มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 67 เจ้าจะลองดูหน่อยไหม?
การยกมือของเจ้าล่าเยวี่ยนั้นมีพลังอย่างมาก เป็นเพราะจับกระบี่มานานหลายปี นิ้วมือจึงมีรอยด้าน เมื่อวาดไปในอากาศที่อยู่เหนือบันไดหินด้วยความเร็วสูง พลันทำให้เกิดเสียงลมดังวูบขึ้นมา คล้ายกับธงที่โบกสะบัดอยู่ในสนามรบ ให้ความรู้สึกเด็ดเดี่ยว ทั้งมีความรู้สึกเด็ดขาด
สิ่งที่เด็ดเดี่ยวหรือพูดอีกอย่างคือแน่วแน่ยิ่งกว่านั้นก็คือสายตาของนาง
เพียงแค่สายตาหรือความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยของจิ๋งจิ่ว นางก็รู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร
เขาเองก็เช่นเดียวกัน
จิ๋งจิ่วมิได้พูดอะไรต่อ เพียงแต่เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงไม่อยากฟัง
เขาทราบดี สถานะที่แท้จริงของตนเองคือเรื่องที่เจ้าล่าเยวี่ยอยากรู้มากที่สุด
แม้นนางจะไม่เคยพูดถึงมาก่อน เพียงแต่บางครั้งนางจะเอ่ยชื่อเหลียนซานเยวี่ยออกมาอย่างไม่ตั้งใจในเวลาที่พูดคุยกับเขา
—-นั่นบางทีอาจจะเป็นการหยั่งเชิง หรือไม่ก็เป็นการหลุดพูดออกมาจากความคิดของนางเอง
วันนี้นางมาพบเทียนจิ้นเหริน ด้วยคิดอยากจะถามคำถามนี้ แล้วเหตุใดจึงไม่ถาม? จิ๋งจิ่วเตรียมจะพูดออกมาเอง เหตุใดนางจึงไม่อยากฟัง?
“สำหรับเรื่องที่ว่าเจ้าเป็นใคร ข้าเคยคาดเดาเอาไว้หลายอย่าง ข้าเคยคิดว่าเจ้าอาจจะเป็นมารชั่วของสำนักฝ่ายอธรรม บางครั้งก็มีการคาดเดาที่แปลกประหลาดยิ่งกว่านั้น”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “แต่วันนี้ข้าไม่ได้ถาม หากแต่คิดเข้าใจแล้ว ความจริงแล้วข้าไม่ได้ต้องการคำตอบนี้”
จิ๋งจิ่วถาม “เพราะอะไร?”
“เพราะข้าไม่อยากได้ยินคำตอบที่ไม่ดี แล้วก็ไม่รู้ว่าหากเป็นคำตอบนั้นขึ้นมาจริงๆ ข้าควรจะทำอย่างไร”
ขณะที่กล่าวประโยคนี้ ท่าทางของเจ้าล่าเยวี่ยดูขลาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
หากเหล่าศิษย์ชิงซานได้มาเห็นภาพนี้ พวกเขาจะต้องตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกแน่
นี่มิใช่เรื่องที่ควรจะเกิดขึ้นกับเจ้าล่าเยวี่ย
จิ๋งจิ่วเข้าใจความรู้สึกของนาง จึงกล่าวว่า “ข้ารับปากเจ้า จะต้องเป็นคำตอบที่ดีอย่างแน่นอน”
เจ้าล่าเยวี่ยตกตะลึง ไม่กล้าที่จะคิดให้ลึกลงไป นางกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ดี”
จิ๋งจิ่วกล่าว “แค่นี้ก็พอ?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวอย่างจริงจัง “เจ้าเป็นใครไม่สำคัญ ข้ารู้เพียงว่าเจ้าคือคนที่สำคัญต่อข้าอย่างมาก”
จิ๋งจิ่วครุ่นคิด กล่าวว่า “ข้าก็ว่าอย่างนั้น”
เจ้าล่าเยวี่ยมองเขาพลางหัวเราะขึ้นมา ดอกไม้เล็กๆ ที่เสียบอยู่ตรงขมับขยับขึ้นมาเบาๆ ตามแรงลม
จิ๋งจิ่วยื่นมือไปลูบศีรษะของนาง
เจ้าล่าเยวี่ยลืมตาโต สีดำขาวภายในดวงตาแบ่งชัดเจน ดูมีชีวิตชีวาอย่างมาก ช่างมีเสน่ห์ยิ่งนัก
จิ๋งจิ่วครุ่นคิด อีกประเดี๋ยวคงจะได้ยินคำพูดติดปากของสำนักชิงซานประโยคนั้น
“อย่าทำแบบนี้”
เจ้าล่าเยวี่ยมิได้โกรธ แต่กลับดูกระอักกระอ่วนขึ้นมา
นางจับมือของเขาลงมาจากบนศีรษะอย่างระมัดระวัง
หลังจากนั้นก็มิได้ปล่อย
นางจูงมือเขาเดินขึ้นมาจากบันได้หิน ก่อนจะเดินไปยังถนนที่อยู่บนสวนดอกเหมยเส้นนั้น
ในหลายปีที่ผ่านมานี้ พวกเขาท่องไปบนแผ่นดิน ในบางครั้งเมื่อจำเป็นต้องขี่กระบี่ มือของพวกเขาจะกุมเอาไว้ด้วยกัน
แต่นั่นคือการกุม มิใช่การจูง — กุมคือกุมกระบี่ จูงคือการเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน
หากเป็นเวลาปกติ พวกเขาย่อมไม่มีทางทำเช่นนี้
วันนี้ที่ทำแบบนี้เป็นเพราะจิ๋งจิ่วได้รับบาดเจ็บ
หรืออาจจะเป็นเช่นนี้
ทั้งสองคนเดินไปถึงถนน
ริมถนนที่อยู่ติดกับสวนดอกเหมยเก่าแปรเปลี่ยนเป็นดูโล่ง แผงหมากรุกต่างกระจายตัวไปหมดแล้ว เหลือเพียงเศษกระดาษและม้านั่งเก่าๆ ที่ล้มระเนระนาด
ด้านหน้ายังคงมีเสียงดังวุ่นวาย ผู้คนจับกลุ่มอยู่ด้วยกัน ประเดี๋ยวก็มีเสียงอุทานตกใจดังออกมาเป็นพักๆ
ชายหนุ่มผู้นั้นยืนอยู่ตรงหน้าแผงหมากรุก บนใบหน้าอันอ่อนเยาว์มิได้ดูเฉยเมยเหมือนอย่างตอนแรกอีก หากแต่เปลี่ยนเป็นเบื่อหน่ายขึ้นมา
การเล่นหมากรุกกับเจ้าของแผงหมากรุกเหล่านั้น สำหรับเขาแล้วเป็นเรื่องที่ยากจะทนรับได้
นี่เข้าใจได้ไม่ยาก
เพียงแต่เหตุใดเขาจึงมาที่นี่ ดึงดันที่จะใช้วิธีนี้ขับไล่แผงหมากรุกเหล่านี้ออกไป?
จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยเดินไปบนถนน มิได้หยุดฝีเท้า แล้วก็มิได้มองไปทางด้านนั้น
พวกเขารู้ว่าชายหนุ่มผู้นั้นคือใคร แต่มิได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ
พิณ หมาก พู่กัน ภาพวาด เดิมก็มิได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับชีวิตพวกเขาอยู่แล้ว
กระทั่งในกลุ่มคนมีเสียงอุทานตกใจดังขึ้นมา
จากนั้นพวกเขาได้ยินคำพูดประโยคหนึ่ง
……
……
คุณชายเหอแห่งโรงหมากรุกชุนซีสีหน้าดูแย่อย่างมาก โดยเฉพาะในตอนที่เขาเห็นบนใบหน้าชายหนุ่มผู้นั้นเผยสีหน้าที่ดูเบื่อหน่ายออกมา
เมื่อครู่เขาลงประลองด้วยตัวเอง ก่อนจะพ่ายแพ้ยับเยิน สิ่งที่ทำให้เขายิ่งรู้สึกตกใจก็คือเขาไม่เข้าใจเลยว่าตนเองพ่ายแพ่ได้อย่างไร กระทั่งระดับความลึกล้ำในฝีมือการเล่นหมากรุกของอีกฝ่ายก็ดูไม่ออก
ด้านนอกกลุ่มคนมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา เขาหันหน้ากลับไปมอง ก่อนจะเห็นคุณชายสองที่เป็นคนกว้างขวางที่สุดในโรงหมากรุกเดินมาข้างหน้าสุด เขาพลันรู้สึกโล่งใจ
โรงหมากรุกชุนซีค่อนข้างมีชื่อเสียงในเมืองเจาเกอ เขาน่าจะไปเชิญยอดนักเล่นหมากรุกที่ร้ายกาจมาเป็นแน่
ในตอนที่เขาเห็นชายชราที่สวมชุดธรรมดา หนวดเครายาวปลิวไหวตามลมเดินเข้ามา เขากลับสูดปากด้วยความตกใจ ในใจครุ่นคิดทำไมถึงเชิญท่านผู้นี้มาได้?
คนที่เห็นชายชราผู้นั้นมีจำนวนเยอะขึ้นเรื่อยๆ กลุ่มคนแหวกเปิดทางเหมือนดั่งสายน้ำ เสียงพูดคุยและเสียงคาดเดาเบาๆ ดังขึ้นมาไม่หยุด สุดท้ายก็ไม่อาจสะกดเอาไว้ได้อีก เสียงซุบซิบเหล่านั้นกลายเป็นเสียงอุทานตกใจ
“มหาบัณฑิตกัว!”
“ท่านมหาบัณฑิตมาได้อย่างไร?”
ชายชราผู้นี้มีนามว่ากัวฉี เป็นขุนนางคนสำคัญในราชสำนัก เป็นมหาบัณฑิตแห่งหอสมุดหลวง สถานะสูงส่ง
สำหรับผู้คนที่ใช้หมากรุกเลี้ยงชีพบนถนนเส้นนี้แล้ว สถานะอีกสถานะหนึ่งของชายชรากลับมีชื่อเสียงยิ่งกว่า
มหาบัณฑิตกัวคือยอดฝีมือแห่งวิถีหมากของอาณาจักร! ถึงขนาดได้รับการยอมรับว่าเป็นอันดับหนึ่งในราชสำนัก!
“คนต่อไป”
ในเวลาเดียวกันนี้เอง ชายหนุ่มผู้นั้นก็จบการประลองที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะกล่าวออกมาโดยที่ศีรษะมิได้เงยขึ้น
มหาบัณฑิตกัวเดินมาหน้าแผงหมากรุก กล่าวว่า “โปรดชี้แนะด้วย”
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมา เมื่อเห็นเขาจึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ในที่สุดสีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา เขายกมือขึ้นมาประสานพลางกล่าวว่า “ข่าวของท่านมหาบัณฑิตช่างรวดเร็วจริงๆ”
“คงได้แต่บอกว่าวันนี้ข้าโชคดีทีเดียว”
มหาบัณฑิตกัวลูบหนวดเบาๆ ยิ้มพลางกล่าวว่า “เป็นเพราะงานชุมนุมเหมยฮุ่ย การประชุมในวังจึงถูกยกเลิก ข้าไปที่กินข้าวที่หอรุ่ยเสียง หัวหน้าโรงหมากรุกชุนซีรีบเดินเข้ามาขอให้ชิงเค่อไปช่วย ข้ารู้สึกสงสัย จึงกล่าวถามนิดหน่อย ครั้นได้ยินคำบอกเล่าจึงรู้ว่าเป็นเจ้า ข้าย่อมต้องแวะมาดู”
คุณชายเหอถึงได้รู้ว่าเหตุใดมหาบัณฑิตกัวจึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่
ชิงเค่อแห่งเรือนบัณฑิต ฝีมือในการเล่นหมากรุกยอดเยี่ยม เหนือกว่ายอดฝีมือธรรมดาทั่วไปในเมืองเจาเกอ แต่ไหนเลยจะเทียบกับท่านมหาบัณฑิตได้
เพียงแต่โรงหมากรุกของตน ไหนเลยจะไปเชิญผู้ยิ่งใหญ่อย่างมหาบัณฑิตกัวมาได้?
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ เขาได้ยินชายหนุ่มผู้นั้นกล่าวว่า “ไม่ถึงขนาดนั้น”
มหาบัณฑิตกัวกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ในเมืองเจาเกอไม่รู้มีคนมากมายเท่าไรอยากจะประลองกับเจ้าสักกระดาน เพียงแต่เจ้าไม่เคยรับปาก วันนี้มีโอกาสที่หาได้ยาก ข้าจะพลาดได้อย่างไรกัน?
ครั้นได้ยินบทสนทนานี้ กลุ่มคนมีเสียงฮือฮาดังขึ้นมา ในใจครุ่นคิดชายหนุ่มผู้นี้เป็นใครกันแน่? คุณชายเหอไม่เหมือนกับชาวบ้านที่มาตั้งแผงหมากรุกบนถนน เขาคาดเดาได้ว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นใคร สีหน้าแปรเปลี่ยนขึ้นมา เหงื่ออันเยือกเย็นไหลท่วมเสื้อผ้าจนเปียก ในใจครุ่นคิดตนเองประลองหมากกับคนผู้นี้อย่างนั้นหรือ? นี่ไม่เรียกว่ารนหาที่ตายแล้วจะเรียกว่าอะไร? แต่หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกยินดีขึ้นมา แพ้ให้กับคนผู้นี้นั้นเป็นเรื่องสมควร ไม่อาจถือเป็นการขายหน้า สิ่งสำคัญก็คือจะมีสักกี่คนที่มีโอกาสได้ประลองหมากกับคนผู้นี้? นี่เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมอย่างมากต่างหากเล่า
“ข้าเพียงแต่ไม่เข้าใจ เหตุใดเจ้าต้องมาเล่นหมากรุกที่นี่?”
มหาบัณฑิตกัวมองดูสภาพแวดล้อมที่ทรุดโทรมและอุปกรณ์เล่นหมากรุกที่ธรรมดาอย่างมากเหล่านั้น คิ้วพลันขมวดขึ้นมา ยิ่งรู้สึกไม่เข้าใจ
ชายหนุ่มกล่าวว่า “ข้าไม่อยากให้คนเหล่านี้เล่นหมากรุก โดยเฉพาะที่นี่”
สายตามหาบัณฑิตกัวมองไปยังป่าดอกเหมยที่อยู่ไกลออกไป งุนงงเล็กน้อย จากนั้นจึงเข้าใจความหมายของเขา
สวนดอกเหมยเก่าค่อยๆ ถูกคนลืมเลือน แต่ที่นี่เคยเป็นประจักษ์พยานของเรื่องราวที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ แล้วยังมีคนเหล่านั้นอีก
สถานที่แบบนี้ไม่ควรถูกเสียงเอะอะโวยวายจากการเล่นหมากรุกและพวกหลอกลวงเหล่านั้นมาทำลายความสงบและความสะอาด
“ไม่น่าดูจริงด้วย”
มหาบัณฑิตกัวมองไปรอบๆ กล่าวว่า “หากเจ้าชนะข้า ข้าจะจัดการเก็บกวาดที่นี่”
ในฐานะที่เป็นมหาบัณฑิตแห่งหอสมุดหลวง เขาย่อมต้องมีความสามารถที่จะทำแบบนั้นได้
ทว่าชายหนุ่มกลับไม่ยอมรับ เขากล่าวว่า “ท่านไม่สามารถเอาชนะข้าได้ ส่วนเรื่องเก็บกวาด คนที่มาตั้งแผงหมากรุกเหล่านี้ไม่มีทางยอมรับแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นในเมืองเจาเกอยังจะคนอีกมากที่ไม่ยอมรับ”
กลุ่มคนส่งเสียงอุทานตกใจขึ้นมา ในใจครุ่นคิดคนผู้นี้ช่างอวดดีจริงๆ
แต่มหาบัณฑิตกัวกลับฟังออกถึงความหมายอื่น เขากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “เชิญ”
ชายหนุ่มกล่าว “รอประเดี๋ยว ข้ามีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องทำก่อน”
มหาบัณฑิตกัวกล่าว “เชิญ”
กล่าวจบประโยคนี้ สายตาเขาก็มองไปยังม้านั่งที่ยังถือว่าสะอาดตัวหนึ่ง
ผู้ดูแลแห่งเรือนบัณฑิตรีบเข้าไปเช็ดม้านั่งตัวนั้น พร้อมทั้งยกชาเขียวมา
มหาบัณฑิตกัวนั่งลง คิดอยากจะรู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้จะทำอะไร
ชายหนุ่มมองไปบนถนน
ตรงนั้นมีหนุ่มสาวสวมหมวกลี่เม่าคู่หนึ่งเดินผ่านมา
ชายหนุ่มกล่าวว่า “เจ้าอยากจะลองดูหรือไม่?”
แสงแดดตกกระทบไปบนหมวก ส่องประกายออกมาเล็กน้อย
ทั้งสองคนหยุดฝีเท้า มิได้กล่าวกระไร
ชายหนุ่มกล่าว “ข้าหมายความว่าเจ้าจะลองดูหน่อยไหมว่าเข้าใจหมากของข้าหรือปล่า”
……………………………………………………….