มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 22 เพลิงที่ลุกต่อเนื่องนานสามเดือน
เจ้าล่าเยวี่ยเหลือบมองเขา มิได้กล่าวกระไร ในสายตาของทุกคน ดูนางเฉยเมยยิ่งนัก
“ถูกต้อง!”
ผู้อาวุโสแห่งคุนหลุนกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “ในเมืองเฉาหนานวันนั้น ศิษย์สำนักซานตูใจร้อนแย่งยาเพราะต้องการรักษาอาการบาดเจ็บของศิษย์สำนักเดียวกัน เพียงแค่ความไม่ลงรอยกันเล็กน้อยเท่านี้ มันถึงกับต้องฆ่าแกงกันเลยอย่างนั้นหรือ?”
ครั้นได้ยินคำพูดนี้ สายตาหลายคนมองเจ้าล่าเยวี่ยพลันมีความหวาดกลัวขึ้นมาหลายส่วน มาตรว่าเจ้าเป็นเจ้าแห่งยอดเขาของชิงซาน แต่จะลงมือเหี้ยมโหดถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน? เมื่อคิดถึงภาพที่เจ้าล่าเยวี่ยสังหารจู๋เจี้ยโดยไม่พูดจา ทุกคนก็ยิ่งรู้สึกว่าจิตใจของเด็กสาวอัจฉริยะที่เล่าลือกันผู้นี้น่ากลัวยิ่งนัก
“แค่เรื่องเล็กน้อยอย่างนั้นรึ?” หลินอิงเหลียงก้าวไปข้างหน้า มองดูผู้อาวุโสแห่งคุนหลุน ยิ้มพลางกล่าว “วันนั้นสมณะทั้งสองแห่งวัดกั่วเฉิงต้องการใช้ยานี้เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านในเมืองเฉาหนานที่หวาดกลัวกุ่ยมู่หลิงจนเสียขวัญ เหล่าผู้บำเพ็ญพรตในเรือนเป่าซู่ต่างไม่คิดจะแข่งประมูลเพื่อยินดีช่วยเหลือเรื่องดีๆ เช่นนี้ แต่ผลปรากฏว่าศิษย์ของสำนักซานตูกลับดึงดันที่จะประมูลยานี้เพื่อเอาไปช่วยนายน้อยที่ถูกพิษบุหงาจนคันเล็กน้อย อาศัยความร่ำรวยของสำนักคุนหลุนเพิ่มราคาสู้ตลอด อาจารย์อาไหนเลยจะทนดูต่อไปได้ จึงใช้ยาเซวียนเฉ่าประมูลแแผ่นน้ำแข็งมา โดยหวังว่าจบงานประมูลแล้วจะมอบให้สมณะทั้งสองของวัดกั่วเฉิง แต่กลับถูกศิษย์สำนักซานตูมาขวางทางเอาไว้เพราะต้องการชิงยา พวกเขาไม่รู้สถานะของอาจารย์อา ทั้งยังคิดฆ่าคน คนแบบนี้ย่อมต้องสมควรตาย!”
ในที่พักเซียนของเมืองไห่โจวเมื่อหลายวันก่อน เขากับศิษย์พี่เยาซงซานทราบเรื่องนี้แล้ว หลังนำมาเทียบกับบันทึกคดีของกรมชิงเทียน ก็สามารถอนุมานเหตุการณ์ในตอนนั้นได้ ในเวลานี้สิ่งที่เขากล่าวออกมา คลาดเคลื่อนจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย คนที่อยู่ภายในตำหนักพากันกระซิบกระซาบพูดคุยขึ้นมา
สมณะแก่แห่งวัดกั่วเฉิงรูปนั้นประกาศนามตน ก่อนกล่าวกับทุกคนว่า “ตอนนั้นอาตมาอยู่ในเรือนเป่าซู่ สหายหลายคนสามารถเป็นพยานได้”
ใครได้ยินคำพูดนี้ คนที่อยู่ในตำหนักย่อมต้องเชื่อวัดกั่วเฉิง ชื่อเสียงของวัดกั่วเฉิงในโลกนี้มิเคยด่างพร้อย ใครๆ ต่างเชื่อว่าสมณะแก่รูปนี้มิได้พูดปด
ผู้อาวุโสแห่งคุนหลุนคิดอยากบอกว่าตอนเจ้าล่าเยวี่ยสังหารคนในตรอกไม่มีใครเห็น ใครจะรู้บ้างว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เมื่อเห็นบรรยากาศภายในตำหนักก็ทราบว่าต่อให้พูดไปก็หามีประโยชน์อันใดไม่ จึงอดรู้สึกกลุ้มใจไม่ได้
“เช่นนั้นคนอื่นล่ะ?”
ซือเฟิงเฉินก้าวไปข้างหน้าอีกหลายก้าว เข้าใกล้เจ้าล่าเยวี่ยไปอีกหน่อย
เขาจ้องมองดวงตาของเจ้าล่าเยวี่ยพลางกล่าว “สี่คนในเมืองซางโจวที่ตายด้วยน้ำมือท่านเป็นเพียงคนที่เดินทางผ่านมา! คนที่ถูกท่านตัดหัวในเมืองเทียนจิงเป็นทหารเสินเว่ย! คนที่ถูกท่านหั่นเป็นชิ้นๆ อยู่ในเมืองอวี้โจวเป็นเพียงหญิงชราคนหนึ่ง! ข้าอยากจะรู้ว่าพวกเขาล่วงเกินอะไรท่านเจ้าแห่งยอดเขา! แล้วพวกเขาล่วงเกินท่านเจ้าแห่งยอดเขาได้อย่างไร!”
เจ้าล่าเยวี่ยเลิกคิ้วเตรียมจะกล่าวอะไร
จิ๋งจิ่วเหลือบมองนาง
เจ้าแห่งยอดเขาของชิงซานถูกขุนนางของราชสำนักคนหนึ่งไล่ต้อนจนกล่าวอะไรไม่ออก?
ไม่มีใครเชื่อ
หลายคนคิดว่าที่เจ้าล่าเยวี่ยมิยอมพูดแก้ต่าง นั่นเป็นเพราะนางคิดว่าการโต้เถียงกับขุนนางของราชสำนักผู้นี้จะทำให้ตนเองเสื่อมเสียเกียรติ แต่พวกเขากลับไม่รู้เลยว่าที่นางไม่ยอมพูดนั้นเพียงเพราะว่าจิ๋งจิ่วคิดว่ามันยุ่งยาก
“คนเหล่านั้นมิได้ล่วงเกินอาจารย์อา แต่จะต้องล่วงเกินกระบี่ของชิงซานอย่างแน่นอน”
เยาซงซานมองดูซือเฟิงเฉินพลางกล่าวเสียงเยือกเย็น “กระบี่พบความอยุติธรรมจึงส่งเสียงร้อง คนเหล่านั้นเหตุใดจึงตายด้วยกระบี่อาจารย์อา ข้าคิดว่าท่านน่าจะทราบดีกว่าใคร”
ซือเฟิงเฉินยิ้มเยือกเย็นพลางกล่าว “ในสองปีที่ผ่านมา เจ้าแห่งยอดเขาท่องเที่ยวไปทั่ว หรือเจ็ดสิบกว่าชีวิตนั้นมิต้องการคำอธิบาย?”
เยาซงซานมองขุนนางราชสำนักผู้นี้ คล้ายกำลังมองดูก้อนหินก้อนหนึ่ง
“สำนักชิงซานสังหารคนชั่วยังต้องมีคำอธิบาย? ใครมีสิทธิ์ให้พวกเราอธิบาย?”
……
……
คำพูดช่างแข็งกร้าว
กระบี่ช่างแหลมคม
ภายในตำหนักเงียบสงัด
สำนักชิงซานกล่าวคำพูดแบบนี้ออกมา ผู้ใดยังจะกล้าโต้แย้งอีก?
“ศิษย์พี่กล่าวเช่นนี้ก็มิถูกนัก แม้นจะชักกระบี่เพราะพบเจอกับความอยุติธรรม แต่อย่างไรก็ควรระวังให้มากหน่อย”
คนที่พูดคือเซี่ยงหว่านซู
มั่วซีเองก็ส่ายศีรษะ กล่าวว่า “นี่มันจะสังหารตามอำเภอใจเกินไปแล้ว”
บรรยากาศภายในตำหนักแปรเปลี่ยนขึ้นมาเล็กน้อย
ศิษย์ของสำนักจงโจวและสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยเอ่ยวาจาออกมาพร้อมกัน นี่มันชักสนุกแล้วสิ
ในบรรดาสำนักบำเพ็ญพรตใหญ่ๆ ในโลกนี้ เรือนอี้เหมาเรียบง่าย วัดกั่วเฉิงมิแก่งแย่ง สำนักเฟิงเตาและสำนักกระบี่ซีไห่รากฐานยังมิแข็งแกร่งพอ สำนักจงโจวและชิงซานจึงกลายเป็นผู้นำแห่งฝ่ายธรรมะ และเนื่องจากสำนักจงโจวอยู่ใกล้เมืองเจาเกอ ในช่วงเวลาหลายสิบปีจึงมีศิษย์อัจฉริยะถือกำเนิดขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย ชื่อเสียงคล้ายจะอยู่เหนือชิงซานเล็กน้อย จำนวนศิษย์ของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยมีไม่มาก แต่มีเจ้าสำนักและผู้อาวุโสที่บรรลุสภาวะขั้นแหวกทะเลอยู่หลายคน ลือกันว่ามีผู้อาวุโสท่านหนึ่งใกล้จะบรรลุขั้นทะลวงสวรรค์แล้ว จึงมิอาจดูแคลนได้เช่นกัน
เยาซงซานรู้สึกไม่สบอารมณ์
ที่เขาไม่สบอารมณ์นั้นเป็นเพราะมั่วซี
สำนักจงโจวออกความเห็น เขายังสามารถด่ากลับไปได้ แต่สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยมีความสัมพันธ์อันดีกับสำนักชิงซานมาโดยตลอด เขาไม่รู้ว่าควรจะด่าถึงระดับไหน จึงอดรู้สึกยุ่งยากไม่ได้
ในเวลานี้ ในที่สุดจิ๋งจิ่วก็เอ่ยปากพูดออกมา
นี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนภายในตำหนักได้ยินเสียงของเขา
เสียงของเขาสงบนิ่ง คล้ายดั่งสายน้ำที่ไหลผ่านตัวกระบี่ แยกไม่ออกว่าอันไหนน้ำอันไหนกระบี่
“เหลียนซานเยวี่ย[1]คืออาจารย์อาของเจ้า?”
ครั้นได้ยินคำพูดนี้ ภายในตำหนักพลันมีเสียงฮือฮาดังขึ้นมา มั่วซีคิ้วกระดกชี้ชัน รู้สึกโมโหยิ่งนัก
เหลียนซานเยวี่ยเป็นศิษย์พี่ของเจ้าสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย แต่ถ้าว่ากันตามสภาวะแล้วกลับเป็นอันดับหนึ่งในสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย คนที่มีหวังจะบรรลุสภาวะทะลวงสวรรค์ที่ผู้คนร่ำลือกันก็คือนาง
ไม่ว่าจะเป็นความอาวุโสหรือคุณสมบัติ นางก็หนึ่งในคนจำนวนมากที่อยู่บนจุดสูงสุดในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต ได้ยินว่าเวลานางพบกับเจ้าสำนักชิงซานก็ยังทำการคารวะด้วยสถานะที่เท่ากันเท่านั้น
หากว่ากันตามระบบสายสืบทอดของนักพรตจิ่งหยางแล้ว จิ๋งจิ่วนั้นมีความอาวุโสเทียบเท่าอีกฝ่าย แต่ในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตมีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าเขาใช้วิธีเดินตามเจ้าล่าเยวี่ยขึ้นไปบนยอดเขาเสินม่อ? อีกทั้งต่อให้มีระดับความอาวุโสเท่าเทียมกัน แต่เจ้ากลับขานเรียกนามของผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่แห่งการบำเพ็ญพรตออกมาตรงๆ เช่นนี้ มันเหมาะสมแล้วหรือ?
มั่วซีมองจิ๋งจิ่ว สายตาโกรธเกรี้ยวอย่างมาก คล้ายคิดอยากจะมองทะลุหมวกของเขาดูว่าหนังหน้าของเขามันหนาเพียงใดกันแน่
“เจ้ารู้ไหมเหตุใดอาจารย์อาของเจ้าจึงชื่อเหลียนซานเยวี่ย?”
จิ๋งจิ่วคล้ายมิรู้สึกอะไร กล่าวต่อว่า “กาลก่อนแคว้นเสวี่ยบุกลงใต้ ราชสำนักสูญเสียการปกครอง แผ่นดินโกลาหลวุ่นวาย ประชาชนพลัดถิ่น ทุกชีวิตทุกข์ยาก แล้วยังมีทหารโจรเข้ามาดักจับชาวบ้านที่ตกยากไปทำงานเลี้ยงดูกองทัพ อาจารย์อาของเจ้าลงมาจากเขาพอดี ในเวลาสามเดือนสังหารคนไปสี่หมื่นชีวิต เผาหมู่บ้านโจรไปเจ็บสิบหมู่บ้าน โลกพากันขนานนามว่าเพลิงสงครามสามเดือน จากนั้นนางจึงได้ชื่อนี้มา”
ครั้นได้ยินเรื่องราวในอดีต ภายในตำหนักเงียบสงัดไร้ซุ่มเสียง ทุกคนคิดอย่างตกตะลึง…นี่คือเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ?
เรื่องในอดีตเหล่านี้ผ่านมาเนิ่นนานจนกลายเป็นความลับที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ อย่างเช่นมั่วซีก็มิเคยได้ยินมาก่อน นางจึงรีบโต้แย้งออกมาว่า “เจ้าพูดเหลวไหลอะไร? อาจารย์อาของข้านิสัยอ่อนโยน จะไปทำเรื่อง…ทำเรื่อง…”
นางพลันพบว่าตัวเองไม่รู้จะใช้คำพูดอะไรมานิยามตัวอาจารย์อาที่อยู่ในเรื่องราวนี้ ช่วยประชาชนนับหมื่นจากความทุกข์ยาก นี่ย่อมต้องกลายเป็นเรื่องเล่าที่เล่าขานสืบต่อกันมา แต่สังหารทหารโจรไปสี่หมื่นชีวิตในสามเดือน ในหมู่ทหารโจรเหล่านั้นเกรงว่าคงจะมีชาวบ้าน หรืออาจจะมีผู้หญิงและเด็กที่ถูกบังคับมาอยู่มากมายเป็นแน่ แล้วนางควรจะวิจารณ์อย่างไรดี?
เหล่าผู้บำเพ็ญพรตที่อายุยังน้อยมิทราบเรื่องราวนี้ แต่มิได้หมายความว่าผู้บำเพ็ญพรตที่เป็นผู้อาวุโสจะมิรู้เรื่องราว
ผู้อาวุโสแห่งคุนหลุนนิ่งเงียบมิกล่าวกระไร เขาไม่อยากจะหวนคิดถึงยุคสมัยที่โกลาหลวุ่นวายนั้น
ผู้อาวุโสแห่งสำนักกระบี่ซีไห่คิดถึงทะเลเลือดในเวลานั้น ใบหน้าพลันเปลี่ยนสีขึ้นมาเล็กน้อย
สมณะแก่แห่งวัดกั่วเฉิงส่ายศีรษะอย่างจนปัญญาเพื่อบอกมั่วซีว่าเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องจริง อย่าได้พูดถึงอีกเลย
มั่วซีร้อนใจ กล่าวว่า “แต่คนที่อาจารย์อาข้าสังหารล้วนแต่เป็นคนชั่ว!”
เยาซงซานแค่นหัวเราะ กล่าวว่า “หรือคนที่อาจารย์อาข้าสังหารเป็นคนดี?”
……
……
ชิงซานสังหารคน คือการกำจัดความชั่ว
นี่คือสิ่งที่ผู้บำเพ็ญพรตจำนวนมากและประชาชนส่วนใหญ่รับรู้
นี่ก็คือพลังหรือว่าบารมีที่สั่งสมมาของสำนักฝ่ายธรรมมะ มีเพียงคุณความดีที่สั่งสมมาเป็นเวลานานหลายปีจึงจะสามารถสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่อาจสั่นคลอนเช่นนี้ได้
ซือเฟิงเฉินทราบว่าตนเองไม่อาจจับตัวอีกฝ่ายกลับไปได้อีก
แม้นเขาคิดจะทำเรื่องที่คนทั่วหล้าคัดค้าน นำเอากองทัพเสินเว่นและยอดฝีมือของราชสำนักมาช่วยเหลือคดีนี้ มันก็ไม่มีโอกาสที่จะสำเร็จ
สำนักซีไห่จะต้องรักษาจุดยืนตรงกลางอย่างแน่นอน วัดกั่วเฉิง สำนักต้าเจ๋อจะต้องยืนอยู่ฝั่งสำนักชิงซาน
สำนักจงโจวและสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยแม้นจะเคยออกมาแสดงความไม่เห็นด้วย แต่เมื่อต้องเจอกับความขัดแย้งระหว่างราชสำนักกับสำนักชิงซานจริงๆ พวกเขาก็ไม่มีทางที่จะยืนอยู่ข้างราชสำนักแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นขุนนางระดับเขามีสิทธิ์อะไรไปเป็นตัวแทนราชสำนักกันล่ะ?
“เรื่องนี้ข้าจะแจ้งกับทางวังหลวง”
เขามองเจ้าล่าเยวี่ยพลางกล่าว “ข้าจะต้องขอคำอธิบายจากท่านแน่นอน แม้นจะเป็นเพียงแค่คำขอโทษคำหนึ่ง”
—- ต่อให้ข้าต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม
เขาครุ่นคิดอย่างเงียบๆ
เจ้าล่าเยวี่ยมิได้เข้าใจความคิดภายในใจและความฮึกเหิมที่แฝงไปด้วยความเศร้าอาดูรของขุนนางราชสำนักผู้นี้ จึงมิได้ใส่ใจกระไร
“เจอคนแล้ว?” เจ้าล่าเยวี่ยถามจิ๋งจิ่ว
จิ๋งจิ่วพยักหน้า
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “อย่างนั้นไปกันเถอะ”
เซี่ยงหว่านซูพลันกล่าวขึ้นมา “หวังว่าจะได้พบกันในงานชุมนุมเหมยฮุ่ย
เขามองจิ๋งจิ่วขณะที่กล่าวประโยคนี้
ในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยเองก็มีการแข่งศิลปะทั้งสี่เช่นกัน
ปีหน้า จิ๋งจิ่วน่าจะเข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยในฐานะตัวแทนลูกศิษย์ของชิงซาน
ในเมื่อเขาสามารถคว้าอันดับหนึ่งในการแข่งหมากล้อมของงานเลี้ยงซื่อไห่ได้ เห็นทีเขาก็คงต้องเข้าร่วมการแข่งหมากล้อมต่อเป็นแน่
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ข้าเคยบอกแล้ว เจ้าไม่ไหวหรอก ให้ศิษย์พี่เจ้ามาดีกว่า”
เซี่ยงหว่านซูสีหน้าคร่ำเคร่งเล็กน้อย มิได้กล่าวกระไร
ตอนอยู่ด้านนอกหอบนภูเขาโดดเดี่ยว เจ้าล่าเยวี่ยเคยกล่าวประโยคนี้
เวลานั้นเขาคิดว่านางเป็นเพียงเด็กสาวที่ถูกตามใจจนเสียคน กระทำตัวไม่รู้จักต่ำสูง จึ่งมิได้สนใจอะไร
ทว่านางคือเจ้าล่าเยวี่ย เช่นนั้นคำพูดประโยคนั้นจึงมิใช่การไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง หากแต่นางคิดเช่นนั้นจริงๆ
ภายในตำหนักมีเสียงฮือฮาดังขึ้นมา
ในสำนักจงโจว เซี่ยงหว่านซูมีศิษย์พี่อยู่หลายคน แต่หากพูดถึงศิษย์พี่ของเขาโดยมิกล่าวชื่อใดๆ ศิษย์พี่คนนั้นย่อมหมายถึง…ถงเหยียน
คำพูดประโยคนี้ของเจ้าล่าเยวี่ยหมายความว่าอย่างไร? จะท้าสู้กับถงเหยียนแทนจิ๋งจิ่วอย่างนั้นหรือ?
ในที่สุดสำนักชิงซานกับสำนักจงโจวก็จะได้เผชิญหน้ากันแล้วอย่างนั้นหรือ?
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ทุกคนพลันเกิดความรู้สึกตั้งตารอคอย
เชื่อว่าเมื่อคำพูดประโยคนี้กระจายออกไปนอกลานเมฆ ทั่วทั้งแผ่นดินคงจะสั่นสะเทือนขึ้นมาแน่
ในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยในปีหน้าจะเกิดเรื่องราวแบบไหนขึ้นกัน?
…………………………………………………………..
[1]เหลียนซานเยวี่ย หมายถึง ติดต่อกันสามเดือน