มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 71 หนึ่งในคนที่หลบหนีไป
ท้องฟ้ายามราตรีไร้เมฆ ดวงดาราเองก็มีไม่มาก ลอยนิ่งอยู่ในที่ที่ไกลแสนไกล ดูอ้างว้างโดดเดี่ยว
เดิมทีโลกก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้วอย่างนั้นหรือ?
ไม่ จะใช้คำจำพวกหนาวเย็นหรืออบอุ่นมาบรรยายไม่ได้ เพราะก่อนหน้าที่จะมีมนุษย์ มันก็มิได้มีคำว่าฤดูหนาวฤดูร้อน
ชีวิตมีจำกัด แล้วจะรวมเป็นหนึ่งกับฟ้าดินที่เป็นนิรันดร์ได้อย่างไร
ความตายหรือไม่ก็อมตะ
“มีเพียงดวงวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ถึงจะเป็นอมตะได้สินะ?”
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูหมู่ดาวบนท้องฟ้าพลางกล่าวพึมพำ
จิ๋งจิ่วกล่าว “ผู้ที่เป็นอมตะถึงจะเป็นอมตะ”
เจ้าล่าเยวี่ยคิดถึงรูปแบบประโยคที่เขาเคยพูดคล้ายๆ กันนี้
การเป็นคนดีทำให้ไร้ศัตรู? ไม่ ผู้ที่ไร้ศัตรูถึงจะไร้ศัตรู[1]
เช่นนั้นทำอย่างไรจึงจะกลายเป็นอมตะ?
“ไม่รู้ เพราะอมตะคือสิ่งที่ไม่อาจพิสูจน์ได้”
จิ๋งจิ่วมองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนพลางกล่าว “แต่ที่โชคดีก็คือ มันไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ด้วย”
เมื่อมองดูใบหน้าด้านข้างของเขา เจ้าล่าเยวี่ยพลันเกิดความรู้สึกนั้นขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึกที่คล้ายมองเห็นหุบเหวที่ลึกจนยากหยั่งถึง
เห็นๆ อยู่ว่าอยู่ตรงหน้า แต่ก็คล้ายว่าอยู่ไกลแสนไกล ไม่ว่าจะไล่ตามอย่างไรก็ไล่ตามไม่ทัน
การคาดเดาที่น่าเหลือเชื่อที่สุดอันนั้นผุดขึ้นมาในใจของนางอีกครั้ง มาตรว่าคิดอย่างไรก็ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ความรู้สึกเช่นนี้นางช่างรู้สึกคุ้นเคยจริงๆ
ตั้งแต่เล็ก เมื่อนางรู้ว่าตนเองคือผู้สืบทอดที่นักพรตจิ่งหยางเลือก นางก็มีความรู้สึกเช่นนี้มาโดยตลอด
นางไม่กล้าคิดต่อไป จึงเปลี่ยนประเด็น
“วันนี้ถงเหยียนตั้งใจมารอเจ้า?”
“น่าจะใช่ เขาสามารถคาดการณ์ได้ว่าพวกเราจะปรากฏตัว ความสามารถในการคำนวณแข็งแกร่งอย่างมากเช่นกัน “
“ทำไมเขาต้องทำเช่นนี้?”
“เขาน่าจะเคยดูบันทึกการเดินหมากของข้า”
“หืม?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เขาไม่ชอบวิธีการเดินหมากของข้า แต่จำเป็นต้องยอมรับในฝีมือการเล่นหมากของข้า เลยอยากจะมาเจอข้า”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวถาม “ระหว่างพวกเจ้า ความสามารถในการเล่นหมากของใครแข็งแกร่งกว่ากัน?”
“หมากรุกเขาไม่มีทางเอาชนะข้าได้”
จิ๋งจิ่วกล่าวอย่างเรียบเฉย “หมากล้อมข้าสู้เขาไม่ได้”
ก่อนที่จะออกมาจากแผงหมากล้อม หมากสีดำที่เขาวางลงไปเม็ดนั้นเป็นแค่การเบี่ยงเบนความสนใจ ตำแหน่งวางหมากที่แท้จริงนั้นคือตำแหน่งที่เขาเคาะนิ้วลงไป
ถงเหยียนและมหาบัณฑิตกัวน่าจะเข้าใจความหมายของเขา และมองออกถึงความร้ายกาจของการเดินหมากตัวนี้ แต่นั่นเป็นเพราะเขาคอยดูอยู่ข้างๆ — เขาคิดคำนวณอยู่นานกว่าจะคิดการเดินตานั้นออก หากให้เขาไปแทนที่ตำแหน่งมหาบัณฑิตกัวและเดินหมากกับถงเหยียนทั้งกระดานจริงๆ เขาคงจะพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ
เจ้าล่าเยวี่ยยื่นมือไปแกะเปีย รู้สึกเบาสบายขึ้นมาก แต่ภายในใจยังคงรู้สึกหนักอึ้ง
ในงานเลี้ยงซื่อไห่ตอนนั้น นางได้กล่าวประโยคนั้นกับเซี่ยงหว่านซู ถึงได้มีเรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้น
ตอนนี้มาคิดดูแล้ว นางรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
เมื่อมาถึงปากทางถนนเส้นใหม่ เลี้ยวซ้ายจะเป็นวัดไท่ฉาง หากเลี้ยวขวาแล้วข้ามสะพานตู้ยา จากนั้นเดินผ่านแยกไปอีกสามแยกก็จะเป็นบ้านตระกูลเจ้า
เจ้าล่าเยวี่ยหยุดฝีเท้า กล่าวว่า “ถงเหยียนเป็นคนแบบไหน?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าไม่รู้ เจ้าล่ะ?”
เจ้าล่าเยวี่ยส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ในอีกแง่หนึ่งแล้ว จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยคือสองตัวประหลาดแห่งโลกบำเพ็ญพรต
พวกเขาคล้ายจะไม่สนใจอะไรเลย
พวกเขาไม่เหมือนคนธรรมดาที่สนใจเรื่องเสบียงอาหารและผัก แล้วก็มิได้สนใจเรื่องฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นและดอกไม้ที่เบ่งบานเหมือนอย่างนักกวีด้วย
พวกเขาไม่เหมือนลั่วไหวหนานที่สนใจอนาคตและชะตาชีวิตของเผ่าพันธุ์มนุษย์ แล้วก็ไม่เหมือนถงเหยียนที่สนใจเรื่องแพ้ชนะและความลี้ลับของโลกสีขาวดำ
กระทั่งคู่ต่อสู้บนเส้นทางแห่งการบำเพ็ญพรตที่เดิมควรจะให้ความสำคัญ พวกเขาก็ไม่เคยสนใจมาก่อน
“เอาไว้ข้ากลับไปแล้วจะลองถามที่บ้านดู”
เจ้าล่าเยวี่ยครุ่นคิดก่อนกล่าวออกมา
จิ๋งจิ่วคิดในใจ ตอนนี้เขาเองก็เป็นคนที่มีครอบครัวเหมือนกัน จึงกล่าวว่า “อย่างนั้นเดี๋ยวข้าจะกลับไปลองถามดูเช่นกัน”
ขณะที่เตรียมจะบอกลา เจ้าล่าเยวี่ยพลันคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงกล่าวถามว่า “เจ้าเคยเล่นไพ่นกกระจอกหรือ?”
จิ๋งจิ่วลังเลเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “เมื่อก่อน…ถูกคนบังคับให้เล่นสองสามครั้ง พวกเขาบอกมีสามคนแล้ว ขาดอยู่หนึ่งคน ไม่เล่นไม่ได้”
เจ้าล่าเยวี่ยตกใจ นางรู้สึกตกใจยิ่งกว่าตอนที่พบว่าเขาได้รับบาดเจ็บหลังเดินออกมาจากกระท่อมเสียอีก
จิ๋งจิ่วเมินเฉยต่อทุกเรื่องราว ยิ่งไปกว่านั้นยังเกียจคร้านอย่างมาก ใครกันที่สามารถบังคับเขาให้ทำเรื่องที่เขาไม่อยากทำได้?
……
……
ยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานล้วนแต่อยู่ในเมฆหมอก
หมอกบนยอดเขาซั่งเต๋อมิได้หนาทึบเหมือนอย่างหมอกบนยอดเขาอวิ๋นสิง แต่กลับมีความหนาวเย็นยิ่งกว่า หรือจะเป็นเพราะบ่อน้ำที่ทะลุลงไปยังใต้ดินบ่อนั้น?
หยวนฉีจิงยืนอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของถ้ำ มองดูก้นบ่อด้วยสีหน้าเรียบเฉย มิรู้กำลังครุ่นคิดถึงสิ่งใด
ในที่สุดหลายปีก่อนเขาก็บรรลุสภาวะได้สำเร็จ กลายเป็นยอดคนที่บรรลุสภาวะขั้นทะลวงสวรรค์ต่อจากเจ้าสำนัก ชื่อเสียงบารมีของสำนักชิงซานยิ่งมีมากขึ้น สถานะของเขาในสำนักชิงซานยิ่งไม่มีทางสั่นคลอนได้ หลายคนถึงขนาดมองว่าเริ่มจะคุกคามถึงตำแหน่งของท่านเจ้าสำนักแล้ว
แต่หลายปีมานี้เขาทำตัวเงียบๆ นิ่งเฉยมิได้ทำอะไร เอาแต่มองดูบ่อน้ำบ่อนั้น คล้ายว่าข้างในมีทิวทัศน์งดงามอยู่
……
……
ยอดเขาเทียนกวงสูงที่สุด ปลายยอดเขายื่นพ้นชั้นเมฆ ดังนั้นแสงอาทิตย์ของที่นี่จึงดีที่สุด ความอบอุ่นที่ตกกระทบลงมาบนร่างกายไม่มีที่สิ้นสุด สามารถทอดตามองดูยอดเขาอื่นๆ ที่เหลือ ทิวทัศน์เองก็งดงามที่สุดเช่นกัน
เจ้าสำนักดึงสายตากลับมาจากยอดเขาซื่อเยวี่ย จากนั้นส่ายศีรษะแล้วเดินกลับมาตรงหน้าป้ายหิน เขามองดูปลอกกระบี่ที่ปักอยู่ในป้ายหิน คล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ด้านล่างป้ายหินมีกลิ่นอายของความเนิบช้าและการผ่านโลกมาอย่างโชกโชน
หยวนกุยค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ก่อนจะใช้สายตาสับสนมองดูเขา
ในฐานะที่เป็นผู้พิทักษ์ที่เก่าแก่ที่สุดของชิงซาน มิรู้ว่ามันอยู่เคียงข้างและจากลาเจ้าสำนักชิงซานมากี่ยุคกี่สมัย
จนกระทั่งถึงตอนนี้ มันยังคงไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจ้าสำนักเหล่านี้มักจะมีท่าทีกังวล
หรือพวกเขาไม่รู้ว่าการคิดใคร่ครวญจะทำให้ใจแห่งเต๋าเสียหาย?
มิน่าจนถึงสุดท้ายแล้วมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถบรรลุกลายเป็นเซียนได้
พวกเขามีเรื่องอะไรให้คิดไม่ตกกันแน่?
……
……
ทางตะวันตกของแผ่นดินเฉาเทียน มีที่ราบหิมะและภูเขาสูงใหญ่อยู่ผืนหนึ่ง มันทั้งรกร้างกว้างใหญ่ หนาวเหน็บเยียบเย็น ไร้ซึ่งผู้คน ถูกขนานนามว่าเหลิ่งซาน
เขาคุนหลุน เขาเทียนซานและเขายาซานล้วนแต่เป็นส่วนหนึ่งในภูเขาสูงแถบนี้
ขณะเดียวกัน ที่นี่ก็เป็นสถานที่สำหรับซ่อนตัวของพวกพรรคมาร ว่ากันว่าเทวสถานของสำนักเสวียนอินก็อยู่ที่นี่ด้วย
เมืองเจาเกอเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิเรียบร้อยแล้ว แต่ที่นี่กลับยังมีหิมะโปรยปราย เหน็บหนาวเป็นที่สุด
จุดดำจุดหนึ่งปรากฏอยู่บนที่ราบหิมะที่ไกลออกไป จากนั้นค่อยๆ คืบใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เสียงขลุ่ยค่อยๆ ดังขึ้น ฟังดูเสนาะหู
หิมะปลิดปลิว เด็กเลี้ยงวัวเป่าขลุ่ย?
คนที่เป่าขลุ่ยนั้นมิใช่เด็กเลี้ยงวัว หากแต่เป็นชายหนุ่มผู้หนึ่ง
ชายหนุ่มผู้นั้นใบหน้าสะอาดสะอ้าน ท่าทางคล้ายเดินเตร็ดเตร่ ในรอยยิ้มเผยให้เห็นความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะอธิบายได้
สิ่งที่เขาขี่อยู่มิใช่วัว หากแต่เป็นจามรี ขนยาวสีดำและสกปรกใกล้จะตกลงไปถึงพื้น
สิ่งที่เขาเป่าก็มิใช่ขลุ่ยไม้ไผ่ธรรมดาด้วยเช่นกัน หากแต่เป็นขลุ่ยกระดูก
ตรงกลางของขลุ่ยกระดูกสีเหลืองอ่อนมีเส้นสีแดงปรากฏอยู่ลางๆ ดูแล้วอาจจะทำมาจากกระดูกคน
เสียงขลุ่ยหยุดลง
มีนกกระดาษบินมาจากในเกล็ดหิมะ ก่อนจะร่วงลงมากลางฝ่ามือของเขา แล้วกลายเป็นกระดาษจดหมาย
ชายหนุ่มผู้นั้นกระทั่งดูก็มิใด้เหลือบดู ก็ทราบถึงเนื้อหาที่อยู่ในจดหมาย จากนั้นจึงยิ้มขึ้นมา
“เจ้าสี่ทำไมถึงใจร้อนแบบนี้? ถึงขนาดคิดจะใช้คนลวงโลกคนหนึ่งไปจัดการ อาจารย์อาเล็กของเจ้ามิใช่คนที่รับมือได้ง่ายขนาดนั้นเสียหน่อย”
ที่นี่มีเพียงหิมะและหน้าผา ไม่มีทางเดิน
ในดวงตาชายหนุ่มผู้นั้นกลับคล้ายมีเส้นทางที่มองไม่เห็นอยู่เส้นหนึ่ง เขาขี่จามรีเข้าไปในภูเขา มิได้มีความลังเลใดๆ
เมื่อมาถึงในภูเขาที่เต็มไปด้วยหน้าผาหิน กระทั่งไม่มีทางใดก้าวเดินต่อไปได้อีก เขาจึงพลิกตัวลงมาจากหลังของจามรี แล้วเดินไปยังตรงหน้าหน้าผาแห่งหนึ่ง
เขางอนิ้วชี้เคาะไปบนหน้าผาหิน เสียงทึบดังชัดเจน แสดงให้เห็นว่าด้านในมิใช่ช่องว่างแน่นอน ย่อมไม่สามารถใส่คนเข้าไปได้
แต่ชายหนุ่มกลับยิ้มขึ้นมา รู้สึกพึงพอใจเป็นยิ่งนัก เขาเสียบขลุ่ยกระดูกกลับไปที่เอว ก่อนกล่าวว่า “ออกมาเถอะ ผู้หลบหนีกระบี่”
………………………………………………….
[1] ผู้ที่ไร้ศัตรูถึงจะไร้ศัตรู ความหมายที่แท้จริงคือ ผู้ที่ใจปล่อยวางต่างหากจึงจะไร้ศัตรู