มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 4 กระบี่เข้าสู่เมืองเฉาหนาน
บางส่วนของเมืองเฉาหนานยังคงหลับใหล ควันไฟจากในครัวจำนวนนับไม่ถ้วนลอยล่องขึ้นมา พอจะจินตนาการออกเลยว่าเวลากลางวัน เมืองแห่งนี้จะคึกคักและมีชีวิตชีวาเพียงใด
จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยยืนเคียงข้างกันอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ หมวกลี่เม่าถูกโยนทิ้งไปนานแล้ว
ตอนที่เดินเท้าก่อนหน้านี้ พวกเขาถึงได้พบว่าเป็นเพราะเดินเร็วเกินไป ลมเองก็มิใช่เบา หมวกลี่เม่าถูกพัดปลิวได้ง่าย
ในเวลานี้พวกเขาใช้ผ้าพันคอสีเทาสองผืนมาพันรอบใบหน้าของตนเองเอาไว้ ดูคล้ายเหล่าสมณะของวัดเฉิงกั่วที่ไปฝึกฝนอย่างยากลำบากอยู่ในดินแดนทางเหนือ
น้ำในแม่น้ำจั๋วขุ่นมัวเป็นอย่างยิ่ง กระแสน้ำเชี่ยวกราก ทุกที่ในแม่น้ำเต็มไปด้วยกระแสน้ำที่วุ่นวายและน้ำวน ดูแล้วอันตรายยิ่งนัก อีกทั้งใครจะรู้บ้างว่าในแม่น้ำมีปีศาจอะไรแอบซ่อนอยู่?
ในอดีตเมื่อนานมาแล้ว ชาวบ้านทั้งสองฝั่งของแม่น้ำมิกล้าล่องเรือข้ามแม่น้ำ เท่ากับว่าการคมนาคมถูกตัดขาด กระทั่งสำนักชิงซานยื่นมือช่วยเหลือ ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักสั่งให้ลูกศิษย์ของยอดเขาซีไหลใช้วิชาเซียนขั้นสูงสุดเคลื่อนย้ายดินและหินมาสร้างเป็นสะพานแห่งหนึ่ง จากนั้นใช้ร่ายข่ายพลังกระบี่เอาไว้เพื่อกำราบปีศาจ เช่นนี้จึงถือเป็นการแก้ไขปัญหาจากรากฐานเบื้องต้น
เนื่องเพราะแม่น้ำจั๋วกว้างใหญ่ ดังนั้นตรงกลางของสะพานทรงโค้งแห่งนี้จึงสูงอย่างมาก โดยเฉพาะเวลาที่มีเมฆหมอกปรากฏขึ้นมา สะพานแห่งนี้จะดูคล้ายมุ่งสู่สวรรค์ก็มิปาน งดงามตระการตายิ่งนัก ดังนั้นมันจึงได้ชื่อว่าสะพานทงเทียน[1] แต่ชื่อนี้กลับมิได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับชื่อของแผ่นดินเฉาเทียน[2]แม้แต่น้อย
เมื่อยืนอยู่ริมฝั่งมองดูสะพานสูงอันงดงามตระการตา ภายในใจจิ๋งจิ่วเกิดความรู้สึกแปลกเล็กน้อย
อ่านหนังสือหมื่นเล่ม เดินทางหมื่นลี้ คำพูดที่ปราชญ์รุ่นก่อนกล่าวไว้มีเหตุผลจริงด้วย
เมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็ก เขาอ่านหนังสือครบหมื่นเล่ม ภายหลังก็เคยขี่กระบี่ไปยังหลายๆ ที่ แต่ในครานั้นเขายังมุ่งมั่นอยู่กับธรรมวิถี เวลาและสมาธิส่วนใหญ่ล้วนแต่ทุ่มให้การบำเพ็ญเพียร สถานที่ที่เคยไปยังน้อยเกินไป ทิวทัศน์ที่เคยเห็นก็มิได้มากอะไร แม้นเวลาที่ท่องไปยังโลกภายนอกจะเคยบินขึ้นไปบนฟ้าสูง แต่เขาก็มิเคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน
ในเวลานั้นเขาบินสูงที่สุด สายตาทอดมองลงมายังเบื้องล้าง ในสายตาเขา ภาพทิวทัศน์ทั้งหมดล้วนเป็นภาพเรียบแบน
ตอนนี้เขามิได้อยู่สูงขนาดนั้นแล้ว เวลามองดูทิวทัศน์จำเป็นต้องเงยหน้า รู้สึกมิค่อยสะดวกเท่าไรนัก แต่ภาพเบื้องหน้ากลับตั้งตรง ดูมีชีวิตชีวากว่าเดิมมาก
“ข้ายังจัดการธุระของวันนี้ไม่เสร็จ”
เจ้าล่าเยวี่ยยืนอยู่ริมฝั่งเป็นเพื่อนเขาครู่หนึ่ง เมื่อรู้สึกว่าเสียเวลามากแล้ว จึงเอ่ยเตือนเขา
จิ๋งจิ่วมองดูนาง รู้สึกคล้ายได้เห็นตัวเองเมื่อในอดีต จึงยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยพลางกล่าว “ไป”
การมุ่งสู่ธรรมวิถีย่อมมิใช่เรื่องผิด ไม่ว่าจะเป็นตัวเขาในอดีตหรือตัวนางในตอนนี้
แต่เมื่อเทียบกับตัวเขาในอดีต ตัวเขาในตอนนี้มีสิทธิ์และเวลาที่จะมาดูวิวทิวทัศน์ที่ในอดีตได้เคยพลาดไป
เพียงแต่สิทธิ์ที่เขาได้รับมานี้ ทุกคราที่คิดถึงมัน เขามักจะรู้สึกไม่สบอารมณ์ กระทั่งรู้สึกเจ็บปวด
……
……
สะพานทงเทียนเก่าแก่โบราณ บนพื้นสะพานล้วนเต็มไปด้วยรอยแตก บางแห่งมีรูแตกขนาดเท่ากำปั้น สามารถมองเห็นผิวน้ำที่อยู่เบื้องล่าง ดูแล้วค่อนข้างน่าหวาดกลัว แต่เมื่อสัมผัสถึงความรู้สึกแข็งแรงแน่นหนาที่แผ่ขึ้นมาจากใต้เท้า อีกทั้งกลิ่นอายของข่ายพลังกระบี่ที่แผ่กระจายออกมาบางๆ จิ๋งจิ่วเชื่อว่าต่อให้ถูกลมฝนโหมกระหน่ำไปอีกหลายพันปี สะพานหินที่อยู่เก่าแก่แห่งนี้ก็ไม่มีทางเกิดปัญหา ต่อให้ปีศาจที่อยู่ในแม่น้ำจั๋วกรูกันเข้ามาโจมตี ก็ไม่มีทางทำอะไรสะพานแห่งนี้ได้
ยิ่งเดินเข้าไปกลางแม่น้ำ พื้นสะพานก็ยิ่งสูงขึ้น ระยะห่างจากผิวน้ำค่อยๆ ห่างเป็นร้อยกว่าจ้าง สถานที่ที่สามารถมองเห็นได้ก็ยิ่งไกลออกไป
เจ้าล่าเยวี่ยชี้ไปยังหน้าผาสีขาวที่อยู่ตรงต้นน้ำ กล่าวว่า “รอยพวกนั้นเป็นรอยที่กุ่ยมู่หลิงชนใส่”
จิ๋งจิ่วรู้จักปีศาจชนิดนี้ดี กุ่ยมู่หลิงเป็นปีศาจที่ดุร้ายน่ากลัวอย่างมากชนิดหนึ่ง มันชื่นชอบกินมนุษย์ ชายหญิงคนชราเด็กเล็กล้วนกินไม่เลือก ส่วนในข่าวลือที่บอกว่ามันชื่นชอบกินเด็กเล็ก ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ชาวบ้านแต่งเติมเพื่อให้น่ากลัวยิ่งขึ้น
ปัญหาอยู่ที่ว่าในอดีตหลังจากกุ่ยมู่หลิงเริ่มทำชั่วในแม่น้ำจั๋วได้ไม่นาน สำนักชิงซานก็เริ่มเคลื่อนไหว มันถูกลูกศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่างรุ่นก่อนสังหารจนสิ้นไปนานแล้ว เขาจำได้ว่าเวลานั้นเหลยพั่วอวิ๋นที่ยังเป็นหนุ่มก็เข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้ด้วย เหตุใดหลังผ่านมาหลายปี ปีศาจตนนี้กลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่?
แต่ที่ผ่านมามีคำกล่าวที่ว่าปีศาจที่อยู่ในแม่น้ำจั๋วล้วนแต่มาจากทะเลตะวันตก ส่วนก่อนที่จะมายังทะเลตะวันตก ปีศาจเหล่านั้นอาจจะมาจากเส้นขอบฟ้าซึ่งเป็นหนึ่งในน้ำวนขนาดใหญ่ทั้งสาม ว่ากันว่าในส่วนลึกของน้ำตกตรงเส้นขอบฟ้าสามารถทะลุไปยังดินแดนหมิงได้
เช่นนี้แล้ว มันก็มีความเป็นไปได้สูงที่ปีศาจเหล่านี้จะเป็นปีศาจที่ดินแดนหมิงสั่งการให้เข้ามา อย่างนั้นการที่มีปีศาจปรากฏตัวขึ้นทุกๆ หลายสิบปีไปจนถึงร้อยปีก็ถือเป็นเรื่องปกติ
จิ๋งจิ่วไม่เคยไปยังดินแดนหมิง แล้วก็ไม่รู้ว่าสมมติฐานเหล่านี้เป็นจริงหรือเท็จ เขาครุ่นคิดว่าต่อไปหากมีโอกาส เขาควรจะไปยังแผ่นดินแห่งนั้นแล้วลองถามคนทางนั้นดูดีกว่า
……
……
ทางตะวันตกของเมืองเฉาหนานมีสิ่งก่อสร้างสูงเก้าชั้นอยู่แห่งหนึ่ง ภายนอกเป็นสีเทา ดูมิได้สะดุดตาอะไร แต่มันกลับเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงอย่างมาก
ที่แห่งนี้คือเรือนประมูลที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลหนานเหอ —- เรือนเป่าซู่[3]
เวลารุ่งสาง ด้านหน้ากำแพงสีเทาของเรือนเป่าซู่มีคนที่ใช้ผ้าสีเทาโพกหน้าสองคนปรากฏกายขึ้น ดูค่อนข้างแปลกประหลาด ดึงดูดสายตาคนที่ผ่านไปผ่านมาได้ไม่น้อย
บนท้องฟ้าที่ไกลออกไปมีลำแสงกระบี่หลายสายบินเข้ามา ทั้งยังคล้ายได้ยินเสียงสัญญาณเตือน
จิ๋งจิ่วกล่าว “ไม่ดีจริงๆ ด้วย”
ก่อนหน้านี้ไม่นาน เจ้าล่าเยวี่ยขี่กระบี่พาเขาฝ่าเข้ามาทางกำแพงเมืองทิศตะวันตก นั่นย่อมต้องทำให้เจ้าหน้าที่และผู้บำเพ็ญพรตของเมืองเฉาหนานแตกตื่นขึ้นมา
เจ้าล่าเยวี่ยมองเขา พลางกล่าวว่า “หรือจะให้รอจนฟ้ามืด? พวกเราไม่มีเวลามากขนาดนั้น”
จิ๋งจิ่วคิดในใจเช่นนั้นทำอย่างไรดี? ผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่ในเมืองเฉาหนานขี่กระบี่บินไล่ตามมาแล้ว หรือพวกเขาต้องเปิดเผยสถานะ?
ในอดีตเวลาที่เขาขี่กระบี่บินท่องเที่ยว น้อยครั้งนักที่เขาจะแวะลงในเมือง ตอนที่ไปยังเมืองเจาเกอก็ล้วนแต่เป็นฮ่องเต้ออกมาต้อนรับ ไหนเลยจะเคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้
“แค่เข้าไปได้ก็พอ”
เจ้าล่าเยวี่ยพาเขาเดินเข้าไปในเรือนเป่าซู่
“ที่นี่ืคือที่ไหน?”
“เรือนประมูล หัวหน้าผู้ดูแลเป็นคนธรรมดา แต่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังของที่นี่มีอิทธิพลอย่างมาก ในเมืองเฉาหนานไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกิน”
จิ๋งจิ่วถาม “เบื้องหลังของเขา?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “คือพวกเรา”
จิ๋งจิ่วถึงได้รู้ว่าแท้ที่จริงเรือนประมูลแห่งนี้คือธุรกิจในโลกภายนอกของสำนักชิงซาน
หลังผ่านประตูลับบนกำแพงสีเทา ทั้งสองคนก็เดินเข้าไปในเรือนเป่าซู่
ผู้ดูแลที่เข้ามาต้อนรับพวกเขาอายุประมาณสี่สิบ ไว้หนวดเส้นเรียวเล็กคู่หนึ่ง ดวงตามีชีวิตชีวา ดูแล้วคล้ายหนู แต่กลับมิได้ให้ความรู้สึกปลิ้นปล้อนกลับกลอก
ผู้ดูแลคนนั้นมองดูทั้งสองคนที่ใช้ผ้าสีเทาโพกใบหน้าเอาไว้ จากนั้นยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “รบกวนท่านทั้งสองช่วยเปิดเผยใบหน้าได้หรือไม่?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ไม่ได้”
ผู้ดูแลคนนั้นมิได้ดึงดัน หากแต่ชี้ไปยังด้านนอกตึกแล้วกล่าวว่า “กระบี่บินเหล่านั้น?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ถูกต้อง พวกนั้นมาหาพวกข้า”
“เช่นนั้นท่านคงจะทราบกฎดี เรือนเป่าซู่ทำได้เพียงรับประกันความปลอดภัยของแขกที่อยู่ภายใน หากท่านออกไปแล้ว พวกเรามิสามารถคุ้มครองอะไรท่านได้อีก”
ผู้ดูแลคนนั้นมองนาง ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “แต่แน่นอน สิ่งแรกที่จำเป็นต้องทำให้แน่ใจก่อนก็คือ ท่านใช้แขกของพวกเราหรือไม่”
หากคิดอยากเป็นแขกของเรือนเป่าซู่นั้นแสนง่ายดาย แต่ก็เรียกได้ว่าแสนยากลำบากเช่นกัน
ที่บอกว่าแสนง่ายดายนั้นเป็นเพราะขอเพียงจ่ายเงินจำนวนหนึ่ง ก็จะได้รับป้ายไม้ของเรือนเป่าซู่
ผู้ใดก็ตามที่ถือแผ่นป้ายไม้นี้ จะสามารถประมูลของล้ำค่าในเรือนเป่าซู่ได้ โดยเรือนเป่าซู่จะหักค่าใช้จ่ายเอาไว้สองส่วน
ส่วนที่บอกว่ายากลำบาก นั่นเป็นเพราะตัวเลขของเงินจำนวนนี้มันสูงลิบจนชาวบ้านธรรมดายากที่จะจินตนาการได้ ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญพรตบางคนก็ยังมิแน่ว่าจะมีปัญญาจ่ายเงินจำนวนนี้ได้
เมื่อมีประสบการณ์จากตอนที่ไปพักโรงเตี๊ยม เจ้าล่าเยวี่ยก็มองไปทางจิ๋งจิ่ว
จิ๋งจิ่วครุ่นคิด ก่อนจะหยิบใบไม้ทองคำกำหนึ่งออกมาวางไว้ตรงหน้าผู้ดูแล
ใบไม้ทองคำจำนวนนี้เพียงพอที่จะซื้อคฤหาสน์หลังใหญ่ในเมืองเฉาหนาน
แต่บนใบหน้าผู้ดูแลคนนั้นกลับเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยขึ้นมา
…………………………………………………………….
[1]ทงเทียน แปลว่า ผ่านฟ้า
[2]เฉาเทียน แปลว่า มุ่งสู่สวรรค์
[3]เป่าซู่ หมายถึง ต้นไม้แห่งอัญมณีทั้งเจ็ด