มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 61 เรื่องเล็กน้อย
คำพูดไม่กี่ประโยค ฟังดูมิได้มีอะไรสอดคล้องกัน คล้ายแฝงความหมายที่ลึกซึ้งชาญฉลาดเอาไว้ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ มันเป็นเพียงการประชดกระชันกันเท่านั้น
ตอนที่ชายหนุ่มชุดแพรผู้นั้นถามเจ้าล่าเยวี่ยว่าใช่สหายจากสำนักชิงซานหรือไม่ เขาก็มิได้แนะนำตัวก่อน อีกทั้งสีหน้าเองก็เฉยเมย ดูค่อนข้างเสียมารยาท
เจ้าล่าเยวี่ยมองจิ๋งจิ่ว คิดอยากรู้ว่าจิ๋งจิ่วจะตอบโต้อย่างไร
จากคำพูดของชายหนุ่มชุดแพรกับพระสนมหู หญิงสาวจากสำนักเสวียนหลิงเหมือนจะคาดเดาสถานะของเขาได้ จึงตกตะลึงกล่าวอะไรไม่ออก
สถานะของชายหนุ่มชุดแพรย่อมต้องสูงศักดิ์เป็นแน่ การที่เขามีท่าทีเฉยเมยต่อสำนักชิงซานก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
—-เสินหวงองค์ปัจจุบันเชื่อใจวัดกั่วเฉิงมากที่สุด แต่สำนักที่อยู่ใกล้ชิดกับราชวงศ์มากที่สุดคือสำนักจงโจว
สำนักชิงซานในฐานะที่เป็นสำนักที่มีชื่อเสียงทัดเทียมกับสำนักจงโจว อีกทั้งแย่งชิงตำแหน่งผู้นำฝ่ายธรรมะกันมาเป็นเวลาพันกว่าปี พวกเขาย่อมไม่มีทางได้รับความรู้สึกที่ดีจากคนในราชวงศ์ โดยเฉพาะคนที่มีสถานะอย่างชายหนุ่มชุดแพร หากต้องการได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากสำนักจงโจว ก็จำเป็นต้องแสดงท่าทีออกมาให้ชัดเจนตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ตาม
เหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้
จิ๋งจิ่วทราบดี แต่เขาไม่มีทางไปทำความเข้าใจ เพราะเขาไม่ได้สนใจสถานะของอีกฝ่ายเลย
เผลอๆ ท่าทีของเขายังชัดเจนเสียกว่าชายหนุ่มชุดแพรเสียอีก
เขาหันไปพูดกับสาวน้อยคนนั้น ถามไถ่ชื่อของนาง คล้ายชายหนุ่มชุดแพรมิได้มีตัวตนอยู่เลย
นี่คือการเมินเฉย
ชายหนุ่มชุดแพรหรี่ตา มิได้กล่าวกระไรอีก
กลัวที่สุดคือความเงียบอย่างฉับพลัน
โดยเฉพาะเซ่อเซ่อ เดิมนางนั้นเป็นสาวน้อยที่ชื่นชอบความครึกครื้น
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ นางคิดว่าจิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยยังไม่ทราบถึงสถานะของชายหนุ่มชุดแพรผู้นี้ จึงกังวลว่าจะมีปัญหา
นางรีบหยิบเอากระดิ่งเล็กๆ ขึ้นมาสองอัน ก่อนจะส่งให้เจ้าล่าเยวี่ยพร้อมกล่าวว่า “กระดิ่งสองอันนี้ข้าลำบากแทบแย่กว่าจะขอมาได้”
นี่คือของขวัญที่ตอนนั้นนางรับปากเอาไว้ว่าจะมอบให้เจ้าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่วก่อนที่จะออกมาจากชิงซาน
กระดิ่งใจพิสุทธิ์ของสำนักเสวียนหลิงนั้นเป็นหนึ่งในแผ่นดิน นางเป็นบุตรสาวของเจ้าสำนัก กระดิ่งที่นางต้องใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะขอมาได้ย่อมมิใช่กระดิ่งธรรมดาอย่างแน่นอน
บนตัวกระดิ่งทั้งสองอันนั้นไร้ลวดลาย รูปร่างสวยงามประณีต ตัวกระดิ่งโปร่งใส เปล่งแสงสว่างบริสุทธิ์เบาบาง เพียงแค่มองก็ทำให้จิตใจรู้สึกสงบ
เมื่อเห็นภาพนี้ พระสนมหูรู้สึกอิจฉา สีหน้าของชายหนุ่มชุดแพรแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
สถานะของเขาสูงศักดิ์ นับแต่ถือกำเนิดเป็นต้นมา ข้อเท้าของเขาก็มีกระดิ่งอันหนึ่งที่สำนักเสวียนหลิงมอบให้เป็นของขวัญห้อยเอาไว้อยู่ เพื่อใช้ปัดเป่าความชั่วร้ายปกป้องจิตใจ
แต่ในเวลานี้สาวน้อยกลับหยิบเอากระดิ่งที่มีความวิเศษใกล้เคียงกับกระดิ่งของเขาออกมาสองอัน
ปัญหาอยู่ที่ว่า สถานะของเจ้าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่วนั้นสามารถเทียบเคียงเขาได้อย่างนั้นหรือ?
มาตรว่าสำนักเสวียนหลิงและสำนักชิงซานจะเป็นมิตรที่ดีต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย แต่ทำไมเหล่าไท่จวิน[1] ผู้นั้นถึงเห็นด้วยกับการที่หลานสาวเอาของวิเศษเช่นนี้มามอบให้เป็นของขวัญได้ นี่มันไม่เหลวไหลไปหน่อยหรือ?
เจ้าล่าเยวี่ยรับเอากระดิ่งมา พลางพยักหน้าขอบคุณ จากนั้นกล่าวว่า “กระบี่ที่รับปากเจ้าเอาไว้ ข้ายังหาที่เหมาะกับเจ้าไม่เจอ รอก่อนนะ”
เซ่อเซ่อโบกมือเพื่อบอกว่าตนเองไม่รีบ จากนั้นมองไปทางจิ๋งจิ่ว บนใบหน้าเล็กๆ เผยให้เห็นรอยยิ้มได้ใจ
“เจ้าไม่เหมือนกับพี่เจ้า ข้าคิดว่าข้าเป็นฝ่ายขาดทุนหากให้กระดิ่งนี้แก่เจ้าไป นอกจากเรื่องที่ตอนนั้นเจ้ารับปากข้าเอาไว้ เจ้าต้องให้ของข้าอีกสักอย่างสองอย่าง”
เพิ่งจะส่งของขวัญให้ก็คิดอยากได้ของขวัญตอบแล้ว คงมีแต่สาวน้อยเท่านั้นถึงจะทำเรื่องแบบนี้ได้
คิดไม่ถึงว่าจิ๋งจิ่วกลับคิดว่านี่เป็นเรื่องปกติ เขาครุ่นคิดอย่างจริงจัง
เขายังมียาล้ำค่าและของวิเศษอยู่อีกมาก แต่บางอย่างเขาก็ต้องเตรียมเอาไว้ใช้ตอนที่บรรลุสภาวะในวันหน้า บางอย่างก็เก็บเอาไว้ให้หลิ่วสือซุ่ยกับเจ้าล่าเยวี่ย แล้วก็ยังต้องเตรียมส่วนหนึ่งเอาไว้ให้กู้ชิงด้วย ตอนนี้ยอดเขาเสินม่อมีชายหนุ่มแซ่หยวนคนนั้นเพิ่มมาอีกคน เสี่ยวอวี้ซานไม่แน่วันไหนอาจจะกลับมาก็เป็นได้ ในอนาคตยอดเขาเสินม่อจะมีลูกศิษย์เยอะกว่านี้ ส่วนรื่องเคล็ดวิชาบำเพ็ญเพียร เขาก็ยังจำได้ไม่น้อย ทั้งยังมีเศษม้วนคัมภีร์ของสมณะผู้ก่อตั้งวัดเฉิงกั่วอยู่อีกสองชิ้นด้วย แต่สาวน้อยจะต้องฝึกวิชาของสำนักเสวียนหลิงอย่างแน่นอน ของเหล่านี้ใช้ด้วยกันไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นหากให้ของเหล่านี้ไปมันจะก่อให้เกิดปัญหายุ่งยากบางอย่าง
จากนั้น เขาคิดถึงของขวัญที่มีประโยชน์และง่ายดายอย่างมากอย่างหนึ่ง
จิ๋งจิ่วมองสาวน้อยพลางกล่าว “ข้าสามารถช่วยเจ้าทำเรื่องเรื่องหนึ่งได้”
สาวน้อยฟังไม่เข้าใจ กล่าวถามว่า “เรื่องอะไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เจ้าคิดเอง ในตอนที่เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร เพียงบอกข้าก็พอ”
ครั้นได้ยินประโยคนี้ เจ้าล่าเยวี่ยเหลือบมองเขา สีหน้าตกใจ
นางทราบดี จิ๋งจิ่วคือผู้ที่เกิดมาเพื่อบำเพ็ญพรต มิได้มีความรู้สึกยินดียินร้ายอะไรต่อสรรพสิ่งบนโลกนี้มากนัก พูดอีกอย่างก็คือไม่ยินยอมให้เกิดความสัมพันธ์อะไรกับสรรพสิ่งบนโลกนี้
แต่เขากลับยินยอมเสนอเงื่อนไขเช่นนี้ออกมา…ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร นี่ล้วนแต่เป็นเรื่องใหญ่
เดิมสาวน้อยมิได้รู้สึกอะไร ครั้นเห็นสีหน้าของเจ้าล่าเยวี่ยถึงได้รู้ว่าตนเองโชคดีเข้าแล้ว สายตาเป็นประกายขึ้นมา กล่าวถามว่า “เรื่องอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เรื่องอะไรก็ได้”
……
……
“อะไรก็ได้ เช่นนั้นก็คืออะไรก็ล้วนแต่ไม่ได้”
ภายในกระท่อมเก่าที่เงียบเสียงมาโดยตลอดพลันมีเสียงหนึ่งดังลอดออกมา
เสียงนั้นดังกังวาน แต่กลับไม่มีความรู้สึกกดดันอะไร ทำให้คนรู้สึกอบอุ่นสบายสบายใจ แต่กลับเต็มไปด้วยพลังความน่าเชื่อถือหรือพูดอีกอย่างก็คือพลังที่ทำให้คนฟังคล้อยตาม
เหมือนดั่งเสียงระฆังในวัดเก่า
ในกระท่อมมีคนผู้หนึ่งเดินออกมา
คนผู้นั้นรูปร่างสูงใหญ่ คิ้วและดวงตาดูสุภาพอ่อนโยน แต่กลับให้ความรู้สึกเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ
พระสนมหูยิ้มเล็กน้อยทักทายคนผู้นั้น ดูค่อนข้างสนิทชิดเชื้อ
หญิงสาวแห่งสำนักเสวียนหลิงคารวะคนผู้นั้น ดูค่อนข้างเคารพยำเกรง
บุรุษรูปร่างสูงใหญ่มองสาวน้อย พลางกล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “อย่างน้อยเจ้าก็ไม่อาจขอให้เขาไปกระทำชั่ว กระทำเรื่องที่ผิดวิถีแห่งเซียน แล้วก็ไม่อาจขอให้เขาทำร้ายตัวเองได้”
เซ่อเซ่อคาดเดาได้ว่าเขาคือใคร จึงไม่ได้เอ่ยปากโต้แย้ง ในดวงตาเปล่งประกายออกมาเล็กน้อย
“ก็แค่เรื่องๆ นึง ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนี้”
จิ๋งจิ่วกล่าว
ชายหนุ่มชุดแพรผู้นั้นกล่าวเสียดสีว่า “หรือนางบอกให้เจ้าฆ่าตัวตาย เจ้าก็จะทำ?
จิ๋งจิ่วเหลือบมองดูเขาพลางกล่าว “ข้ามิใช่คนโง่เสียหน่อย”
ชายหนุ่มชุดแพรได้ยินเช่นนี้จึงโกรธเล็กน้อย กล่าวว่า “เช่นนี้จะมีความหมายอะไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ตัวข้าตัดสินใจเองได้”
ชายหนุ่มชุดแพรยิ้มเยาะพลางกล่าว “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ล้วนแต่สามารถหาเหตุผลไม่ทำได้ เช่นนั้นเจ้ารับปากเรื่องนี้มันจะมีความหมายอะไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “นางจะเชื่อข้า เพราะข้าเชื่อนาง”
“มีเหตุผล จิ๋งจิ่ว เจ้าหน้าตาดี พูดจาก็น่าฟัง”
เซ่อเซ่อปรบมือชื่นชม จากนั้นพลันกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “อย่างนี้เจ้าก็ยิ่งมิอาจไปบ้านข้าได้แล้ว ไม่อย่างนั้นข้ากลัวว่าเหล่าไท่จวินจะฆ่าเจ้าจริงๆ”
คนอื่นฟังไม่เข้าใจ แต่จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยเข้าใจ เพราะตอนที่มาชิงซานครั้งนั้น สาวน้อยเคยพูดถึงเรื่องนี้เอาไว้
ที่นางกลัวว่าเหล่าไท่จวินจะสังหารจิ๋งจิ่ว ย่อมต้องเป็นเพราะกังวลว่ามารดาของตัวเองจะชื่นชอบจิ๋งจิ่ว
“สมแล้วที่เป็นจิ๋งจิ่วที่ร่ำลือกัน ความคิดรอบคอบไม่มีช่องโหว่เลยแม้แต่น้อย”
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผู้นั้นมองมาทางจิ๋งจิ่ว
คนอื่นไม่เข้าใจความหมายของคำพูดประโยคนี้
จิ๋งจิ่วมิได้กล่าวกระไร
หลังจากนั้นคำพูดอีกสองประโยคของชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ก็ได้อธิบายเหตุผลที่เขากล่าวออกมาเช่นนั้น
“ความอาวุโสของเจ้าในชิงซานเหนือกว่าหนานซาน กอรปกับหนานซานเป็นคนใจกว้าง มาตรว่าเจ้าใช้อุบายหักกระบี่ของเขา เขาก็ยังไม่ว่าอะไรเจ้า”
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่มองดวงตาของจิ๋งจิ่วพลางกล่าวว่า “แต่ข้าไม่เหมือนหนานซาน นิสัยข้าเป็นคนตรงไปตรงมา หากมีโอกาส ข้าจะหักกระบี่ของเจ้าล้างแค้นให้เขา”
ทั้งคู่อยู่กันคนละสำนัก จิ๋งจิ่วคือผู้อาวุโสของกั้วหนานซาน แต่ไม่อาจถือเป็นผู้อาวุโสของเขา
น้ำเสียงของเขาราบเรียบเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่ามีความอ่อนโยน แต่กลับมีความรู้สึกที่ทำให้คนจำเป็นต้องเชื่อ คล้ายว่ากระบี่ของจิ๋งจิ่วได้หักไปเรียบร้อยแล้ว
เจ้าล่าเยวี่ยมองเขา ในดวงตามีประกายเย็นยะเยือกสว่างวาบออกมา
นั่นคือลำแสงกระบี่
ความหมายเรียบง่ายชัดเจน มีเพียงแค่สองอย่าง มิได้มีการปิดบังแม้แต่น้อย
นั่นคือความเป็นปรปักษ์และจิตสังหาร
คิดจะหักกระบี่จิ๋งจิ่ว?
แม้นเจ้าจะเป็นลั่วไหวหนาน
ก็ต้องสังหาร
…………………………………………………………
[1]เหล่าไทจวิน คือตำแหน่งที่มอบให้แก่มารดาของขุนนางผู้ที่ทำความดีความชอบให้แผ่นดิน