ยรู้สึกตกใจ
เซ่อเซ่อมองดูปลาย่างที่อยู่ในมือ คิดว่าคงจะต้องโยนทิ้งเสียแล้ว แต่ก็รู้สึกเสียดาย
นางไม่เคยกินปลาย่างที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน
ต่อให้เป็นฝีมือในการย่างปลา เหอจานก็คล้ายจะเป็นที่สองในใต้หล้า
หลายคนสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวทางนี้ ได้ยินเหอจานท้าทายจิ๋งจิ่ว ต่างรู้สึกตกใจ
ในเวลานี้พวกเขาถึงได้รู้ว่า ที่เหอจานไม่ยอมเลือกศาลานั้นเป็นเพราะมีความคิดนี้อยู่
จิ๋งจิ่วจะรับคำท้าหรือไม่?
……
……
จิ๋งจิ่วกล่าว “ไม่ได้ ข้านัดคนอื่นไว้ก่อนแล้ว”
เหอจานคิดไม่ถึงว่าตนเองจะถูกปฏิเสธ เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยพลางกล่าวถาม “ใคร?”
จิ๋งจิ่วไม่ได้ตอบคำถามเขาอีก
เขาเดินจากริมธารไปยังที่ที่หนึ่ง
เสียงฮือฮาดังขึ้น
มิได้เป็นเพราะเขาปฏิเสธคำท้าของเหอจาน หากแต่เป็นเพราะ…ถงเหยียนขยับแล้ว!
แทบจะในเวลาเดียวกับที่จิ๋งจิ่วยกเท้า เขาซึ่งยืนอยู่ริมผามาเป็นเวลานานก็หมุนตัวกลับมา ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังที่ที่หนึ่ง
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองตามการเคลื่อนไหวของถงเหยียนและจิ๋งจิ่ว
กระทั่งผู้บำเพ็ญพรตที่เริ่มประลองหมากไปแล้วก็ยังหยุดการเคลื่อนไหว แล้วมองไปทางด้านนั้นทันที
ผู้คนยิ่งรู้สึกตกตะลึง กระทั่งเหอจานเองก็ยังอ้าปากค้าง
จิ๋งจิ่วและถงเหยียนคล้ายจะมุ่งหน้าไปยังที่เดียวกัน
การเดินของทั้งสองคนล้วนแต่ทิ้งเงาเป็นเส้นเอาไว้ ขอเพียงไม่ขนานกัน เช่นนั้นสุดท้ายก็ต้องพบกัน
สถานที่ที่พวกเขาจะพบกัน มิใช่ริมผา มิใช่ริมธาร หากแต่เป็นริมป่าเหมย
ที่ตรงนั้นเงียบสงัด มีต้นเจียงเหมยพันธุ์พิเศษอยู่หลายสิบกอ ศาลาหลังเล็กหลังหนึ่งถูกบดบังอยู่ในนั้น หากไม่สังเกตให้ดี ก็ยากที่จะพบเห็นได้
……
……
เหอจานเข้าใจ
ทุกคนในภูเขาเองก็ค่อยๆ เข้าใจ
การประลองที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในการประลองหมากล้อมของงานชุมนุมเหมยฮุ่ยในปีนี้ย่อมต้องเป็นการประลองระหว่างจิ๋งจิ่วและถงเหยียน
ในอีกแง่หนึ่งแล้ว การประลองนี้เป็นตัวแทนการประลองระหว่างสำนักชิงซานและสำนักจงโจว เป็นการประชันกันอีกครั้งหนึ่งระหว่างผู้นำฝ่ายธรรมะ
จู่ๆ ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยเสด็จมาทอดพระเนตรการประลองหมากล้อม คาดว่าน่าจะทรงต้องการทอดพระเนตรการประลองของทั้งสองคนนี้
หลายคนมองว่าหากจิ๋งจิ่วอยากจะเจอถงเหยียน อย่างน้อยก็ต้องเอาชนะให้ได้สักสองสามคนก่อน แล้วอีกหลายวันหลังจากนั้นถึงจะได้เจอถงเหยียน
หากเขามีความสามารถที่จะทำเช่นนี้ หรือพูดอีกอย่างก็คือโชคดีล่ะก็
แต่ใครจะไปคิดบ้างว่าการประลองหมากล้อมในวันนี้เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น พวกเขาก็จะพบกันแล้ว
นี่ย่อมต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ที่แท้ตั้งแต่เริ่มจนมาถึงตอนนี้ พวกเขาก็ไม่เคยคิดที่จะไปศาลาอื่นเลย
พวกเขาจะประลองกันตั้งแต่กระดานแรก
……
……
เหอกั๋วกงยืนอยู่บนยอดเขา มองดูภาพเบื้องล่าง รู้สึกจนปัญญายิ่งนัก เขาโบกมือพลางกล่าว “รีบไปแจ้งในวัง”
หากฝ่าบาทมิได้ทอดพระเนตรการประลองกระดานนี้ ตัวเองคงโดนตำหนิอย่างหนักเป็นแน่
……
……
หนานว่างพาเหล่าลูกศิษย์เดินออกมาจากเรือนซีซาน
บนใบหน้าลูกศิษย์หลายคนยังคงมีสีหน้าตกตะลึงและสงสัยหลังจากได้ยินข่าว
……
……
ฉานจึดึงสายตาลับมาจากรูปปั้นดินเผาในอารามเต๋า ก่อนจะมองไปทางนักบวชลัทธิเต๋าที่เข้ามารายงานพลางถามว่า “ใครเดินก่อน?”
นักบวชลัทธิเต๋าผู้นั้นกล่าวว่า “ตอนที่ข้าออกมา กำลังทายหมากกันอยู่ขอรับ”
……
……
สายลมเย็นสบายพัดผ่านกอเจียงเหมยเข้าไปในศาลา ไม่มีกลิ่นหอม แต่กลับยิ่งรู้สึกเปล่าเปลี่ยว
ถงเหยียนกล่าว “เจ้าเข้าใจความหมายของข้า ถือว่าฉลาด”
จิ๋งจิ่วกล่าว “แบบนี้จะได้ประหยัดเวลา”
ถงเหยียนกำหมากขึ้นมา ก่อนจะเลื่อนมือมาบนกระดานหมากล้อม มิได้ปล่อยออก
จิ๋งจิ่วรู้ว่านี่คือการทายหมาก
สายตาเขามองไปยังมือของถงเหยียน
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนก็มองไปยังมือของถงเหยียน
แต่เจ้าเล่าเยวี่ยกลับมองไปยังจิ๋งจิ่ว
นางคิดถึงคำพูดที่เขาเคยพูดประโยคนั้นขึ้นมาอีกครั้ง
พระอาทิตย์อยู่ตรงนั้น จะไม่ให้มองได้อย่างไร?
แต่พระอาทิตย์ที่แท้จริงส่องแสงสว่างเจิดจ้า แล้วใครจะมองเห็นมันได้จริงๆ?
…………………………………………………….