มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 29 รอดูผีที่มาจากทางขึ้นเขา
ศิษย์ทั้งสองคนยืนอยู่บนเสาหิน ห่างกันร้อยกว่าจ้าง
ศิษย์ที่เป็นเด็กหนุ่มนั้นมาจากยอดเขาปี้หู อยู่ในสภาวะสมความนึกคิด
ศิษย์วัยกลางคนมาจากยอดเขาเทียนกวง เป็นศิษย์คนที่สองของผู้อาวุโสมั่ว บรรลุสู่ขั้นมิประจักษ์ได้นานแล้ว
ความแตกต่างกันระหว่างสภาวะยากที่จะชดเชยได้ การที่จิ๋งจิ่วสามารถเอาชนะกู้ชิงได้ที่ธารสี่เจี้ยนเมื่อสามปีก่อนนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก
กระบี่บินของศิษย์ขั้นสมความนึกคิดสามารถบินได้ในระยะหลายสิบจ้าง แต่ระยะสังหารของกระบี่ของศิษย์ที่บรรลุขั้นมิประจักษ์ไกลกว่านั้นหลายเท่านัก
ตามหลักแล้ว ศิษย์จากยอดเขาปี้หูผู้นั้นไม่มีโอกาสที่จะเอาชนะได้เลย แต่เขาจะยอมแพ้ได้อย่างไร?
ลำแสงกระบี่อันเจิดจ้าสายหนึ่งพุ่งเข้ามาจากระยะร้อยกว่าจ้าง จนมาถึงตรงหน้าเขา
ศิษย์จากยอดเขาปี้หูไม่สามารถโจมตีกลับ จึงได้แต่ต้องบังคับกระบี่บินขึ้นไป หลบได้อย่างเฉียดฉิวครั้งแล้วครั้งเล่า ปราณกระบี่เคลื่อนตัวอย่างฉับพลัน พุ่งตัวไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด
เขาจำเป็นต้องร่นระยะห่างระหว่างตนเองกับอีกฝ่าย ถึงจะสามารถแสดงพลังของกระบี่ของตัวเองออกมาได้
ลำแสงกระบี่อันเจิดจ้าวกกลับ ก่อนจะฟันลงมาอีกครั้ง
ศิษย์ยอดเขาปี้หูขี่กระบี่พุ่งลงไปในทะเลหมอกที่อยู่ด้านล่างป่าหิน เขาหลบการโจมตีครั้งนี้ได้อย่างเฉียดฉิวอีกครั้ง
ลำแสงกระบี่อันเจิดจ้าเฉียดผ่านเสาหินไป ทำเอาเศษหินหล่นร่วงลงไปราวกับสายฝน
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ ด้านล่างป่าหินพลันมีเสียงอุทานตกใจดังขึ้นมา
ทุกคนชื่นชอบในความกล้าของศิษย์จากยอดเขาปี้หู แต่ก็กังวลเรื่องความปลอดภัยของเขาเช่นเดียวกัน
เพราะเมฆหมอกคอยบดบังทัศนวิสัยเอาไว้ การขี่กระบี่บินอยู่ในนั้นอันตรายอย่างมาก เขาอาจชนกับเสาหินได้ทุกเมื่อ
“มาแล้ว!” จู่ๆ พลันมีคนตะโกนขึ้นมา
ในมุมหนึ่งของทะเลหมอกพลันนูนขึ้นมา
ศิษย์จากยอดเขาปี้หูขี่กระบี่บินพุ่งออกมา ระยะห่างจากศิษย์ยอดเขาเทียนกวงเหลือเพียงแค่สิบกว่าจ้าง ร่างกายเขารายรอบไปด้วยเมฆหมอก ในนั้นคล้ายมีสายฟ้าแลบแปลบๆ
เขาเตรียมพร้อมโจมตีตั้งแต่ตอนที่อยู่ในทะเลหมอก รวบรวมปราณกระบี่ทั้งร่างกายเอาไว้เพื่อการโจมตีครั้งสุดท้ายนี้!
ศิษย์จากยอดเขาเทียนกวงเห็นภาพเหตุการณ์นี้ ในดวงตาเผยให้เห็นสายตาชื่นชม เขามิได้ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย สองนิ้วประกบเข้าด้วยกัน ร่ายเคล็ดกระบี่ออกมาอีกครั้ง
จู่ๆ ลำแสงกระบี่อันเจิดจ้าพลันปรากฏขึ้นที่ด้านล่างเมฆหมอก คล้ายว่ารอคอยอยู่ตรงนั้นมาโดยตลอด
ศิษย์ยอดเขาปี้หูโต้ตอบไม่ทัน เขาฝืนขี่กระบี่หมุนหลบ ก่อนจะชนเข้ากับเสาหินต้นหนึ่งอย่างแรง
เสียงทึบๆ ดังนั้น เสาหินย่อมมิสะเทือน ใบหน้าศิษย์ผู้นั้นอาบไปด้วยโลหิต สลบไสลมิได้สติ ร่างกายร่วงตกลงไปด้านล่าง
มิรอให้อาจารย์เข้าช่วยเหลือ ศิษย์จากยอดเขาเทียนกวงผู้นั้นเหยียบกระบี่ ก่อนจะพุ่งไปรับตัวเขาเอาไว้ก่อนจะที่ตกลงไปในทะเลหมอก
เสียงโห่ร้องชื่นชมดังสะท้อนไปทั่วยอดเขา
……
……
การทดสอบกระบี่รอบแรกเข้าสู่ช่วงครึ่งทาง ในการทดสอบกระบี่ที่จบไปแล้ว ศิษย์จากยอดเขาเทียนกวงและยอดเขาปี้หูแสดงความสามารถได้ยอดเยี่ยมที่สุด สถานการณ์คล้ายกับในอดีต ผลงานของยอดเขาอวิ๋นสิงเองก็ไม่เลวเช่นกัน ยอดเขาซีไหลและยอดเขาซื่อเยวี่ยยังคงมิถนัดในการประลองกระบี่ เหล่าศิษย์ของทั้งสองยอดเขารวมกันแล้วชนะไปเพียงแค่สามคน สิ่งที่ทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกใจก็คือวันนี้ยอดเขาชิงหรงแสดงความสามารถได้ย่ำแย่อย่างมาก ศิษย์หญิงเจ็ดคนที่ถูกส่งออกมาล้วนแต่พ่ายทั้งหมด
เมื่อมีอาจารย์จากยอดเขาซื่อเยวี่ยคอยรักษาอาการบาดเจ็บให้กับศิษย์ที่พ่ายแพ้เหล่านั้น ถึงแม้ศิษย์เหล่านั้นจะผิดหวังอยู่บ้าง แต่บนใบหน้ากลับมิได้มีอารมณ์ที่ย่ำแย่อะไรมากนัก ศิษย์ที่ได้รับชัยชนะเองก็มิได้แสดงความหยิ่งผยองออกมา เพราะอันที่จริงก็เป็นการประลองระหว่างศิษย์สำนักเดียวกัน อีกทั้งทุกคนต่างรู้ว่านอกจากเยาซงซานแล้ว เหล่าศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่างยังมิได้ลงมาประลองเลย
คนร่างกายสูงใหญ่ที่เดินลงมายังลานประลองเป็นคนต่อไปทำให้เกิดเสียงพูดคุยกระซิบกระซาบดังขึ้นมา
ศิษย์ที่รูปร่างสูงใหญ่ผู้นี้มีนามว่าเจี่ยนหรูซาน เป็นศิษย์อันดับที่สี่สิบหกของยอดเขาเหลี่ยงว่าง และที่มากไปกว่านั้นก็คือ — เขาเป็นน้องชายของเจี่ยนหรูอวิ๋น
เจี่ยนหรูอวิ๋นเป็นศิษย์อันดับที่สี่ของยอดเขาเหลี่ยงว่าง ถือเป็นผู้ที่แข็งแกร่งในบรรดาศิษย์รุ่นที่สามอย่างมิต้องสงสัย วิถีกระบี่ฝึกฝนจนสูงส่ง แล้วก็ค่อนข้างเป็นที่เคารพของศิษย์ร่วมสำนัก
เมื่อสองปีก่อน หลิ่วสือซุ่ยสลบไสลมิได้สติที่แม่น้ำจั๋ว ก่อนจะถูกส่งตัวกลับมายังชิงซาน เจี่ยนหรูอวิ๋นซึ่งเป็นผู้นำเหล่าศิษย์ชิงซานออกไปกำจัดปีศาจในเวลานั้นถูกยอดเขาซั่งเต๋อลงโทษขังอยู่ในห้องหินเป็นเวลาครึ่งปี ขณะนั้นมีหลายคนรู้สึกว่าการลงโทษนี้ช่างไร้เหตุผล หลังจากหลิ่วสือซุ่ยตื่นขึ้นมา เขาก็ถูกสงสัยว่ากินตานปีศาจของกุ่ยมู่หลิงลงไป เหล่าศิษย์ยิ่งรู้สึกว่าเจี่ยนหรูอวิ๋นมิได้รับความเป็นธรรม จึงรู้สึกไม่พอใจแทนเขา
สภาวะของเจี่ยนหรูซานมิอาจเทียบพี่ชายของเขาได้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังมีอันดับอยู่ในยอดเขาเหลี่ยงว่าง จึงมิอาจดูแคลนเขาได้
ศิษย์หลายคนกำลังครุ่นคิด มิรู้ว่าใครกันนะที่เป็นผู้โชคร้าย ต้องจับฉลากมาเจอกับศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างคนที่สอง
เจี่ยนหรูซานพลันกล่าวขึ้นมา “ข้าอยากระบุชื่อ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เหล่าลูกศิษย์ต่างรู้สึกตกใจ
งานชุมนุมซื่อเจี้ยนของชิงซานจะดำเนินการประลองตามลำดับที่จับฉลากได้ แต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่เหมือนกัน นั่นคือการขอท้าสู้โดยระบุชื่อ
ในเมื่อเป็นการท้าสู้โดยระบุชื่อก็ย่อมไม่มีใครกล้าเลือกศิษย์ที่อ่อนแอกว่าคน หากจะเลือกก็จะเลือกคู่ต่อสู้ที่ได้รับการยอมรับว่ามีความสามารถและสภาวะที่เหนือกว่าตน
เจี่ยนหรูซานเตรียมจะท้าสู้ใคร?
ทุกคนต่างสังเกตเห็นว่าสายตาของเขากำลังมองไปยังแท่นหินทั้งเก้าที่อยู่บนหน้าผา ในใจครุ่นคิดหรือเขาจะท้าสู้กับศิษย์พี่ที่มาจากยอดเขาเดียวกัน?
ผู้ที่นั่งอยู่บนแท่นหินล้วนแต่เป็นอาจารย์จากแต่ละยอดเขา มีเพียงศิษย์จากยอดเขาเหลี่ยงว่างเท่านั้นที่จะถูกเลือกได้
เจี่ยนหรูซานมองไปยังแท่นหินที่อยู่ไกลสุด ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบว่า “ข้าขอท้าอาจารย์อา…จิ๋งจิ่ว”
ในกลุ่มคนมีเสียงฮือฮาดังขึ้นมา
ระหว่างคำว่าอาจารย์อากับจิ๋งจิ่ว เจี่ยนหรูซานจงใจเว้นช่วงเอาไว้ ไม่ว่าผู้ใดต่างก็ฟังออกถึงความเป็นศัตรูในน้ำเสียงเขา
ศิษย์หลายคนคิดถึงข่าวลือนั้นขึ้นมา ว่ากันว่าจิ๋งจิ่วและหลิวสือซุ่ยในอดีตเคยเป็นนายกับบ่าว หรือเจี่ยนหรูซานคิดจะแก้แค้นให้กับพี่ชายของตน?
สายตานับไม่ถ้วนมองไปยังจิ๋งจิ่ว
จิ๋งจิ่วมิได้ตอบอะไร หากแต่ยังมองไปยังทางขึ้นเขาที่อยู่ไกลออกไปเส้นนั้น
เจี่ยนหรูซานยิ้มเยือกเย็น กล่าวว่า “ทำไมหรือขอรับ? อาจารย์อาจิ๋งมิกล้ารับคำท้าหรือขอรับ?”
ฉือเยี่ยนเดินออกมา ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงคร่ำเคร่งว่า “เจ้าคิดจะล่วงเกินอาจารย์อาอย่างนั้นหรือ?”
ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสแห่งยอดเขาซั่งเต๋อ เขามีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธคำท้านี้ตามกฎของสำนัก
แต่เหล่าศิษย์กลับมิค่อยเห็นชอบเท่าไร
เวลานี้ไม่มีผู้ใดทราบว่าสภาวะที่แท้จริงของจิ๋งจิ่วเป็นอย่างไรบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอัจฉริยะทางวิถีกระบี่ที่ได้รับการยอมรับ และสิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เขาเป็น…อาจารย์อา
เช่นนี้แล้ว การที่เจี่ยนหรูซานขอท้าเขามันมีปัญหาอะไร?
จิ๋งจิ่วยังคงมิสนใจ เขาเอาแต่มองไปยังทางขึ้นเขาเส้นนั้น
เจี่ยนหรูซานที่ถูกเมินโมโหขึ้นมา เขาคิดว่าจิ๋งจิ่วพยายามแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ จึงยิ่งรู้สึกว่าน่าไม่อาย จากนั้นกล่าวว่า “เจ้า…”
คำพูดเขายังไม่ทันพูดจบก็ถูกขัดจังหวะ
บนทางขึ้นเขาที่อยู่ไกลออกไปมีเสียงประหลาดดังขึ้นมา
เสียงนั้นฟังดูเสียดหูยิ่งนัก คล้ายกับกระบี่สองเล่มกำลังเสียดสีกันอยู่
เหล่าลูกศิษย์หันมองไปตามเสียง
เงาคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นบนทางขึ้นเขา
คนผู้นั้นร่างกายซูบผอม อาภรณ์ดูเก่า พลิ้วไหวตามสายลม
เขาก้าวเดินเข้ามา เหล่าศิษย์มองเห็นใบหน้าเขาได้อย่างชัดเจน
คนผู้นั้นใบหน้าซีดขาว เบ้าตาหลุบลึก ผมเผ้ายุ่งเหยิงคล้ายวัชพืช
ที่น่าแปลกก็คือบนเท้าทั้งสองข้างของเขามิได้มีโซ่ตรวจล่ามเอาไว้ แต่เวลาที่เขาเดิน ระหว่างพื้นรองเท้ากับก้อนหินกลับมีเสียงเสียดสีของโลหะดังขึ้นมา
รอบป่าหินมีเสียงอุทานตกใจ
“หลิวสือซุ่ย!”
“เขามาได้อย่างไร!”
ผ่านมาสองปีแล้ว
เขาเอาแต่อยู่ในห้องหินด้านหลังหน้าผาของยอดเขาเทียนกวง มิเคยปรากฏตัวมาก่อน
อดีตเมล็ดพันธ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด ค่อยๆ ถูกผู้คนลืมเลือน
แต่วันนี้ จู่ๆ เขากลับปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าทุกคน
คล้ายกับผีตนหนึ่ง
เจ้าล่าเยวี่ยสีหน้าคร่ำเคร่งเล็กน้อย
เหล่าผู้อาวุโสสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
พวกเขารู้อะไรบางอย่างจากการฟังเสียงนั้น
มีเสียงกระบี่ดังออกมาในขณะที่เดิน
นี่คือสัญญาณของการบรรลุวิชาเจตน์กระบี่หลอมกายาระดับต้น!
เจ้าล่าเยวี่ยฝึกหนักอยู่บนยอดเขากระบี่หลายปี ถึงจะฝึกวิชาเจตน์กระบี่หลอมกายาได้สำเร็จ
หลิวสือซุ่ยขังตัวเองอยู่ในห้องหินบนยอดเขาเทียนกวง แล้วเขาฝึกสำเร็จได้อย่างไร?
เจ้าล่าเยวี่ยมองไปทางจิ๋งจิ่ว คิดอยากรู้ว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร แล้วก็อยากจะได้คำตอบ
แต่สิ่งที่จิ๋งจิ่วสนใจกลับเป็นเรื่องอื่น เขากล่าวพึมพำว่า “จากใบหน้าดำๆ กลายเป็นขาวซีดแบบนี้ นี่เขาไม่ได้ออกมาตากแดดนานเท่าไรแล้ว?”
…………………………………………………….