มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 19 ที่แท้มิใช่เจ้า
เมื่อคิดถึงผู้ชนะที่สวมหมวกลี่เม่าเหมือนกันคนนั้น ผู้คนจึงพากันเข้าใจทันที ในใจครุ่นคิดที่แท้สตรีนางนี้ก็เป็นเพื่อนกับคนผู้นั้น มิแปลกที่จะพูดจาเช่นนี้
เซี่ยงหว่านซูกล่าว “โปรดชี้แนะ คำพูดข้าจอมปลอมอย่างไร?”
สีหน้าเขาสงบนิ่ง มิได้มีอารมณ์โกรธใดๆ คล้ายพยายามสะกดเอาไว้
เขามีนิสัยอ่อนโยน มิอยากก่อปัญหา แต่เมื่อมีคนมากล่าวคำพูดลบหลู่อาจารย์ จะมิให้เขาโต้ตอบได้อย่างไร?
บริเวณนั้นตกอยู่ในความเงียบทันที บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นมา
สาวน้อยที่ยืนอยู่ริมผาย่อมต้องเป็นเจ้าล่าเยวี่ย
นางมองเซี่ยงหว่านซูพลางกล่าวอย่างเรียบเฉย “เจ้าบอกว่าหากเจ้าวางหมากเช่นนี้ ศิษย์พี่เจ้าจะตีเจ้า เช่นนี้มิเท่ากับว่าเขาซึ่งวางหมากเช่นนี้ก็สมควรโดนตีอย่างนั้นหรือ?”
คำพูดนี้คล้ายพยายามจะพูดตะแบง แต่หากครุ่นคิดถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของเซี่ยงหว่านซูดูดีๆ ก็จะพบว่ามันหมายความเช่นนี้
เซี่ยงหว่านซูเลิกคิ้วเล็กน้อย กล่าวว่า “แล้วคำว่าจอมปลอมจะอธิบายอย่างไร?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “เจ้าคิดว่าเขาวางหมากแย่ แต่มิยอมกล่าวออกมา เจ้าถึงขนาดคิดอยากจะตีเขา แต่มิกล้าทำ นี่ก็คือจอมปลอม”
เซี่ยงหว่านซูส่ายศีรษะกล่าวว่า “นี่มิใช่จอมปลอม ข้าเพียงคิดจะไว้หน้าสหายของเจ้าเท่านั้น”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “เจ้าคิดว่าเจ้ามีสิทธิ์วิจารณ์เขา?”
กลุ่มคนพากันฮือฮาขึ้นมา ในใจครุ่นคิดคำพูดนี้ช่างน่าขันสิ้นดี คนที่แข่งกับถงเหยียนแล้วถูกต่อให้เพียงสามหมากย่อมต้องมีสิทธิ์วิจารณ์เพื่อนเจ้าอยู่แล้ว
เซี่ยงหว่านซูเลิกคิ้วเล็กน้อย พลางกล่าว “ถูกต้อง ข้าอยากบอกเขาว่าการวางหมากมันมิได้ง่ายขนาดนั้น”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “เชื่อข้า สำหรับเขาแล้ว การวางหมากเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุดในโลกแล้ว”
ขณะที่กล่าวคำพูดนี้ ในใจนางก็ครุ่นคิดขึ้นมา หากเจ้าได้เห็นจานกระเบื้องที่วางอยู่ข้างเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวนั้น ได้เห็นทรายที่อยู่ในจานกระเบื้องเหล่านั้น เจ้าจะเข้าใจว่าข้าหมายความว่ากระไร
เซี่ยงหว่านซูกล่าว “อย่างนั้นหรือ? หวังว่าจะมีโอกาสได้ขอคำชี้แนะ”
“เจ้าไม่ไหวหรอก ให้ศิษย์พี่เจ้ามาดีกว่า”
น้ำเสียงของเจ้าล่าเยวี่ยเป็นธรรมชาติ คล้ายกำลังพูดเรื่องปกติธรรมดาเรื่องหนึ่งอยู่
ผู้คนฮือฮา
สำนักซีไห่จัดงานเลี้ยงซื่อไห่ขึ้นมาเพื่อแข่งกับงานชุมนุมเหมยฮุ่ย แต่ทุกคนต่างก็ทราบดี ว่าจะในด้านรายละเอียดหรือว่าด้านอื่น งานเลี้ยงซื่อไห่ล้วนมิอาจเทียบงานชุมนุมเหมยฮุ่ยได้
เจ้าคิดว่าเพื่อนของเจ้าได้ที่หนึ่งในการแข่งขันหมากล้อมของงานเลี้ยงซื่อไห่แล้วจะมีสิทธิ์ได้ประลองกับถงเหยียนอย่างนั้นหรือ
ถงเหยียนเป็นใคร? เป็นคนที่ผู้บำเพ็ญพรตธรรมดาจะได้เจออย่างนั้นหรือ?
เซี่ยงหว่านซูยิ้มเจื่อนมิกล่าวกระไร ในใจครุ่นคิดที่แท้ก็เป็นเด็กสาวที่มิรู้เรื่องราว อารมณ์โกรธเองก็หายไป มิได้ใส่ใจอะไรอีก
……
……
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม เซี่ยงหว่านซูได้พบเด็กสาวที่มิรู้เรื่องราวคนนั้นอีกครั้ง
อีกประเดี๋ยวผู้ชนะของงานเลี้ยงซื่อไห่และแขกเหรื่อที่ได้รับเชิญอย่างเป็นทางการจะโดยสารเรือเดินสมุทรจากภูเขาโดดเดี่ยวขึ้นไปยังลานเมฆที่อยู่บนท้องฟ้า
เซี่ยงหว่านซูย่อมสามารถอาศัยพลังของตนเองในการเหยียบอากาศทะยานขึ้นไปได้ แต่เนื่องเพราะต้องการให้เกียรติแก่สำนักกระบี่ซีไห่ เขาจึงเลือกที่จะรออยู่ที่นี่
เขามองไปทางริมผา สายตาจับจ้องไปยังหมวกลี่เม่าของทั้งสองคนพลางส่ายศีรษะ ในใจครุ่นคิดมิรู้ว่าเป็นศิษย์สำนักไหนถูกเอาใจจนเสียคนแบบนี้
“รู้สึกอย่างไรบ้าง? สนุกไหม?” เจ้าล่าเยวี่ยถาม
จิ๋งจิ่วกล่าว “ไม่มาก”
เจ้าล่าเยวี่ยถาม “หมายความว่าอย่างไร?”
“หมากล้อมมิใช่การฝึกฝนตนเอง หากแต่เป็นการอาศัยความผิดพลาดของอีกฝ่ายในการเอาชนะ จุดนี้ค่อนข้างน่าเบื่อ”
เขาครุ่นคิดพลางกล่าวอีกว่า “อีกทั้งยังง่ายเกินไปด้วย”
……
……
เรือเดินสมุทรไร้ใบ ลอยตามลมขึ้นไป ไม่นานก็แยกตัวจากพื้นดิน ลอยล่องเข้าไปในหมู่เมฆ
ภายในหมู่เมฆที่อยู่รอบๆ สามารถมองเห็นหินผาขรุขระที่ปรากฏให้เห็นตะคุ่มๆ อีกทั้งยังมีหอและศาลาที่อยู่ห่างเพียงคืบ
ผู้บำเพ็ญพรตบางส่วนมาเยือนสำนักกระบี่ซีไห่เป็นครั้งแรก พวกเขาถึงได้รู้ว่าลานเมฆที่ว่านั้น แท้ที่จริงแล้วคือภูเขาลอยฟ้าลูกหนึ่งที่อยู่ในก้อนเมฆ
เรือเดินสมุทรจอดอยู่บนยอดเขา ศิษย์ของสำนักซีไห่เข้ามาพาทุกคนเข้าไปยังตำหนักที่ดูโอ่โถงงดงาม
อาคันตุกะจากสำนักต่างๆ ที่ได้รับเชิญมาต่างนั่งประจำที่ของตน ชื่นชมการร้องรำทำเพลงของนางเงือกพลางพูดคุยกันเสียงเบาๆ
เซี่ยงหว่านซู มั่วซีและจิ๋งจิ่ว ก้าวเดินเข้าในตำหนักในฐานะผู้ชนะของงานเลี้ยงซื่อไห่ในครั้งนี้
หลายคนลุกขึ้นยืนต้อนรับ นี่คือการให้ความเคารพต่องานเลี้ยงซื่อไห่ แล้วก็ย่อมเป็นการให้ความเคารพต่อพวกเซี่ยงหว่านซูและมั่วซี
มีสายตาบางส่วนมองมาที่จิ๋งจิ่ว เพราะแม้นจะเข้ามาในตำหนักแล้ว เขาก็ยังสวมหมวกลี่เม่าอยู่ ดูค่อนข้างแปลกประหลาด
ในสายตาเหล่านี้มีสายตาคู่หนึ่งที่แอบซ่อนอยู่ในเงามืด ทั้งชั่วร้ายและเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
และยังมีสายตาสองคู่ที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงและไม่เข้าใจ
เยาซงซานและหลินอิงเหลียงแห่งชิงซานสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดเขามาได้อย่างไร? หรือเขาไม่รู้ว่ากรมชิงเทียนกำลังหาตัวเขาอยู่? นี่เขากำลังทำอะไร?
……
……
เมื่อมาถึงส่วนลึกของตำหนัก คนผู้หนึ่งค่อยๆ ปรากฏกายออกมาจากในม่านหมอก
นั่นเป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง แลดูมีอำนาจบารมี ร่างกายสวมไว้ด้วยชุดสีเหลืองสว่าง ด้านหน้ามงกุฎมีแผงลูกปัดห้อยตกลงมาสิบกว่าเส้น มองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน
เขามองจิ๋งจิ่วจากเบื้องสูง คล้ายดั่งฮ่องเต้
นี่คือซีหวังซุน เป็นคนสำคัญที่ลึกลับที่สุดในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรในช่วงหลายปีมานี้
จิ๋งจิ่วมองอีกฝ่ายเงียบๆ
เซี่ยงหว่านซูและมั่วซีเดินกลับมายังตำหนักด้านหน้าแล้ว มิรู้ว่าสำนักกระบี่ซีไห่มอบของวิเศษอะไรให้พวกเขา
ตอนนี้มีเขาเพียงคนเดียว ดูค่อนข้างแปลกประหลาด
“ธรรมวิธีไร้ขอบเขต ดังนั้นพวกเราจึงต้องมองให้กว้างขึ้น อย่าปล่อยให้ต้นไม้เพียงต้นเดียวมาทำให้เราละทิ้งป่าทั้งผืน”
เสียงของซีหวังซุนอ่อนโยน คล้ายกับไข่มุกจากทะเลทางใต้อันกลมมนบนแผงลูกปัดมงกุฎ
คำพูดครึ่งแรกคล้ายคำชี้แนะธรรมดาที่อาจารย์พูดกับลูกศิษย์ แต่คำพูดครึ่งหลังกลับแปลกพิกล
จิ๋งจิ่วครุ่นคิดในใจ ที่แท้เจ้ามิใช่เขา
ในเวลานี้ เขารู้แล้วว่าซีหวังซุนคือใคร และย่อมต้องรู้ด้วยความเขามิใช่ใคร
ซีหวังซุนมองจิ๋งจิ่ว คล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้ม
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เขาเองก็คิดว่าตัวเองรู้แล้วว่าผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มที่สวมหมวกลี่เม่าผู้นี้คือใคร
สำหรับเขาแล้ว อีกฝ่ายน่าจะถูกราชสำนักไล่ล่าจนร้อนใจ ถึงได้มาเข้าร่วมงานเลี้ยงซื่อไห่เพื่อพึ่งพาเขา
เขารู้เรื่องที่เกิดขึ้นในศาลเจ้าเทพทะเลคืนนั้น แต่เขามิได้มีความโกรธใดๆ ในทางกลับกัน เขาชื่นชมในความกล้าและความสามารถของอีกฝ่าย และยิ่งรู้สึกว่าคนหนุ่มสาวสองคนนี้มีศักยภาพพอที่จะเลี้ยงดูขึ้นมาได้ ถึงแม้คนที่สะพายกระบี่เหล็กที่อยู่ตรงหน้าคนนี้จะยังไม่สามารถบรรลุเข้าสู่สภาวะมิประจักษ์เหมือนอย่างอีกคนหนึ่งก็ตาม
แต่เขาไม่มีทางจะให้สำนักซีไห่รับพวกเขาเข้ามา หากแต่จะใช้วิธีอื่น
ดังนั้นเขาจึงกล่าวคำพูดประโยคหลังเมื่อครู่นี้
ทุกอย่างเงียบเชียบ จิ๋งจิ่วมิได้ตอบอะไร
ดวงตาของซีหวังซุนค่อยๆ หรี่ลง เผยให้เห็นสีหน้าอันเย็นชา พลางกล่าวว่า “หากเจ้าไม่คิดจะพึ่งข้า เหตุใดจึงมาเข้าร่วมงานเลี้ยงซื่อไห่ของข้า?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าเพียงแค่อยากมาดูเจ้าเท่านั้น”
นี่เป็นคำตอบที่เหนือความคาดหมาย
ซีหวังซุนมองเขาอย่างเงียบๆ ทันใดนั้นพลันกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้ายังต้องการของวิเศษของข้าหรือไม่?”
จิ๋งจิ่วส่ายศีรษะ
ครั้นได้ยินเช่นนี้ ซีหวังซุนนึกว่าเขาเพียงแค่ยังมิได้ตัดสินใจ จึงคิดใช้โอกาสนี้แสดงมิตรภาพ หลังนิ่งเงียบไปครู่จึงโบกมือเพื่อบอกให้เขาออกไป
……
……
ตำหนักของสำนักกระบี่ซีไห่โอ่โถงกว้างขวาง เส้นรอบวงมีขนาดนับพันจ้าง เมฆหมอกบางๆ ลอยเลียดพื้น แขกเหรื่อต่างแยกย้ายกันนั่งอยู่ด้านใน
หากมิเป็นเพราะสายตาของผู้บำเพ็ญพรตมีความเฉียบคม เกรงกว่าคงยากจะมองเห็นใบหน้าของกันและกันได้ชัดเจน
จิ๋งจิ่วกลับมาในตำหนัก เดินมายังโต๊ะที่เจ้าล่าเยวี่ยนั่งอยู่ เตรียมเดินออกไปพร้อมกับนาง
เสียงที่ฟังดูเยือกเย็นน่ากลัวเสียงหนึ่งดังขึ้น
“อยู่ในงานเลี้ยง กลับเอาแต่สวมหมวก พวกเจ้ากลัวคนอื่นเห็นหน้าขนาดนี้เลยหรือ? หรือว่าไปทำเรื่องชั่วร้ายมาจนมิกล้าสู้หน้าผู้คน?”
เหล่าแขกในงานรู้สึกประหลาดใจ จากนั้นมองไปทางต้นกำเนิดเสียง ก่อนจะพบว่าผู้ที่พูดคือผู้บำเพ็ญพรตวัยกลางคนรูปร่างผอมแห้งคนหนึ่ง สวมชุดนักพรตสีดำ ใบหน้าอัปลักษณ์
ผู้บำเพ็ญพรตที่จำเขาได้พูดเสียงเบาๆ สองสามประโยค เหล่าแขกในงานจึงได้รู้ว่าที่แท้ผู้บำเพ็ญพรตวัยกลางคนผู้นี้ก็คือจู๋เจี้ยซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญพรตไร้อาจารย์
ได้ยินว่าเขามีสัมพันธ์อันดีกับสำนักกระบี่ซีไห่ วันนี้ปรากฏตัวในงานเลี้ยงซื่อไห่จึงมิได้ทำให้คนอื่นรู้สึกแปลกใจ
จู๋เจี้ยกับจู๋กุ้ยผู้ซึ่งเป็นทั้งศิษย์พี่และผู้ดูแลวัดเฮยหลงที่ตายไปต่างก็มีชื่อเสียงที่ย่ำแย่พอกัน ย่อมไม่มีใครคิดอยากจะคบค้าด้วย หากเป็นเวลาปกติเขาคงจะนั่งร่ำสุราในงานเลี้ยง หลังจบงานเลี้ยงก็คงไปคุยโวเรื่องการต้อนรับต่างๆ ที่สำนักกระบี่ซีไห่มีให้ตนเอง อีกทั้งเรื่องที่ตนเองไปสรวลเสเฮฮากับศิษย์อัจฉริยะของสำนักจงโจวด้วย
แต่วันนี้ไม่เหมือนกัน
สองคนที่สวมหมวกลี่เม่าคือศัตรูที่ฆ่าพี่ชายของเขา
………………………………………………………………….