มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 30 ไฟแค้นเผาไม่หมดสิ้น ความชิงชังอันแสนยาวนาน
ภายใต้การจับจ้องของดวงตาที่ตกตะลึงจำนวนนับไม่ถ้วน หลิ่วสือซุ่ยมาถึงลานประลอง
เขาก้มหน้า ผมเผ้าอันยุ่งเหยิงบดบังดวงตาเอาไว้ ดูคล้ายนักโทษอย่างไรอย่างนั้น
“เจ้ามาทำอะไร?”
ผู้อาวุโสไป๋หรูจิ้งมองดูเขาพลางตะคอกเสียงดัง สีหน้าดูย่ำแย่ยิ่งนัก
เป็นถึงผู้อาวุโสขั้นแหวกทะเลของยอดเขาเทียนกวง แต่กลับสั่งสอนศิษย์เนรคุณที่แอบกินตานปีศาจออกมา นี่เรียกได้ว่าเป็นความอับอายที่สุดในชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้
หลิ่วสือซุ่ยมิได้เงยหน้า เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อย “ศิษย์อยากขอเข้าร่วมทดสอบกระบี่ด้วย”
ไป๋หรูจิ๋งสีหน้ายิ่งเยือกเย็น เขาตะคอกว่า “เจ้ามีสิทธิ์อะไรจะมาเข้าร่วมทดสอบกระบี่? ยังไม่รีบถอยไปอีก!”
“อาจารย์…ข้ายังเป็นศิษย์ชิงซาน เหตุใดจึงเข้าร่วมมิได้?”
หลิ่วสือซุ่ยยังคงก้มหน้า เสียงยังคงแหบเล็กน้อย
เห็นสภาพของเขาในตอนนี้ ฟังเสียงของเขาในเวลานี้ ศิษย์หลายคนเกิดความรู้สึกเห็นใจ
ศิษย์ผู้หญิงบางส่วนของยอดเขาชิงหรงเกิดความรู้สึกปวดใจขึ้นมา
เจี่ยนหรูซานมองหลิ่วสือซุ่ย ยิ้มเยือกเย็นพลางกล่าวว่า “ตอนนั้นเจ้าแอบกินตานปีศาจ ทำให้พี่ชายของข้าต้องถูกขังเอาไว้โดยไร้ความผิด อีกทั้งยังเคยทำผิดเรื่องอื่นเอาไว้อีก หากมิเป็นเพราะเหล่าอาจารย์หาหลักฐานไม่เจอ เวลานี้เจ้าคงถูกทำลายสภาวะและถูกขับออกจากสำนักไปแล้ว ตอนนี้เจ้ายังมีหน้าปรากฏออกมา ยังมีหน้ามาถามว่าทำไมอย่างนั้นหรือ!”
หลิ่วสือซุ่ยนิ่งเงียบมิกล่าวกระไร และมิได้สนใจเขา หากแต่รอคอยคำตอบของไป๋หรูจิ้ง
เจี่ยนหรูซานพลันหัวร่อขึ้นมา ก่อนจะกล่าวเยาะเย้ยว่า “ในเมื่อเจ้าคิดจะเข้าร่วมการทดสอบกระบี่ให้ได้ และข้าก็อยู่ตรงนี้พอดี เช่นนั้นพวกเรามาลองสู้กันดูสักตั้งเป็นอย่างไร?”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็เรียกกระบี่บินของตัวเองออกมา
นั่นคือกระบี่บินที่หลอมขึ้นมาจากทองคำดำ ความยาวสองฉื่อครึ่ง ส่งเสียงดังวูมๆ กำลังสั่นสะเทือนด้วยความเร็วที่ไม่อาจมองได้ชัดด้วยตาเปล่า
หลิ่วสือซุ่ยพลันโบกมือ
แขนเสื้อเก่าๆ มีเสียงฉีกขาดดังขึ้นมา
ลมพัดกระโชกอย่างรุนแรง
แสงสว่างจำนวนหลายสายพุ่งออกมาจากแขนเสื้อ โบกสะบัดเข้าใส่เจี่ยนหรูซาน
เสียงเคร้งเสียงหนึ่งดังชัดเจน
กระบี่ทองคำดำบินเอียงออกไป
เสียงผัวะๆๆๆ ดังขึ้นมาหลายเสียง
เจี่ยนหรูซานถูกโจมตีจนกระเด็นลอยออกไปหลายสิบจ้าง ร่างกายกระแทกเข้ากับหน้าผา ปากกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง ไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้อีก
บนร่างกายของเขามีรอยแตกปรากฏขึ้นมาหลายรอย ดูชัดเจนอย่างมาก
“พายุกระบี่!”
“กระบี่แยกจาก!”
ในลานประลองมีเสียงอุทานตกใจดังขึ้นมา
อาจารย์บางคนตกใจจนทะลึ่งตัวลุกขึ้นยืน
แม้แต่เจ้าแห่งยอดเขาชิงหรง สีหน้าก็ยังแปรเปลี่ยนเป็นคร่ำเคร่งขึ้นมา
ไม่ว่าจะเป็นพายุกระบี่หรือกระบี่แยกจากก็ล้วนแต่ฝึกฝนได้ยากยิ่ง เพราะมันจำเป็นต้องมีเงื่อนไขที่สำคัญข้อหนึ่งก่อน
ถูกต้อง เจตน์กระบี่หลอมกายาของหลิ่วสือซุ่ยมิใช่ขั้นต้น หากแต่ฝึกสำเร็จไปแล้วถึงเจ็ดส่วน
ในห้องหินที่เงียบเหงาและโดดเดี่ยวบนยอดเขาเทียนกวงนั้นไม่มีใครเข้าไปเยี่ยมเยือน แล้วก็มิได้มีเจตน์กระบี่อันรุนแรงเป็นจำนวนมากเหมือนอย่างยอดเขาอวิ๋นสิง
แต่ภายในใจเขามีเปลวไฟที่ชื่อว่าไม่ยินยอมกำลังลุกโชน
เปลวไฟนั้นแผดเผาเขามาเป็นเวลาสองปีเต็ม เผาจนทุกค่ำคืนเขายากที่จะข่มตานอนได้
“เจ้ากล้าแอบลอบโจมตีอย่างนั้นรึ!”
ไป๋หรูจิ้งโมโหจนถึงขีดสุด กล่าวตะคอกว่า “วันนี้ข้าจะทำลายสภาวะของเจ้าซะ!”
ดูแล้วเหมือนจะกลายเป็นละครอันน่าหดหู่ระหว่างศิษย์และอาจารย์ แต่ทันใดนั้นกลับมีคนมาห้ามไว้
“ผู้อาวุโสไป๋ ช้าก่อน”
ฉือเยี่ยนกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “ข้าเห็นอย่างชัดเจน คนที่กล่าวคำท้าคือเจี่ยนหรูซาน คนที่ออกกระบี่ก่อนคือเจี่ยนหรูซาน แล้วจะบอกว่าหลิ่วสือซุ่ยแอบลอบโจมตีได้อย่างไร?”
ตามกฎการทดสอบกระบี่ของชิงซาน หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเรียกกระบี่ออกมา ก็เท่ากับเป็นการบอกให้เริ่มการประลองได้
ฉือเยี่ยนเป็นผู้อาวุโสแห่งยอดเขาซั่งเต๋อ คำอธิบายเรื่องกฎของสำนักย่อมไม่มีทางผิดพลาด
ปัญหาอยู่ที่ว่า เหตุใดเขาต้องช่วยหลิ่วสือซุ่ยด้วย?
ผ่านไปครู่หนึ่งเหล่าศิษย์ถึงได้เข้าใจว่านี่น่าจะเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งระหว่างทั้งสองยอดเขา
ยอดเขาเทียนกวงมีศิษย์เนรคุณอย่างหลิ่วสือซุ่ยปรากฏขึ้นมา คนของยอดเขาซั่งเต๋อย่อมต้องยินดีเป็นที่สุด
ในชิงซาน ความสัมพันธ์ระหว่างยอดเขาเทียนกวงและยอดเขาซั่งเต๋อซับซ้อนมาโดยตลอด
ทุกคนต่างรู้ถึงสาเหตุ เพียงแต่ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยออกมา
เจ้าแห่งยอดเขาและเหล่าผู้อาวุโสบนแท่นหินยังคงนิ่งเงียบ เหล่าลูกศิษย์ไหนเลยจะกล้าออกเสียง
“เจ้าพูดถูก ขอเพียงเจ้ายังไม่ถูกขับออกจากสำนัก ก็ยังถือเป็นศิษย์ชิงซานอยู่ มีสิทธิ์จะเข้าร่วมทดสอบกระบี่ได้”
ฉือเยี่ยนมองหลิ่วสือซุ่ยด้วยสีหน้าเรียบร้อยพลางกล่าวว่า “แต่เจ้าน่าจะรู้ การจับฉลากนั้นเสร็จสิ้นไปแล้ว”
หลิ่วสือซุ่ยก้มหน้ากล่าวว่า “ข้าต้องการระบุชื่อ”
เจี่ยนหรูซานสามารถระบุชื่อท้าสู้ได้ อย่างนั้นเขาก็ย่อมทำได้เหมือนกัน
ฉือเยี่ยนนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะถามว่า “เจ้าอยากระบุชื่อใคร?”
หลิ่วสือซุ่ยเงยหน้าขึ้นมา มองไปยังที่ๆ หนึ่งบนหน้าผา
ดวงตาเขาเป็นประกายยิ่งนัก ผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงเหมือนฟางหญ้าของเขาไม่อาจปิดบังเอาไว้ได้
“ศิษย์พี่…เจี่ยนหรูอวิ๋น”
เสียงฮือฮาดังขึ้นมา
เหล่าศิษย์ที่อยู่รอบป่าหินตกตะลึง
สองปีก่อน เป็นเพราะหลิ่วสือซุ่ยแอบกินตานปีศาจ สลบไสลมิได้สติ เจี่ยนหรูอวิ๋นจึงถูกลากเข้าไปพัวพัน โดนขังอยู่ในห้องหินเป็นเวลาครึ่งปี เวลานี้หลิ่วสือซุ่ยมิได้ไตร่ตรองเลยว่าตนเองผิดตรงไหน แล้วกลับคิดจะท้าอีกฝ่ายสู้ นี่มันช่างน่าขันเสียจริง หรือเขาคิดว่าที่ตนเองตกอยู่ในสภาพแบบนี้นั้นเป็นความผิดของอีกฝ่ายจริงๆ?
……
……
ลำแสงกระบี่ขยับเล็กน้อย เจี่ยนหรูอวิ๋นลงมายังลานประลอง เขามองหลิ่วสือซุ่ยพลางกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ศิษย์น้องหลิว ไยต้องทำเช่นนี้ด้วย? หรือเจ้ายังคิดว่านั่นเป็นความผิดของข้า? ถูกต้อง ข้ามิได้ดูแลเจ้าให้ดีจริงดั่งว่า ปล่อยให้เจ้าทำผิดพลาดอย่างมหันต์ แต่ว่า…สุดท้ายแล้วคนทำผิดมันก็เป็นตัวเจ้าเอง”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวอย่างโมโหว่า “อย่างนั้นหรือ? คนที่ผิดมันคือตัวข้าจริงๆ อย่างนั้นหรือ?”
เจี่ยนหรูอวิ๋นสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
หลิ่วสือซุ่ยจ้องมองดวงตาเขาพลางกล่าว “ท่านรู้ดีว่าตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้น แต่ท่านมิเคยพูดมันออกมา ตอนนั้นเห็นๆ อยู่ว่า…”
“พูดไปมันก็ไร้ประโยชน์ ในเมื่อเจ้าคิดว่าเป็นความผิดของข้า เช่นนั้นก็เข้ามา แต่ข้าขอบอกเจ้าไว้ก่อน ต่อให้เจ้าจะกินตานปีศาจเข้าไปแล้ว เจ้าก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าอยู่ดี”
เจี่ยนหรูอวิ๋นพลันพูดขัดจังหวะเขา มิรู้เพราะเหตุใดใบหน้าจึงขาวซีดขึ้นมาเล็กน้อย
หลิ่วสือซุ่ยนิ่งเงียบไปครู่ กล่าวว่า “นั่นสิ ในสองปีมานี้ คำพูดเหล่านี้ข้าได้พูดไปแล้วหลายครั้ง แต่กลับไม่มีใครเชื่อข้าเลย เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก”
กล่าวจบประโยคนี้ เขาก็มิได้กล่าวอะไรอีก หากแต่เหยียบกระบี่บินขึ้นไปบนเสาหินแท่งหนึ่งที่อยู่ทางตะวันตก
เจี่ยนหรูอวิ๋นเลิกคิ้วเล็กน้อย มิได้กล่าวกระไร เขาขี่กระบี่ขึ้นไปยังเสาหินต้นหนึ่งที่อยู่ฝั่งตะวันออก
เสาสองต้นอยู่ห่างกันสามร้อยกว่าจ้าง
เจี่ยนหรูอวิ๋นเป็นศิษย์อันดับที่สี่ของยอดเขาเหลี่ยงว่าง วิถีกระบี่ฝึกฝนจนลึกล้ำสูงส่ง ได้ยินว่าตอนถูกขังอยู่ในห้องหินครึ่งปี สภาวะของเขาได้บรรลุขึ้นไปอีก เวลานี้อยู่ระดับมิประจักษ์ขั้นสูงแล้ว
หากให้เวลาเขาอีกสักสองสามปี ไม่แน่อาจจะมองเห็นบานประตูของขั้นคเนจรก็เป็นได้
นอกจากพวกกั้วหนานซานและจัวหรูซุ่ยที่เก็บตัวอยู่บนยอดเขาเทียนกวงแล้ว ในศิษย์รุ่นที่สามยังจะมีผู้ใดเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อีก?
รอบป่าหินเงียบสงัด
ทุกคนต่างคิดว่าหลิ่วสือซุ่ยไม่มีโอกาสใดๆ จะเอาชนะได้เลย แม้นเขาจะฝึกเจตน์กระบี่หลอมกายาสำเร็จไปได้ถึงเจ็ดส่วน ทั้งยังฝึกฝนพายุกระบี่ได้สำเร็จอีกก็ตาม
แต่หลังจากนั้นความเงียบพลันถูกทำลาย ทั่วทั้งยอดเขาล้วนแต่มีเสียงอุทานตกใจดังขึ้น โดยเฉพาะบนแท่นหินที่มีเหล่าอาจารย์ของยอดเขาทั้งเก้านั่งอยู่
เพราะหลิ่วสือซุ่ยปล่อยกระบี่ออกมาแล้ว
มิได้เป็นเพราะกระบี่ของเขาน่ากลัวหรืออย่างไร ในทางกลับกัน กระบี่ของเขานิ่งสงบอย่างมาก
การใช้คำว่านิ่งสงบมานิยามกระบี่บินเช่นนี้ถือเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดยิ่งนัก
กระบี่ของหลิ่วสือซุ่ยลอยไปข้างหน้า
เชื่องช้าอย่างมาก
คล้ายกับแบกรับน้ำหนักอันมหาศาลเอาไว้
หนักอึ้งดั่งเจตน์จำนงของสวรรค์
……
……
ไป๋หรูจิ้งสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
นี่ย่อมต้องเป็นเพลงกระบี่ที่เขาสอนให้แก่หลิ่วสือซุ่ย
แต่ปัญหาคือเขาสอนให้หลิ่วสือซุ่ยเพียงครึ่งปี คิดไม่ถึงว่าหลิ่วสือซุ่ยจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของเคล็ดกระบี่แบกสวรรค์แล้ว
เขาพลันรู้สึกเสียใจขึ้นมา
………………………………………………………….