มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 2 ฟังเสียงกบร้อง
ครั้นกลับมาถึงห้องครัวที่อยู่ด้านหลังโรงเตี๊ยม เสี่ยวเอ้อทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ม้านั่ง สีหน้าเหม่อลอย กล่าวอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง
เพื่อนเสี่ยวเอ้ออีกคนหนึ่งรู้สึกแปลกใจ กล่าวถามว่า “เป็นอะไร?”
เสี่ยวเอ้อเอามือถูใบหน้า เมื่อได้สติขึ้นมาเล็กน้อยจึงกล่าวว่า “เจ้ารู้ไหม? เมื่อครู่ข้าได้เห็นใบหน้าที่งดงามที่สุดเท่าที่ข้าได้เคยเห็นมาในชีวิต”
เพื่อนเสี่ยวเอ้องงงัน จากนั้นพลันหัวเราะเยาะขึ้นมา “จะงามได้เท่าไรเชียว? หรือยังมีสตรีใดที่งดงามกว่าแม่นางลวี่ฉี่อยู่อีก?”
แม่นางลวี่ฉี่คือหญิงคณิกาที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองซางโจว เป็นสตรีที่ชายหนุ่มยากจนอย่างพวกเขาพูดถึงมากที่สุด แต่แน่นอน พวกเขาย่อมไม่มีโอกาสได้เห็นว่าแม่นางลวี่ฉี่หน้าตาเป็นเช่นไร ทว่าสำหรับพวกเขาแล้ว แม่นางลวี่ฉี่จะต้องเป็นโฉมสะคราญที่งามงดที่สุดบนโลกนี้อย่างแน่นอน จะเรียกขานเป็นเทพเซียนก็ดูมิเกินไป
กล่าวจบประโยคนี้ เพื่อนเสี่ยวเอ้อผู้นั้นก็ยกถาดอาหารเดินออกไป
เสี่ยวเอ้อยังคงเหม่อลอย ในใจครุ่นคิดแม่นางลวี่ฉี่ไม่มีทางงดงามเท่าคนผู้นั้นเป็นแน่ แต่คนผู้นั้นเป็นผู้ชายนี่สิ
ทันใดนั้นเขาพลันคิดถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา สายตาเป็นประกาย สองมือยกขึ้นมากุมไว้ตรงหน้าอก พลางกล่าววิงวอนอย่างเงียบๆ
“ท่านอาจารย์เซียน ได้โปรดพาข้าไปด้วยเถิด”
……
……
ณ ห้องสวรรค์หมายเลขหนึ่ง
“เหตุใดเขาจึงรู้สถานะของพวกเราได้?”
เจ้าล่าเยวี่ยมองจิ๋งจิ่วพลางกล่าวถามอย่างจริงจัง
นางไม่เข้าใจจริงๆ ก็เห็นอยู่ว่าเสี่ยวเอ้อผู้นั้นเป็นเพียงคนธรรมดา
จิ๋งจิ่วลังเลเพียงครู่ ก่อนจะยกมือขวาขึ้นมาวาดบนใบหน้าของตน
เจ้าล่าเยวี่ยเข้าใจทันที ก่อนจะส่ายศีรษะพลางกล่าว “วันหน้าเจ้าปิดบังใบหน้าของเจ้าเอาไว้จะดีกว่า”
จิ๋งจิ่วคิดในใจ นี่มิอาจโทษข้าได้
เจ้าล่าเยวี่ยคิดถึงเรื่องๆ หนึ่ง กล่าวว่า “แม่นางลวี่ฉี่ที่คนผู้นั้นกล่าวถึงคือใคร?”
จิ๋งจิ่วครุ่นคิด กล่าวว่า “คงจะเป็นหญิงคณิกาในหอชิงโหลว[1]”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ข้ารู้ ชิงโหลวคือสถานที่ที่เหล่าสตรีมาร่ำสุราเล่นดนตรีเป็นเพื่อนบุรุษ”
จิ๋งจิ่วพยักหน้า กล่าวว่า “ถูกต้อง ข้าเคยอ่านเจอในหนังสือ”
เจ้าล่าเยวี่ยนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะกล่าวว่า “ความจริงบางครั้งข้าก็ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคนธรรมดานั้นคิดอย่างไรกันแน่ เรื่องนั้นมันน่าสนุกถึงเพียงนั้นเลยหรือ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าก็ไม่เข้าใจเช่นกัน”
เจ้าล่าเยวี่ยเปลี่ยนประเด็น กล่าวว่า “ข้ามีคำถามหนึ่ง เหตุใดเจ้าถึงดึงดันที่จะเดินเท้าให้ได้?”
นางขี่กระบี่บินได้มาเป็นเวลาสามปีแล้ว ทุกครั้งที่ขี่กระบี่ยังคงรู้สึกจิตใจปลอดโปร่งและมีความสุขอย่างมาก
จิ๋งจิ่วรู้ว่านางยังยึดติดอยู่กับความรู้สึกสดใหม่ ปัญหาก็คือเขาเบื่อหน่ายกับความรู้สึกนั้นมานานมากแล้ว อีกทั้งเขายังบรรลุสภาวะเพียงขั้นสมความนึกคิด แม้นจะบอกไม่กลัวลมหนาว แต่เขาก็ยังรู้สึกมิค่อยสบายเวลาโดนลมพัดเท่าไรนัก
“มันหนาว” เขามองเจ้าล่าเยวี่ยพลางกล่าวอย่างจริงจัง “ต่อให้มีปราณกระบี่คอยคุ้มครองร่างกาย แต่มันก็ยังหนาว ลมแรงเกินไป”
กาลก่อนเนื่องเพราะเรื่องๆ หนึ่ง เขาเองก็เคยขี่กระบี่ออกจากชิงซานมายังโลกปุถุชนอยู่บ่อยครั้ง
ไม่มีโรงเตี๊ยม ไม่มีรถม้า ไม่มีเพื่อนร่วมทาง มีเพียงลมที่พัดเข้ามาไม่หยุด แล้วก็มีก้อนเมฆเป็นชั้นๆ เหล่านั้น
บางครั้งจะมีลำแสงกระบี่ปรากฏขึ้นมาบ้างเป็นครั้งคราว แต่เมื่ออีกฝ่ายมองเห็นลำแสงกระบี่ของเขา ส่วนใหญ่ก็มิกล้าเฉียดกรายเข้าใกล้ เพียงแค่คารวะอยู่ไกลๆ ก่อนจะถอยออกไป
เมื่อครั้งที่ออกมาจากหมู่บ้านเล็กๆ ในภูเขา อาจารย์หลี่ว์ก็เลือกที่จะเดินเท้าแทนการขี่กระบี่ ตอนแรกสุดเขารู้สึกมิค่อยชินเท่าไร ภายหลังจึงรู้สึกว่าไม่เลวเหมือนกัน
เมื่อเดินไปบนทาง จะมองเห็นทิวทัศน์ที่แตกต่างกันไป
ต้นหวายและต้นหลิวไม่เหมือนกัน น้ำพุและธารสายเล็กก็ไม่เหมือนกัน
ในภูเขาก็สามารถมองเห็นทิวทัศน์เหล่านี้ได้ เพียงแต่การเปลี่ยนแปลงไม่ได้รวดเร็วขนาดนี้
แม้นก้อนเมฆบนท้องฟ้าจะเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์อยู่ตลอดเวลา แต่สุดท้ายมันยังคงเป็นก้อนเมฆ
ในระหว่างที่เดินเท้า ก็ยังสามารถได้ยินเสียงกบร้อง ไม่เหมือนเวลาที่ขี่กระบี่ ที่ได้ยินเพียงเสียงคำรามของสายลม
“ข้าเองก็มีคำถาม”
จิ๋งจิ่วมองนางพลางถามว่า “เหตุใดพวกเราต้องมาที่เมืองเฉาหนาน?”
เจ้าล่าเยวี่ยถาม “ผู้ใดคือปรมาจารย์?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เจ้า”
เจ้าล่าเยวี่ยถามอีกว่า “ผู้ใดคือเจ้าแห่งยอดเขา?”
จิ๋งจิ่วพลันรู้สึกเสียใจกับการวางแผนในตอนแรก
“ดังนั้นแค่ฟังคำสั่งข้าก็พอ ไม่ต้องมีคำถามมากนัก”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวจบประโยคนี้ พลันนั่งลงบนพื้นแล้วเริ่มบำเพ็ญเพียรต่อ
นางหลับตา ริมฝีปากขยับเล็กน้อย กระบี่สีแดงเล่มเล็กบินออกมา
กระบี่เล่มเล็กปรากฏออกมา ก่อนจะเปลี่ยนกลับคืนสู่สภาพเดิม นั่นคือกระบี่มิคำนึง
กระบี่ิมิคำนึงลอยค้างอยู่กลางอากาศ แผ่กระจายม่านพลังบางๆ ลงมาบนตัวนาง
จิ๋งจิ่วก้าวขึ้นเตียง ก่อนจะหลับตาแล้วเริ่มนอนหลับ
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม เขาตื่นขึ้นมาเนื่องเพราะพักผ่อนเพียงพอแล้ว
เขาเดินไปยังริมหน้าต่าง มองดูเมืองซางโจวที่อยู่ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน
เวลานี้เป็นเวลากลางดึก เมืองซางโจวเงียบสงัด เสียงไม้ไผ่ที่ดังลอยมาจากที่ใดที่หนึ่งที่อยู่ห่างออกไปยิ่งฟังดูชัดเจน
เจ้าล่าเยวี่ยลืมตา ก่อนจะเหลือบมองเขาแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อไม่มีอะไรทำ เหตุใดไม่บำเพ็ญเพียร?”
ตอนที่อยู่ชิงซาน นางก็คิดอยากถามคำถามนี้ ตอนนี้มายังเมืองแปลกหน้า ในที่สุดนางก็ถามมันออกมา
จิ๋งจิ่วมิได้กล่าวกระไร เนื่องเพราะมิรู้จะอธิบายอย่างไร
เมื่อตอนหน้าร้อน เขาได้บรรลุเข้าสู่สภาวะสมความนึกคิด โอสถกระบี่ก่อกำเนิด ภายในร้อยจ้างกระบี่บินได้ดั่งใจนึก หากโจมตีเต็มที่ กระบี่รวดเร็วดุจสายฟ้า สามารถสังหารคนได้ในพริบตา
หลังจากนี้เขาจำเป็นต้องใช้ปราณกระบี่สกัดโอสถกระบี่ต่อไป จนกระทั่งทั้งสองรวมเข้าด้วยกัน เขาจึงจะสามารถรวมกระบี่เข้ากับโอสถกระบี่ได้ตามใจนึกเหมือนอย่างเจ้าล่าเยวี่ย แบบนั้นจึงจะถือว่าเขาบรรลุสู่สภาวะมิประจักษ์
เจ้าล่าเยวี่ยฝึกฝนอย่างหนักอยู่บนยอดเขากระบี่เป็นเวลาสองปี ใช้วิชาเจตน์กระบี่หลอมกายาอันสุดแสนอันตรายจึงสามารถร่นระยะเวลาตรงนี้ลงได้อย่างน่าตกใจ อีกทั้งหลังจากขึ้นมายังยอดเขาเสินม่อ นางก็เริ่มฝึกฝนเคล็ดกระบี่เก้ามรณาที่หลอมรวมเข้ากับอุปนิสัยของนางได้อย่างสมบูรณ์แบบ นางจึงสามารถบรรลุเข้าสู่สภาวะมิประจักษ์ได้ในเวลาอันสั้น
จิ๋งจิ่วมิสามารถทำตามนางได้ เนื่องเพราะร่างกายเขาค่อนข้างพิเศษ โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่สภาวะมิประจักษ์อันเป็นช่วงที่สำคัญอย่างยิ่ง เขาจำเป็นต้องระมัดระวังให้มาก ก็เหมือนกันการบำเพ็ญเพียรก่อนหน้านี้ เขาได้แต่ต้องอาศัยเวลา อันเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่และลี้ลับที่สุดบนปฐพีนี้ในการค่อยๆ เข้าใกล้สภาวะที่อยู่สูงขึ้นไป แน่นอน ยาวิเศษที่ควรจะกินเขาก็กินไปเยอะมากแล้ว หากกินเข้าไปอีกก็หาได้มีประโยชน์อันใดไม่ เช่นนั้นสิ่งที่เขาต้องทำหลังจากนี้ยังคงเป็นคำว่า ‘รอ’
ปัญหาคือครั้งนี้ค่อนข้างรีบร้อนออกมา เขาต้องไปหาไป๋กุ่ย แล้วก็ไปสั่งกำชับกู้ชิง จนลืมเอาจานกระเบื้องและทรายติดตัวออกมาด้วย จึงอดรู้สึกเบื่อไม่ได้
เจ้าล่าเยวี่ยมองออกว่าเขารู้สึกเบื่อ จึงรู้สึกตกใจเล็กน้อย
สำหรับผู้เพ็ญเพียรแล้ว ตามหลักแล้วไม่ควรจะมีอารมณ์เบื่อหน่ายเช่นนี้อยู่
ขอเพียงมีเวลา ก็ควรจะบำเพ็ญเพียร ฝึกกระบี่ หรือว่ารับรู้ถึงฟ้าดินก็ดีเหมือนกัน แล้วจะรู้สึกเบื่อได้อย่างไร?
แต่นางกลับไม่รู้ว่า เหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องที่จิ๋งจิ่วมิจำเป็นต้องทำอีกต่อไป
……
……
หอไจซิง[2]คือหอที่สูงที่สุดในเมืองซางโจว แล้วก็เป็นจุดท่องเที่ยวที่อาคันตุกะต่างถิ่นต้องมาเยือน
แต่จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยกลับมิได้มาที่นี่เพื่อดูหออันเลื่องชื่อแห่งนี้
พวกเขาปลดหมวกออก ยืนอยู่บนจุดที่สูงสุดของหอไจซิง สายตามองดูหอไม้ที่มีแสงไฟส่องสว่างซึ่งอยู่ไม่ไกลแห่งหนึ่ง
จิ๋งจิ่วมองดูหอไม้แห่งนั้น กล่าวว่า “นี่คือหอชิงโหลวงั้นหรือ?”
เจ้าล่าเยวี่ยมองไปยังหอชิงโหลว ในใจเกิดความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน
นางย่อมต้องรู้ว่าในหอชิงโหลวนั้นทำอะไรกัน ทั้งยังเคยได้ยินคนในครอบครัวพูดถึง เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้มาดูด้วยตาตัวเอง
หอไจซิงอยู่ห่างจากหอชิงโหลวอยู่หลายร้อยจ้าง แต่ด้วยความสามารถในการมองเห็นและการได้ยินของพวกเขา พวกเขาย่อมต้องมองเห็นภาพที่เกิดขึ้นในหอได้อย่างชัดเจน ทั้งยังได้ยินทุกอย่างแจ่มแจ้ง
เจ้าล่าเยวี่ยลืมตาโตมองไปทางนั้น ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงตะลึงงัน “อย่างนี้นี่เอง”
…………………………………………………………….
[1]หอชิงโหลว หอเขียวขจี
[2]ไจซิง หอเด็ดดาว